Rechercher dans ce blog

Thursday, September 30, 2021

[Live] 12.30 น. แถลงสถานการณ์ COVID-19 โดย ศบค. (1 ต.ค. 64) - Thai PBS

Adblock test (Why?)


[Live] 12.30 น. แถลงสถานการณ์ COVID-19 โดย ศบค. (1 ต.ค. 64) - Thai PBS
Read More

เผาแล้ว หนุ่มวัย 35 ปี ฉีดวัคซีนสูตรไขว้ เสียชีวิตหลังลูกคนที่ 2 เกิด 5 วัน - Sanook

สุดเศร้า พิธีฌาปนกิจศพ หนุ่มวัย 35 ปี เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนสูตรไขว้ เมียพ้อลูกชายคนที่ 2 ต้องกำพร้าพ่อ โดยไม่ได้เห็นหน้ากันเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 18.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณเมรุวัดประตูน้ำท่าไข่ ตั้งอยู่พื้นที่ ม.1 ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา บรรดาญาติของ นายอนุรักษ์ กุหลาบศรี อายุ 35 ปี ผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการได้รับการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ จากซิโนแวคเข็มแรก ก่อนเปลี่ยนมาเป็นแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ได้เพียง 1 สัปดาห์ จากนั้นมีอาการปวดศีรษะมึนงงและจำอะไรไม่ได้ ก่อนถูกนำตัวเข้าไปรับการรักษายังภายใน รพ.พุทธโสธร เป็นเวลาเกือบ 1 เดือน และเสียชีวิตลงในที่สุด ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ทางญาติได้มีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพในเวลา 16.00 น. หลังจากที่ได้มีการตั้งศพสวดพระอภิธรรมมาเป็นเวลา 5 คืนที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรดาหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมงานประมาณ 150 คน โดยที่ไม่ได้มีหน่วยงานราชการใดๆ ที่เกี่ยวข้องเดินทางมาร่วมในพิธีแต่อย่างใด จากนั้นในเวลา 17.15 น. จึงได้มีพิธีประชุมเพลิง (เผาจริง) โดยมีบุตรชายคนโตวัย 10 ขวบบวชเณรหน้าไฟให้

สำหรับบรรยากาศภายในงานฌาปนกิจศพ ของนายอนุรักษ์ ในวันนี้ นางทองคำ กุหลาบศรี อายุ 59 ปี ผู้เป็นมารดาของนายอนุรักษ์ ได้นั่งรำพันสั่งเสียทั้งน้ำตาต่อดวงวิญญาณของผู้เป็นบุตรชายผู้จากไปอยู่ตลอดเวลา ในช่วงระหว่างการประชุมเพลิง

ท่ามกลางบรรดาญาติๆ และเพื่อนสนิทที่พยายามเข้าไปช่วยปลอบประโลมให้คลายความโศกเศร้าลง เนื่องจากนายอนุรักษ์ เป็นเพียงบุตรชายคนเดียวของครอบครัวที่ต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ขณะที่ น.ส.ยุพิน เข็มทอง อายุ 33 ปี ผู้เป็นภรรยาของนายอนุรักษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสามีเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวมาโดยตลอด โดยเฉพาะตนเองที่กำลังตั้งครรภ์ หลังเลิกงานจากโรงงานที่อยู่ใกล้บ้านจะกลับเข้าบ้านในทันทีโดยจะไม่ได้แวะไปไหน และหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วจะรีบอาบน้ำก่อนในทันที

นอกจากนี้ คนในบ้านยังแยกวงกันรับประทานอาหาร จากเดิมที่จะตั้งวงร่วมรับประทานอาหารด้วยกันในครอบครัว เป็นการตักใส่จานแยกกันกิน โดยก่อนที่จะเข้าไปรับวัคซีนนั้นสามีได้บอกว่าอยากจะไปฉีดเพื่อให้ครบจำนวน 2 เข็ม จะได้จบๆ ไป เพราะตนกำลังใกล้จะคลอดบุตรชายคนที่ 2 แล้ว

สามีจะต้องวิ่งวุ่นเข้าไปติดต่อภายในโรงพยาบาล หากได้รับวัคซีนครบแล้วจะได้สบายใจขึ้น เพราะสามีเกรงว่าจะเข้าไปนำเชื้อโควิด-19 กับมาติดลูกเมียและคนในครอบครัว แต่การไปรับวัคซีนเข็มที่ 2 กลับทำให้สามีเสียชีวิตลง

โดยที่ตนและคนในครอบครัวรวมถึงญาติพี่น้องเชื่อกันทั้งหมดว่าเป็นผลมาจากการแพ้วัคซีน ที่สามีไปรับมาแบบสูตรไขว้ เนื่องจากสามีไม่เคยป่วยเป็นโรคอะไรมาก่อนเลย ไม่คอยเข้านอนพักรักษาตัวภายใน รพ.มาก่อน เพิ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

อีกทั้งการตรวจโรคประจำทุกปีของบริษัท ยังไม่มีทั้งโรคความดันเบาหวานหรือโรคอะไรทั้งสิ้น แล้วจะมีโรคเข้ามาได้อย่างไร และจะมีไวรัสเข้ามาขึ้นสมองทำให้สมองอักเสบตามที่แพทย์ลงความเห็นและวินิจฉัยในการรักษาได้อย่างไร โดยที่ไวรัสที่ทางโรงพยาบาลระบุมานั้นชื่อไวรัสอะไร เป็นชนิดใด ทางแพทย์ก็ยังไม่สามารถระบุได้

ทั้งที่ก่อนจะเข้าไปรับวัคซีนสามียังมีร่างกายแข็งแรงและเป็นปกติดีทุกอย่าง หากเลือกได้หรือรู้ก่อนล่วงหน้า ตนจะไม่ยอมให้สามีเข้าไปฉีดวัคซีนเด็ดขาด เพราะผลข้างเคียงรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อโควิด-19 ที่ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่นั้นล้วนต่างได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงอย่างสามีตน ก็คงไม่มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตแบบนี้

จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือทางรัฐบาลออกมารับผิดชอบบ้าง เพราะหลังจากนี้ไปตนเองก็จะเหลือเพียงตัวคนเดียว ที่จะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงบุตรชายถึง 2 คนเพียงลำพัง โดยที่บุตรชายคนเล็กนั้น ก็เพิ่งคลอดออกมาได้เพียงแค่ 5 วัน ก่อนที่สามีจะจากไป และต้องมากำพร้าพ่อโดยที่เขายังไม่ได้มีโอกาสได้เห็นหน้ากันเลย

ขณะที่ นางสาลี่ จิตรประภา อายุ 62 ปี ผู้เป็นมารดาของ น.ส.ยุพิน กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์บุตรเขยเข้าไปรับการฉีดวัคซีนแล้วเสียชีวิต ขณะนี้ได้ทำให้บรรดาญาติพี่น้องต่างพากันหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะไปฉีดวัคซีนกันอีกแล้วเป็นจำนวนมากหลายคน โดยเฉพาะตนเองที่เคยได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามาแล้วเมื่อวันที่ 6 ส.ค.64 เป็นเข็มแรก

และมีกำหนดนัดหมายที่จะได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้าอีก ในวันที่ 29 ต.ค.64 ที่จะถึงนี้ ตนจะไม่ขอเข้าไปรับการฉีดวัคซีนอีกแล้วเด็ดขาด แม้จะเป็นวัคซีนชนิดเดียวกัน และไม่ได้มีการไขว้เข็มแบบนายอนุรักษ์ บุตรเขยก็ตาม

เพราะยังเป็นห่วงบุตรสาว ที่ยังต้องคอยดูแลให้การช่วยเหลือ ทั้งยังต้องคอยช่วยเลี้ยงดูหลานๆ ให้ ระหว่างที่บุตรสาวจะต้องออกไปทำงานหาเงินเลี้ยงลูก โดยตนเกรงว่าจะเป็นอะไรไปอีกคน แล้วบุตรสาวจะลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแทบจะไม่เหลือใครที่จะพึ่งได้อีกแล้ว นางสาลี่ กล่าว

ขณะที่ น.ส.ยุพิน ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตนเองนั้นจะไม่ยอมให้บุตรชายทั้ง 2 คนเข้าไปรับการฉีดวัคซีนอีกเด็ดขาด เพราะเกรงว่าจะเสียบุตรชายตามผู้เป็นสามีไปอีก ส่วนตนเองนั้นเคยได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม ในขณะที่กำลังตั้งครรภ์เป็นวัคซีนที่ไฟเซอร์ ทั้ง 2 เข็ม แต่จะไม่ไปฉีดเข็มที่ 3 อีกต่อไปแล้วเช่นเดียวกัน

Adblock test (Why?)


เผาแล้ว หนุ่มวัย 35 ปี ฉีดวัคซีนสูตรไขว้ เสียชีวิตหลังลูกคนที่ 2 เกิด 5 วัน - Sanook
Read More

จส. 100 - จส. 100


          ผลการทดลองทางคลินิกในสหรัฐฯ พบว่า จากการทดลองใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในกลุ่มอาสาสมัครกว่า 26,000 คน ในสหรัฐฯ ชิลี และเปรู ที่ได้รับวัคซีน 2 โดส ในระยะเวลาห่างกัน 1 เดือน ผลการทดลองพบว่า


-วัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการได้ถึง 74%


-วัคซีนเพิ่มประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเป็น 83.5% สำหรับกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป


          พญ.แอนนา เดอร์บิน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแพทย์ผู้วิจัยในการศึกษานี้ แสดงความยินดีกับผลการทดลอง


-วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า สามารถป้องกันอาการรุนแรงและการเข้ารักษาตัวโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี


-การศึกษานี้ยังไม่พบภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำ


         ผลการทดลองดังกล่าวได้เผยแพร่ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ เจอร์นัล ออฟ เมดิซีน เมื่อวันพุธ 29 ก.ย.64 และ ในเร็วๆนี้ เตรียมขออนุมัติใช้แบบเต็มรูปแบบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ(FDA)


 


#วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า


#โควิด19


#ป้องกันติดเชื้อรุนแรง 


แฟ้มภาพ 


 

Adblock test (Why?)


จส. 100 - จส. 100
Read More

ยะลายังวิกฤติ!! สั่งปิดพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 อีก 4 อำเภอ 4 หมู่บ้าน หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อยังน่าเป็นห่วงอยู่ - สยามรัฐ

วันนี้ (30 ก.ย.64) ที่ศาลากลางจังหวัดยะลา อ.เมือง จ.ยะลา นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการและคณะทำงานเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 45/2564 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งมีมติเห็นชอบในเรื่องของการปิดพื้นที่เสี่ยงต่อการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 4 อำเภอ 4 หมู่บ้าน ประกอบด้วย อ.บันนังสตา จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านบายิ (กลุ่มบ้านบายิบน) หมู่ที่ 4 ต.ตลิ่งชั่น อ.รามัน จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านปาแตรายอ หมู่ที่ 4 ต.เกะรอ อ.ยะหา จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านเจาะตาแม (กลุ่มบ้านเจาะตาแม) หมู่ที่ 4 ต.กาตอง อ.กรงปินัง จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านสะเอะ หมู่ที่ 4 ต.สะเอะ สำหรับภาพรวมตัวเลขของบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ จ.ยะลา ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมร้อยละ 86.30 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของการดำเนินงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก และตรวจค้นหาเชื้อโควิดแบบ ATK ทางด้านของนายอำเภอ ทั้ง 8 อำเภอของ จ.ยะลา ก็ยังคงคุมเข้มอย่างเคร่งครัด เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ขณะที่ในพื้นที่ อ.กาบัง จ.ยะลา ก็มีความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม ซึ่งจะเปิดใช้บริการได้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 120 เตียง ส่วนภาพรวมของสถานที่กักโรคชุมชน (CI) ในพื้นที่ จ.ยะลา มีทั้งหมด จำนวน 49 แห่ง สามารถรองรับได้จำนวน 1,214 เตียง เข้าใช้บริการแล้วกว่า 568 คน ยังคงสามารถรองรับได้อีกกว่า 646 เตียง

ส่วนสถานการณ์ โควิด-19 จ.ยะลา 30 ก.ย.64 ผู้ป่วยรายใหม่ 566 ราย รักษาอยู่โรงพยาบาล 5,161 ราย เสียชีวิต 4 ราย

สำหรับที่ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศข้อกำหนดคลายล็อกดาวน์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2564 ที่จะถึงนี้

ทางด้านนางอมรรัตน์ คำแก้ว อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นแม่ค้าขายข้าวอาหารตามสั่ง อยู่ที่โรงแรมยะลามายเฮ้าส์ เขตเทศบาลนครยะลา กล่าวว่า สำหรับที่ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศข้อกำหนดคลายล็อกดาวน์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2564 ที่จะถึงนี้ ตนเองก็รู้สึกกังวลกลัวว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะเพิ่มมาเรื่อยๆ ตนเองก็อยากให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเยียวยาเพิ่มเติมอีก เพราะว่ารอบแรกและรอบสองก็ได้มาแล้ว แต่ก็อยากจะให้เพิ่มอีกรอบต่อไปก็คงดี เศรษฐกิจยังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร ถึงเปิดร้านอาหารได้ แต่ก็ไม่สามารถขายเหล้า-เบียร์ได้ มันก็กระทบเหมือนกัน เพราะกลัวว่าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านอีก

Adblock test (Why?)


ยะลายังวิกฤติ!! สั่งปิดพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 อีก 4 อำเภอ 4 หมู่บ้าน หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อยังน่าเป็นห่วงอยู่ - สยามรัฐ
Read More

ยะลายังวิกฤต โควิดพุ่ง 566 ราย สั่งปิดพื้นที่เสี่ยงอีก 4 อำเภอ 4 หมู่บ้าน - บ้านเมือง

วันพฤหัสบดี ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564, 17.57 น.

วันที่ 30 ก.ย.64  ที่ศาลากลางจังหวัดยะลา อ.เมือง จ.ยะลา  นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการและคณะทำงานเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 45/2564 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งมีมติเห็นชอบในเรื่องของการปิดพื้นที่เสี่ยงต่อการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 4 อำเภอ 4 หมู่บ้าน ประกอบด้วย อ.บันนังสตา จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านบายิ (กลุ่มบ้านบายิบน) หมู่ที่ 4 ต.ตลิ่งชั่น   อ.รามัน จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านปาแตรายอ หมู่ที่ 4 ต.เกะรอ อ.ยะหา จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านเจาะตาแม (กลุ่มบ้านเจาะตาแม) หมู่ที่ 4 ต.กาตอง อ.กรงปินัง  จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านสะเอะ หมู่ที่ 4 ต.สะเอะ

สำหรับภาพรวมตัวเลขของบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ จ.ยะลา ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมร้อยละ 86.30 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของการดำเนินงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก และตรวจค้นหาเชื้อโควิดแบบ ATK ทางด้านของนายอำเภอ ทั้ง 8 อำเภอของ จ.ยะลา ก็ยังคงคุมเข้มอย่างเคร่งครัด เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ขณะที่ในพื้นที่ อ.กาบัง จ.ยะลา ก็มีความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม ซึ่งจะเปิดใช้บริการได้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 120 เตียง ส่วนภาพรวมของสถานที่กักโรคชุมชน (CI) ในพื้นที่ จ.ยะลา มีทั้งหมด จำนวน 49 แห่ง สามารถรองรับได้จำนวน 1,214 เตียง เข้าใช้บริการแล้วกว่า 568 คน ยังคงสามารถรองรับได้อีกกว่า 646 เตียง ส่วนสถานการณ์ โควิด-19 จ.ยะลา 30 ก.ย.64 ผู้ป่วยรายใหม่ 566 ราย รักษาอยู่โรงพยาบาล 5,161 ราย เสียชีวิต 4 ราย 

สำหรับที่ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศข้อกำหนดคลายล็อกดาวน์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2564 ที่จะถึงนี้

   

ทางด้านนางอมรรัตน์ คำแก้ว อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นแม่ค้าขายข้าวอาหารตามสั่ง อยู่ที่โรงแรมยะลามายเฮ้าส์ เขตเทศบาลนครยะลา กล่าวว่า สำหรับที่ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศข้อกำหนดคลายล็อกดาวน์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2564 ที่จะถึงนี้ ตนเองก็รู้สึกกังวลกลัวว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะเพิ่มมาเรื่อยๆ ตนเองก็อยากให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเยียวยาเพิ่มเติมอีก เพราะว่ารอบแรกและรอบสองก็ได้มาแล้ว แต่ก็อยากจะให้เพิ่มอีกรอบต่อไปก็คงดี เศรษฐกิจยังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร ถึงเปิดร้านอาหารได้ แต่ก็ไม่สามารถขายเหล้า-เบียร์ได้ มันก็กระทบเหมือนกัน เพราะกลัวว่าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านอีก

Adblock test (Why?)


ยะลายังวิกฤต โควิดพุ่ง 566 ราย สั่งปิดพื้นที่เสี่ยงอีก 4 อำเภอ 4 หมู่บ้าน - บ้านเมือง
Read More

"Pfizer" ทดลองยาเม็ดรักษา "โควิด-19" ในคนสำเร็จ เดินหน้าเฟส 2/3 ต่อ - คมชัดลึก

ข่าวดี !! Pfizer ทดลองยาเม็ดชนิดรับประทาน เพื่อรักษาโควิดโดยตรงแล้ว

เป็นข้อความที่ น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้โพสต์ทาง blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า จากสถานการณ์โควิดระบาดทั่วโลก และความหวังหลักของมนุษย์คือ การใช้วัคซีนในการป้องกัน ซึ่งก็ได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่หลังจากที่มีไวรัสกลายพันธุ์ ก็พบว่า วัคซีนเป็นจำนวนมากมีประสิทธิผลในการป้องกันลดลง แต่ยังช่วยป้องกันการนอนโรงพยาบาล และเสียชีวิตได้มาก นักวิทยาศาสตร์จึงทุ่มเทอีกด้านหนึ่งคู่ขนานกันไป คือ การวิจัยพัฒนายารักษาโรค ในกรณีที่ติดเชื้อหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว ยาจะได้เข้ามาช่วยรักษา ไม่ให้ต้องนอนโรงพยาบาล หรือเสียชีวิตได้ในช่วงที่ผ่านมา ยาที่ใช้หลายชนิด มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการต้องฉีดเข้าเส้นเลือดดำ และต้องนอนโรงพยาบาลก่อน เช่น

  1. ภูมิคุ้มกันโมโนโคนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody)
  2. สเตียรอยด์ (Dexamethasone)
  3. Remdesivir

การวิจัยเพื่อหายาชนิดรับประทาน จึงเป็นความหวัง ที่จะทำให้มีการกระจายยาออกไปกว้างขวาง และใช้ได้รวดเร็วทันที ตั้งแต่ผู้ติดเชื้อยังไม่มีอาการ และต้องเข้านอนโรงพยาบาล

ขณะนี้บริษัท Pfizer ได้แถลงความคืบหน้าว่า ยาต่อต้านไวรัส (Antiviral Drug : PZ 07321332 ) ซึ่งได้เริ่มทดลองในมนุษย์เฟส 1 มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 และได้ผลดี ขณะนี้ได้เดินหน้าเข้าสู่ เฟส 2/3 แล้ว ซึ่งจะเป็นการดูประสิทธิผลในการรักษาจริง โดยใช้อาสาสมัครที่อายุมากกว่า 18 ปี จำนวน 2660 คน 1/3 จะได้รับยาหลอก และอีก 2/3 จะได้รับยารับประทาน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5-10 วัน

โดยยาดังกล่าวออกฤทธิในการยับยั้งเอนไซม์ ที่ไวรัสใช้ในการเพิ่มจำนวนในร่างกายมนุษย์ ( Protease inhibitor ) ซึ่งยาดังกล่าวนี้ อยู่ในกลุ่มซึ่งเคยใช้ได้ผลดีในการรักษาควบคุมโรคเอดส์ และโรคไวรัสตับอักเสบซี เรื่องผลข้างเคียงและความปลอดภัยจึงไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง โดยความคาดหวังของยาดังกล่าว คือ จะใช้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อยู่ในครอบครัวที่มีผู้ติดเชื้อชัดเจน หรือในกรณีที่ตรวจด้วยชุดทดสอบตนเองที่บ้าน (ATK) แล้วพบว่าติดเชื้อ แต่ยังไม่แสดงอาการ ซึ่งปกติคนเหล่านี้จะได้รับยาฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง ต่อเมื่อนอนโรงพยาบาลแล้ว แต่ถ้าเป็นยารับประทานชนิดเม็ด ก็จะสามารถเริ่มให้ยาได้ ตั้งแต่มีผลตรวจเป็นบวก

นอกจากนั้น ยังเป็นการชะลอการระบาดของไวรัสในคนที่ไม่มีอาการด้วย เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่า ไวรัสสามารถผ่านออกมาทางอุจจาระได้นานถึง 3 สัปดาห์ สำหรับผู้ติดเชื้อ 59% ในโลกเราขณะนี้ ยังมีอีกบริษัทคือ Merck ซึ่งได้ทดลองยาชื่อ Molnupiravir และคาดว่า จะมีโอกาสได้ใช้ในสิ้นปีนี้เช่นกัน ถ้ายาทั้งสองชนิด ของบริษัท Merck และ Pfizer ประสบความสำเร็จ และได้นำออกมาใช้จริง จะทำให้สถานการณ์โควิดดีขึ้นมาก เพราะจะร่วมกับวัคซีนในการควบคุมการระบาดครั้งนี้

ขอบคุณ : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Adblock test (Why?)


"Pfizer" ทดลองยาเม็ดรักษา "โควิด-19" ในคนสำเร็จ เดินหน้าเฟส 2/3 ต่อ - คมชัดลึก
Read More

'ยะลา'ยังวิกฤต ปิด 4 หมู่บ้านใน 4 อำเภอพื้นที่เสี่ยงโควิด - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

วันพฤหัสบดี ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564, 19.47 น.

‘ยะลา’ยังวิกฤต ปิด 4 หมู่บ้านใน 4 อำเภอพื้นที่เสี่ยงโควิด

30 กันยายน 2564 ที่ศาลากลางจังหวัดยะลา อ.เมือง จ.ยะลา นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการและคณะทำงานเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 45/2564 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม


ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเรื่องการปิดพื้นที่เสี่ยงต่อการควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด จำนวน 4 อำเภอ 4 หมู่บ้าน ประกอบด้วย อ.บันนังสตา จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านบายิ (กลุ่มบ้านบายิบน) หมู่ที่ 4 ต.ตลิ่งชั่น , อ.รามัน จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านปาแตรายอ หมู่ที่ 4 ต.เกะรอ , อ.ยะหา จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านเจาะตาแม (กลุ่มบ้านเจาะตาแม) หมู่ที่ 4 ต.กาตอง และ อ.กรงปินัง จำนวน 1 หมู่บ้าน บ้านสะเอะ หมู่ที่ 4 ต.สะเอะ

สำหรับภาพรวมตัวเลขของบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ จ.ยะลา ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมร้อยละ 86.30 ในส่วนของการดำเนินงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก และตรวจค้นหาเชื้อโควิดแบบ ATK ทางด้านของนายอำเภอ ทั้ง 8 อำเภอของ จ.ยะลา ยังคงคุมเข้มอย่างเคร่งครัด เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19

ขณะที่พื้นที่ อ.กาบัง จ.ยะลา มีความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม ซึ่งจะเปิดใช้บริการได้ในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 120 เตียง ส่วนภาพรวมของสถานที่กักโรคชุมชน (CI) ในพื้นที่ จ.ยะลา มีทั้งหมด จำนวน 49 แห่ง สามารถรองรับได้จำนวน 1,214 เตียง เข้าใช้บริการแล้วกว่า 568 คน ยังคงสามารถรองรับได้อีกกว่า 646 เตียง

ส่วนสถานการณ์ โควิด-19 จ.ยะลา วันที่ 30 กันยายน 2564 มีผู้ป่วยรายใหม่ 566 ราย รักษาอยู่โรงพยาบาล 5,161 ราย เสียชีวิต 4 ราย

ด้านนางอมรรัตน์ คำแก้ว อายุ 49 ปี แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง อยู่ที่โรงแรมยะลามายเฮ้าส์ เขตเทศบาลนครยะลา กล่าวว่า สำหรับที่ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศข้อกำหนดคลายล็อกดาวน์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2564 ตนรู้สึกกังวลกลัวว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะเพิ่มมาเรื่อยๆ อยากให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเยียวยาเพิ่มเติมอีก เพราะว่ารอบแรกและรอบสองก็ได้มาแล้ว แต่อยากจะให้เพิ่มอีกรอบต่อไปก็คงดี เศรษฐกิจยังไม่กระเตื้องเท่าที่ควร ถึงเปิดร้านอาหารได้ แต่ก็ไม่สามารถขายเหล้า-เบียร์ได้ ก็กระทบเหมือนกัน เพราะกลัวว่าจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านอีก

-005

Adblock test (Why?)


'ยะลา'ยังวิกฤต ปิด 4 หมู่บ้านใน 4 อำเภอพื้นที่เสี่ยงโควิด - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Read More

วุ่นหนัก โควิดระบาดงานบุญ-งานศพ เชื้อลามติดอีกเพียบ สั่งกักตัวนับร้อย - Thainews Online

5. คลัสเตอร์โรงงานเครือแหลมทอง อ.สูงเนิน มีพนักงานใน 3 โรงงานติดเชื้อ  โดยแยกเป็นโรงงานแหลมทองโพลทริ จำกัด  เดิมพบพนักงานติดเชื้อ 341 ราย พบรายใหม่อีก 118 ราย รวมติดเชื้อ 432 ราย ,โรงงานแหลมทองโปรตีน จำกัด เดิมติดเชื้อ 10 ราย ไม่มีติดเชื้อเพิ่ม ,โรงงาน แหลมทองอุตสาหกรรม จำกัด  เดิมติดเชื้อ 11 ราย ไม่มีติดเชื้อเพิ่ม รวม 3 โรงงานติดเชื้อแล้ว  453 ราย  และเชื้อระบาดเป็นวง 2 มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง หรือคนในครอบครัว ติดเชื้อ 4 ราย รวมคลัสเตอร์นี้ ติดเชื้อ 457 ราย


6. คลัสเตอร์พนักงานโรงงานคาร์ม่า อ.ขามทะเลสอ เดิมมีพนักงานของโรงงานที่พักอยู่ใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.สูงเนิน อ.โนนไทย อ.เมืองนครราชสีมา และ อ.ขามทะเลสอ รวมติดเชื้อ 13 ราย ต่อมาพนักงานที่อยู่ใน อ.ขามทะเลสอ ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 ราย รวมวงแรกติดเชื้อ 17 ราย และเชื้อได้แพร่เป็นวงที่ 2 ทำให้มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือคนในครอบครัว ติดเชื้อ 3 ราย รวมคลัสเตอร์นี้ติดเชื้อแล้ว 20 ราย


7. คลัสเตอร์พนักงานโรงงานไก่ สหมิตรฟู้ดส์ อ.ขามทะเลสอ เดิมพบพนักงานที่พักใน 6 อำเภอติดเชื้อ 268 ราย  พบติดเชื้อเพิ่มอีก 14 ราย รวมติดเชื้อสะสม 282 ราย และเชื้อระบาดวง 2 มีสัมผัสเสี่ยงสูงหรือคนในครอบครัว ติดเชื้อ 40 ราย รวมคลัสเตอร์นี้ติดเชื้อ 322 ราย


8. คลัสเตอร์โรงงานเศรษฐีสาว ซึ่งมีพนักงานทั้งหมด 60 คน พบพนักงานรายแรกติดเชื้อโควิด 19 แล้วแพร่เชื้อให้เพื่อนร่วมงาน อีก 13 ราย จากนั้น มีเพื่อนร่วมงานติดเชื้อเพิ่มอีก 2 ราย  รวมวงแรกติดเชื้อ 16 ราย ซึ่งเชื้อได้ระบาดเป็นวง 2 มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือคนในครอบครัว ติดเชื้ออีก 1 ราย รวมคลัสเตอร์นี้ติดเชื้อ 17 ราย

จังหวัดนครราชสีมา พบโควิด-19 ระบาดหนักตามงานบุญ-งานศพ เชื้อลามติดอีกเพียบ สั่งกักตัวเสี่ยงสูงนับร้อยแล้ว

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews

Adblock test (Why?)


วุ่นหนัก โควิดระบาดงานบุญ-งานศพ เชื้อลามติดอีกเพียบ สั่งกักตัวนับร้อย - Thainews Online
Read More

ข่าวดี ! Pfizer ทดลองยาเม็ดชนิดรับประทานรักษาโควิด-19โดยตรงแล้ว - ฐานเศรษฐกิจ

ถ้ายาทั้งสองชนิด ของบริษัท Merck และ Pfizer ประสบความสำเร็จ และได้นำออกมาใช้จริง จะทำให้สถานการณ์โควิดดีขึ้นมาก เพราะจะร่วมกับวัคซีนในการควบคุมการระบาดครั้งนี้
สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย วันที่ 30 กันยายน 64 นั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามรายงานจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. พบว่า ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวม 11,646 ราย มาจาก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,526 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 120 ราย  ผู้ป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 1,574,612 ราย  เสียชีวิตเพิ่ม 107 ราย หายป่วย 10,887 ราย กำลังรักษา 116,075 ราย หายป่วยสะสม(ตั้งแต่ 1 เม.ย.64) 1,443,247 ราย 

Adblock test (Why?)


ข่าวดี ! Pfizer ทดลองยาเม็ดชนิดรับประทานรักษาโควิด-19โดยตรงแล้ว - ฐานเศรษฐกิจ
Read More

Wednesday, September 29, 2021

สมุทรสาคร ยอดโควิดพุ่งอีก ป่วยใหม่ 444 ราย กลุ่มใหญ่อยู่ใน Factory Sandbox - ข่าวสด

สมุทรสาคร ยอดโควิดพุ่งอีก ป่วยใหม่ 444 ราย กลุ่มใหญ่อยู่ใน Factory Sandbox ขณะที่ผู้ป่วยชุมชนเหลือเพียง 100 กว่ารายเท่านั้น เตรียมฉีดวัคซีนเด็กนักเรียน

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ก.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่า จากการรายงานข้อมูลของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อเวลา 24.00 น. ของวันที่ 29 กันยายน 2564 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 444 ราย โดยในจำนวนนี้จำแนกเป็นผู้ติดเชื้อจากค้นหาเชิงรุก 25 ราย และผู้ติดเชื้อที่มาจากการเข้ารับการตรวจในโรงพยาบาลอีก 142 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนที่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร 119 ราย ที่เหลือเป็นคนนอกจังหวัดอีก 23 ราย

โดยพบผู้ติดเชื้อในกลุ่ม Bubble & Sealed ที่อยู่ในสถานประกอบการ 277 ราย ด้านผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมดรวม 106,545 ราย รักษาหายเพิ่มอีก 482 ราย รวมมีผู้กลับบ้านได้แล้วสะสมที่ 98,002 ราย อยู่ระหว่างการรักษาอีก 7,439 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตรายวัน 6 ราย

สำหรับยอดผู้ติดเชื้อรายวันซึ่งในวันนี้กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกจำนวน 444 ราย พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Bubble & Sealed มากถึง 277 ราย ซึ่งอยู่ในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ Factory Sandbox ภายใต้กระบวนการ “ตรวจ รักษา ควบคุม ดูแล”

ส่วนผู้ติดเชื้อในชุมชนทั้งที่มาจากการค้นหาเชิงรุกและการเข้าตรวจในโรงพยาบาลนั้นพบเพียงแค่ 167 รายเท่านั้น อีกทั้งยอดผู้ป่วยรายใหม่ก็ยังน้อยกว่าผู้ที่รักษาหายกลับบ้านได้แล้ว จึงนับเป็นทิศทางที่ดีขึ้นของการควบคุมโรคในจังหวัดสมุทรสาคร

ขณะที่ผู้ติดเชื้อในศูนย์พักคอยคนสาคร CI ก็มีเพียงแค่ 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยมีผู้ครองเตียงอยู่ 395 คน จากที่เตรียมพร้อมรองรับไว้ทั้งหมด 5,277 คน และผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลสนามหรือศูนย์ห่วงใยคนสาคร มีอยู่ 1,094 คน จากจำนวนที่รองรับได้ 2,098 คน โดยในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลสนามสีเหลือง 2 แห่ง รวม 117 คน

ด้าน นพ.นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยถึงวัคซีนเด็กนักเรียน ภายหลังจากที่รัฐบาลไทยได้รับวัคซีนไฟเซอร์มาเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีก 2 ล้านโดสว่า ในส่วนของจังหวัดสมุทรสาครนั้น ได้เตรียมพร้อมทำการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กนักเรียนกลุ่มอายุ 12 – 18 ปี

ซึ่งมีอยู่ประมาณ 25,000 คน โดยตอนนี้ได้ทำการสำรวจรายชื่อไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจากสถานศึกษาและศึกษาธิการจะเป็นผู้รวบรวมรายชื่อที่แสดงความยินยอมให้เด็กได้ฉีดวัคซีน ซึ่งตอนนี้ตอบรับมาประมาณ 23,000 คนแล้ว

ฉะนั้นเมื่อวัคซีนมาถึงจังหวัดสมุทรสาครที่คาดว่าจะเป็นสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคมนี้ ก็จะรีบฉีดวัคซีนเข็มแรกให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 1 สัปดาห์ และฉีดเข็มที่สองภายใน 3 สัปดาห์ต่อมา เพื่อให้แล้วเสร็จพร้อมรับเปิดเทอมวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 โดยจะใช้รูปแบบของทีมเคลื่อนที่ไปฉีดตามโรงเรียนต่างๆ

ทั้งนี้ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้พาบุตรหลานมาฉีดวัคซีนตามที่ได้นัดหมาย ขณะเดียวกันผู้ที่ตัดสินใจต้องการให้บุตรหลานเข้ารับวัคซีนภายหลังการสำรวจก็สามารถนำมาเข้ารับบริการได้เช่นเดียวกัน

Adblock test (Why?)


สมุทรสาคร ยอดโควิดพุ่งอีก ป่วยใหม่ 444 ราย กลุ่มใหญ่อยู่ใน Factory Sandbox - ข่าวสด
Read More

จส. 100 - จส. 100


        ศูนย์ข้อมูล COVID-19 จ.สมุทรสาคร รายงานข้อมูลการติดเชื้อโควิด-19 ข้อมูลเมื่อเวลา 24.00 น.วันที่ 29 ก.ย.64


-ผู้ป่วยรายใหม่ 444 คน


-ผู้ป่วยยืนยันสะสม 106,545 คน


-หายป่วย/จำหน่ายแล้ว 98,002 คน


-เสียชีวิตสะสม 1,104 ราย


        ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด-19  เมื่อวานนี้  11,471 โดส


-ยอดสะสม 924,640 โดส


-ฉีดเข็มที่ 1 สะสม 575,660 โดส


-ฉีดเข็มที่ 2 สะสม 348,980 โดส



#โควิด19


#สมุทรสาคร


CR:ศูนย์ข้อมูล COVID-19 จ.สมุทรสาคร

Adblock test (Why?)


จส. 100 - จส. 100
Read More

แพทย์เตือนคนไทยระวัง 'โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว' - ผู้จัดการออนไลน์


ศาสตราจารย์คลินิก นพ.ชาญ ศรีรัตนสถาวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
เนื่องใน “วันหัวใจโลก” หรือ World Heart Day วันที่ 29 กันยายน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเตือนคนไทยระวัง “ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว” (Atrial Fibrillation) ที่พบได้ในผู้ป่วยสูงอายุ น้ำหนักตัวมาก และผู้ป่วยโรคหัวใจ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วนี้ถ้ามาพร้อมกับ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือในผู้สูงอายุ จะทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตและเสียชีวิตได้ แนะใช้หลักการ F-A-S-T สังเกตอาการ ใบหน้าเบี้ยว แขนอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด มีอาการแบบปัจจุบันทันด่วน ให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคทันที

ปัจจุบันคนไทยจำนวนมากเสี่ยงที่จะเป็นโรค “ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว” หรือ Atrial Fibrillation (AF) โดยส่วนใหญ่พบในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน ไทรอยด์ ความดันโลหิตสูง ล้วนแต่เป็นโรคท็อปฮิต ถ้าปล่อยไว้นานย่อมส่งผลกระทบลุกลามอาจเกิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต จากการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และภาวะหัวใจล้มเหลวจนเสียชีวิต

วันที่ 29 กันยายนของทุกปีถือเป็น “วันหัวใจโลก” หรือ World Heart Day ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมกับนานาชาติ รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของโรคหัวใจและภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วที่ต้องดูแลเอาใจใส่เรื่องของสุขภาพ พฤติกรรมใช้ชีวิต การรักษาและการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ

ศาสตราจารย์คลินิก นพ.ชาญ ศรีรัตนสถาวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ กล่าวถึงโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว หรือ AF ว่า ปัจจุบันคนไทยเสี่ยงเป็นโรค AF เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยและมีโรคประจำตัว ในภาวะนี้หัวใจห้องบนเต้นเร็วหรือเต้นพลิ้วด้วยความถี่สูง เช่น ประมาณ 300-400 ครั้งต่อนาที และส่งกระแสประสาทหรือกระแสไฟฟ้าลงมายังหัวใจห้องล่างแบบไม่สม่ำเสมอ ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็วขึ้นตามไปด้วยแต่ไม่เร็วเท่าห้องบน การทำงานจึงไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลต่อการทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เกิดอาการใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ วิงเวียนหน้ามืด เหนื่อยง่าย หายใจไม่ออก

นอกจากนั้น ผู้ป่วยโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วที่มีปัจจัยเสี่ยงควบคู่ ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ง่าย เพราะการทำงานของหัวใจที่เต้นผิดปกติ ทำให้เกิดลิ่มเลือดซึ่งอาจหลุดออกจากหัวใจไปอุดตันส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แขนขาหรือสมอง เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยจากสถิติพบว่าคนไข้ที่เป็นภาวะ AF ที่มีปัจจัยเสี่ยงควบคู่ มีความเสี่ยงไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้ประมาณ 4-5% ต่อปี

“อาการที่หมอแนะนำให้รีบพาผู้ป่วยมารักษาที่โรงพยาบาลแขนขาอ่อนแรงขยับไม่ได้ แม้ในบางครั้งอาการจะหายไปเองก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะโรค Stroke ถ้ารักษาไม่ทันเวลาใน 3-4 ชั่วโมง สมองจะเสียหายหนักกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมีอาการหายใจเหนื่อยหอบเพราะกล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเลือดไม่ทันแล้วน้ำท่วมปอด หอบเวลากลางคืน อาการวูบหมดสติเพราะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน สิ่งที่อาจจะตามมาคือหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิต”

นพ.ชาญ ระบุว่า การรักษาที่ดีคือต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลักๆ จากโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน การดื่มแอลกอฮอล์ น้ำหนักตัว โรคไทรอยด์ ภาวะนอนกรน อีกส่วนคือช่วงอายุที่มากขึ้น ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็น AF ประมาณ 1-2% และอายุ 80 ปีขึ้นไปพบเพิ่มเป็น 10-12% รวมถึงความเครียดเช่นในช่วงโควิด-19 ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งได้

“หนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วที่มีปัจจัยเสี่ยงควบคู่คือการป้องกัน อัมพฤกษ์ อัมพาต ด้วยยาต้านเลือดแข็งตัว ซึ่งมีแบบดั้งเดิมที่ออกฤทธิ์ผ่านทางวิตามินเค และแบบที่ออกฤทธิ์ไม่ผ่านทางวิตามินเค หรือเรียกว่า NOACs ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ออกฤทธิ์ผ่านทางวิตามินเค เช่น วาร์ฟาริน อาจจะได้รับผลกระทบจากอาหารและยาหลายชนิด เช่น ถ้าคนไข้ใช้ยาร่วมกับสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรก็อาจจะมีฤทธิ์ต้านเลือดแข็งตัวมากขึ้น ยาต้านเลือดแข็งตัวที่ออกฤทธิ์ไม่ผ่านทางวิตามินเค ดูจะมีความสะดวกและผลข้างเคียงน้อยกว่ายารูปแบบเดิม อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้องขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์ด้วยว่าคนไข้เหมาะสมกับยารูปแบบใด การใช้ยาต้านเลือดแข็งตัวในผู้ป่วยโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วอย่างเหมาะสมจะเป็นประโยชน์ลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะอัมพฤกษ์อัมพาต จะได้ประโยชน์มาก”

พ.อ.นพ.เจษฎา อุดมมงคล นายกสมาคมโรคหลอดเลือดสมองไทย และ ผู้อำนวยการกองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ทางด้าน พ.อ.นพ.เจษฎา อุดมมงคล นายกสมาคมโรคหลอดเลือดสมองไทย และ ผู้อำนวยการกองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ระบุว่าคนไทยเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อยู่ที่ประมาณ 100-200 รายต่อประชากรแสนคน และเสียชีวิตสูงถึงปีละประมาณ 30,000 ราย และเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะทุพพลภาพสูงมาก ในจำนวนนี้โรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วหรือ AF ประมาณ 10-20%

“โรคหลอดเลือดสมองที่มีสาเหตุมาจากหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น สามารถป้องกันได้มากกว่าสาเหตุอื่นๆ หรือป้องกันได้ราว 60-70% ทั้งที่ยังไม่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ แต่เนื่องจากโรคนี้ยิ่งอายุมากยิ่งพบได้บ่อยและมักไม่แสดงอาการ หรือแสดงอาการเป็นช่วงๆ จึงแนะนำให้มีการตรวจคัดกรองปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและเพิ่มการตรวจละเอียดเมื่อมีข้อบ่งชี้ตั้งแต่อายุ 45 ปี หรือใช้เครื่องตรวจไฟฟ้าหัวใจ และเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น AF และประเมินความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองก็จะมียาป้องกันเลือดเป็นลิ่ม โดยที่ต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับผู้ที่เคยป่วยสมองขาดเลือดมาแล้วและมี AF สามารถป้องกันการเป็นซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยง ทั้งเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิต บุหรี่ เป็นต้น และควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ที่สำคัญควรพบแพทย์และทานยาอย่างสม่ำเสมอ เพราะความเสี่ยงยังคงอยู่ ซึ่งทั้งยากลุ่ม VKA อย่างวาร์ฟาริน และกลุ่ม NOACs สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมองกลับมาเป็นซ้ำได้ และยังช่วยลดภาวะทุพพลภาพและลดอัตราการเสียชีวิต หากมีอาการเกิดซ้ำ

สำหรับในช่วงการระบาดของโควิด-19 พ.อ.นพ เจษฎา เตือนว่ามีปัจจัยที่ต้องระวัง เพราะผู้ติดเชื้อโควิดเป็นกลุ่มที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ง่าย ซึ่งมักพบในปอดและบางรายพบที่สมองได้ จึงมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด Viral Vector ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันแบบเกล็ดเลือดต่ำสูงกว่าวัคซีนประเภทอื่นและการรักษามีความซับซ้อน และหากผู้ป่วยติดเชื้อโควิดและเป็นโรคหลอดเลือดสมองด้วย กระบวนการรักษาจะยากลำบากขึ้นมาก

ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรค ขอให้ประชาชนสังเกตสัญญาณเตือนของร่างกาย จำง่ายๆ ว่า F-A-S-T ซึ่งย่อมาจาก Face หมายถึงใบหน้าผิดปกติ หน้าเบี้ยว Arm แขนชาหรืออ่อนแรง Speech พูดไม่ชัด พูดไม่เข้าใจ หรือพูดไม่ได้ และ Time คือเกิดอาการแบบปัจจุบันทันด่วนและหากมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ขอให้ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที หรือ โทร.1669 เพื่อนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

Adblock test (Why?)


แพทย์เตือนคนไทยระวัง 'โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว' - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

แพทย์ย้ำวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 - โพสต์ทูเดย์

แพทย์ย้ำวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19

วันที่ 30 ก.ย. 2564 เวลา 06:45 น.

แพทย์ย้ำวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความสำคัญโดยเฉพาะยุคโควิด-19 เผยผลการศึกษาวิจัยชี้วัคซีนไข้หวัดใหญ่อาจช่วยลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ พร้อมเหตุผลที่ 7 กลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ระหว่างรอวัคซีนโควิด-19

สถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบในวงกว้าง พบอัตราการติดเชื้อใหม่ และอัตราการเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทย ยิ่งสร้างความกังวลให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มักพบการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่แพร่กระจายสู่คนทั่วไปได้เช่นเดียวกับโควิด-19 และหากติดเชื้อร่วมกัน (Co-infection) จากทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็จะทำให้มีอาการรุนแรง และยิ่งเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตมากขึ้นอีกด้วย 

มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ จึงได้จัดเสวนา “ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่…ในยุคโควิด-19” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ที่ถูกต้อง ความสำคัญของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมถึงการศึกษาวิจัยใหม่ ๆ ที่น่าสนใจในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่สนับสนุนคุณค่าของวัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 รวมถึงลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ได้ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาชนในยุคโควิด-19 เช่นทุกวันนี้

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) มีรายงานว่าในทุก ๆ ปี จะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 500 – 1,000 ล้านคนต่อปี และมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก ประมาณ 3 - 5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 290,000 – 650,000 คนต่อปี ซึ่งการเสียชีวิตส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าไข้หวัดใหญ่เป็นโรคไม่รุนแรง จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะใน 7 กลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง นอกจากนี้ ยังพบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถลดการป่วย ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ลง รวมไปถึงลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและการเข้ารับการรักษาตัวในห้องฉุกเฉินได้

ขณะที่ช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้พยายามฉีดปูพรมวัคซีนไข้หวัดใหญ่มากยิ่งขึ้น เพื่อตัดศัตรูออกไปด้านหนึ่ง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ววัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ช่วยป้องกันโควิด-19 แต่เชื่อว่าน่าจะมีการกระตุ้นทางอ้อมของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงเป็นเหตุผลสำคัญให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่ได้ช่วยรักษาบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นทรัพยากรสำคัญในภาวะวิกฤต อย่างน้อยก็ช่วยลดภาระจากการป่วยไข้หวัดใหญ่ลง เพื่อจะได้รับมือกับโควิด-19 อย่างเต็มกำลัง ขณะเดียวกัน ตัวผู้ป่วยเองก็ลดความสับสนและความวิตกกังวลจากอาการที่ใกล้เคียงกัน รวมถึงยังลดการเกิดโรคร่วมกัน (Co-infection) จากทั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาวิจัยในช่วงปี ค.ศ. 2020 – 2021 ของการระบาดโควิด-19 ที่สนับสนุนคุณค่าของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไว้อย่างน่าสนใจมากมาย ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกามีผลวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 22 มกราคม - 10 มิถุนายน 2020 (อ้างอิงจากข้อมูลเผยแพร่โดย US National Library of Medicine - National Institutes of Health) พบว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ครอบคลุมมากขึ้นทุก ๆ 10% จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 28%1 

ในขณะที่ประเทศบราซิลมีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ อัตราความรุนแรงของโควิด-19 และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในประเทศบราซิล (อ้างอิงจากบทความ BMJ Evidence-Based Medicine ฉบับเดือนสิงหาคม 2021) เป็นการเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ประมาณ 50,000 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 23 มิถุนายน 2021 โดยศึกษาเปรียบเทียบใน 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระยะ 1-3 เดือนที่ผ่านมา และ 2. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ผลปรากฏว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยโควิด-19 จะช่วยลดอัตราการนอนในแผนกผู้ป่วยหนักได้ 7% ช่วยลดอัตราของผู้ป่วยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้ถึง 17% และลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 16%2  ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้

ศ.นพ. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีอัตราการเกิดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ลดลงทั่วโลก อาจเกิดจากการใส่หน้ากากอนามัย การกักตัวอยู่บ้าน และการสร้างระยะห่างทางสังคม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มักมีคำถามว่ายังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่อีกหรือไม่ คำตอบคือ มีความจำเป็นอย่างมาก โดยมีผลการศึกษาต่าง ๆ มากมายที่บ่งชี้ว่า ‘วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19’ และหากกรณีที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และมีอาการก็จะต้องไปตรวจรักษาเหมือนผู้ป่วยโควิด-19 เพราะอาการที่แสดงเบื้องต้นจะไม่แตกต่างกัน ยิ่งกว่านั้น ทั้งการติดเชื้อโควิดและเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถติดเชื้อร่วมกันได้ ซึ่งจะทำให้มีการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น นอนโรงพยาบาลนานมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ และคนที่มีโรคประจำตัว เป็นต้น

ด้วยสถานการณ์การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ของไทยในปัจจุบันพบได้ทุกอายุ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในเด็กช่วงอายุ 0-4 ปี รองลงมาคือเด็กอายุ 5-14 ปี ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่มีมาตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จึงแนะนำให้ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อร่วมกันทั้งจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะจะยิ่งทวีความรุนแรงของโรคได้ เช่นเดียวกับกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไตวาย โรคตับ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สูงกว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี ขณะเดียวกันก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ได้แนะนำระยะเวลาของการฉีดวัคซีนโควิด-19 และวัคซีนอื่น ๆ ในวันเวลาเดียวกันได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทยแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19  ควรห่างจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนชนิดอื่น ๆ เป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของวัคซีนทั้งสองที่อาจจะซ้อนกัน โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ขยายระยะเวลาการเปิดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 3 สายพันธุ์ สำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง รวมทั้งเพิ่มเติมบุคลากรหรือผู้ปฏิบัติงานที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 และกลุ่มที่อยู่ในชุมชนแออัดและโรงเรียนในทุกช่วงอายุโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งนับเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่ดี ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ที่มีการระบาดภายในประเทศไทย โดยมีแนวทางปฎิบัติในการเข้ารับวัคซีน 3 แบบ คือฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ก่อน ฉีดวัคซีนโควิด-19, ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ระหว่าง ฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลัง ฉีดวัคซีนโควิด-19 

อย่างไรก็ตาม แพทย์ขอแนะนำให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 สายพันธุ์ และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ โดยวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ สามารถครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B ได้ทั้ง 2 สายพันธุ์  กล่าวคือครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ A ทั้ง H1N1 และ H3N2 และสายพันธุ์ B ทั้งตระกูล Victoria และ Yamagata จึงเพิ่มความสามารถในการครอบคลุมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ดีขึ้น ที่สำคัญจากการศึกษาวิจัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 และอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้อีกด้วย

ข้อมูลอ้างอิง

1. Influenza Vaccination and COVID-19 Mortality in the USA; https://doi.org/10.1101/2020.06.24.20129817

2. Inactivated trivalent influenza vaccination is associated with lower mortality among patients with COVID-19 in Brazil; http://dx.doi.org/10.1136/bmjebm-2020-111549

Adblock test (Why?)


แพทย์ย้ำวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 - โพสต์ทูเดย์
Read More

เตือนอย่าดื่ม "น้ำผุด" หวั่นรับสารพิษ ป่วยโรคท้องร่วง อันตรายต่อสุขภาพ - ไทยรัฐ

วันที่ 29 ก.ย. 2564 นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากที่มีการนำเสนอข่าวพบน้ำผุดกลางถนนสายซับสมอทอด-ไพศาลี หน้าศาลเจ้าพ่อขุนด่านธงชัย ต.ซับไม้แดง อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ และเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์นำไปดื่มเพื่อรักษาโรคภัยและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายนั้น ในเบื้องต้นขอให้ประชาชนอย่าได้นำน้ำดังกล่าวไปดื่มกิน แม้ว่าน้ำนั้นจะมองดูใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นก็ตาม

ทั้งนี้ เนื่องจากอาจจะมีเชื้อโรคจำพวกแบคทีเรีย โปรโตซัว ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าปนเปื้อนอยู่ได้ จนอาจทำให้เกิดโรคจากน้ำเป็นสื่อตามมา ซึ่งจะมีอาการตั้งแต่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวหรืออุจจาระร่วงจนสูญเสียน้ำ เกลือแร่ ในร่างกายมากทำให้ช็อก หมดสติและเสียชีวิตได้

นอกจากนั้นอาจจะมีสารเคมีจำพวกโลหะหนักที่อาจจะปนเปื้อนในน้ำนั้นได้ เช่น ตะกั่ว, ปรอท, สารหนู เสี่ยงต่อการได้รับสารพิษสะสมในร่างกาย ดังนั้นจึงควรรอให้ทางหน่วยงานราชการพิสูจน์แหล่งที่มาและคุณภาพน้ำให้ชัดเจนก่อน ซึ่งจากการสุ่มตรวจสอบคุณภาพน้ำบริโภคในปี 2563 พบว่าน้ำบริโภคที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น น้ำบ่อตื้น น้ำลำธาร หรือน้ำห้วย หรือเรียกว่าน้ำประปาภูเขา ซึ่งเป็นน้ำที่มีลักษณะคล้ายๆ กับน้ำผุดดังกล่าว ไม่มีความเหมาะสมสำหรับการนำมาบริโภคเลย สาเหตุสำคัญคือปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรียและฟีคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรีย บ่งบอกว่ามีโอกาสปนเปื้อนจากเชื้อโรคสูง

อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรให้ความสำคัญกับการเลือกน้ำสำหรับบริโภคในครัวเรือน ควรเลือกดื่มน้ำที่สะอาดและราคาถูก เช่น น้ำประปาที่มีกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน น้ำมีคุณภาพเหมาะสมต่อการบริโภค ที่สำคัญมีคลอรีนสำหรับฆ่าเชื้อโรคตกค้างอยู่ด้วย ซึ่งสังเกตง่ายๆ จะได้กลิ่นคลอรีนในน้ำประปาที่บ่งบอกว่าน้ำประปาสะอาดและปลอดภัย.

Adblock test (Why?)


เตือนอย่าดื่ม "น้ำผุด" หวั่นรับสารพิษ ป่วยโรคท้องร่วง อันตรายต่อสุขภาพ - ไทยรัฐ
Read More

"วัคซีนไข้หวัดใหญ่"อาจช่วยลดรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ - คมชัดลึก


 สถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ของ"โควิด-19" ส่งผลกระทบในวงกว้าง พบอัตราการติดเชื้อใหม่ และอัตราการเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทย ยิ่งสร้างความกังวลให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มักพบการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่แพร่กระจายสู่คนทั่วไปได้เช่นเดียวกับโควิด-19 และหากติดเชื้อร่วมกัน (Co-infection) จากทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็จะทำให้มีอาการรุนแรง และยิ่งเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตมากขึ้นอีกด้วย 
 
มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ จึงได้จัดเสวนา “ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่…ในยุคโควิด-19” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ที่ถูกต้อง ความสำคัญของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมถึงการศึกษาวิจัยใหม่ ๆ ที่น่าสนใจในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่สนับสนุนคุณค่าของวัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ

โดยพบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 รวมถึงลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ได้ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาชนในยุคโควิด-19 เช่นทุกวันนี้

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) มีรายงานว่าในทุก ๆ ปี จะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 500 – 1,000 ล้านคนต่อปี และมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก ประมาณ 3 - 5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 290,000 – 650,000 คนต่อปี ซึ่งการเสียชีวิตส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าไข้หวัดใหญ่เป็นโรคไม่รุนแรง จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะใน 7 กลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง

นอกจากนี้ ยังพบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถลดการป่วย ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ลง รวมไปถึงลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและการเข้ารับการรักษาตัวในห้องฉุกเฉินได้


ขณะที่ช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้พยายามฉีดปูพรมวัคซีนไข้หวัดใหญ่มากยิ่งขึ้น เพื่อตัดศัตรูออกไปด้านหนึ่ง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ววัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ช่วยป้องกันโควิด-19 แต่เชื่อว่าน่าจะมีการกระตุ้นทางอ้อมของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงเป็นเหตุผลสำคัญให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่ได้ช่วยรักษาบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นทรัพยากรสำคัญในภาวะวิกฤต อย่างน้อยก็ช่วยลดภาระจากการป่วยไข้หวัดใหญ่ลง เพื่อจะได้รับมือกับโควิด-19 อย่างเต็มกำลัง

ขณะเดียวกัน ตัวผู้ป่วยเองก็ลดความสับสนและความวิตกกังวลจากอาการที่ใกล้เคียงกัน รวมถึงยังลดการเกิดโรคร่วมกัน (Co-infection) จากทั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาวิจัยในช่วงปี ค.ศ. 2020 – 2021 ของการระบาดโควิด-19 ที่สนับสนุนคุณค่าของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไว้อย่างน่าสนใจมากมาย ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกามีผลวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 22 มกราคม - 10 มิถุนายน 2020 (อ้างอิงจากข้อมูลเผยแพร่โดย US National Library of Medicine - National Institutes of Health) พบว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ครอบคลุมมากขึ้นทุก ๆ 10% จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 28%1 
 

ในขณะที่ประเทศบราซิลมีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ อัตราความรุนแรงของโควิด-19 และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในประเทศบราซิล (อ้างอิงจากบทความ BMJ Evidence-Based Medicine ฉบับเดือนสิงหาคม 2021) เป็นการเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ประมาณ 50,000 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 23 มิถุนายน 2021 โดยศึกษาเปรียบเทียบใน 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระยะ 1-3 เดือนที่ผ่านมา และ 2. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ผลปรากฏว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยโควิด-19 จะช่วยลดอัตราการนอนในแผนกผู้ป่วยหนักได้ 7% ช่วยลดอัตราของผู้ป่วยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้ถึง 17% และลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 16%2  ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้


  ศ.นพ. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย

ศ.นพ. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีอัตราการเกิดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ลดลงทั่วโลก อาจเกิดจากการใส่หน้ากากอนามัย การกักตัวอยู่บ้าน และการสร้างระยะห่างทางสังคม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มักมีคำถามว่ายังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่อีกหรือไม่ คำตอบคือ มีความจำเป็นอย่างมาก โดยมีผลการศึกษาต่าง ๆ มากมายที่บ่งชี้ว่า ‘วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19’ และหากกรณีที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และมีอาการก็จะต้องไปตรวจรักษาเหมือนผู้ป่วยโควิด-19 เพราะอาการที่แสดงเบื้องต้นจะไม่แตกต่างกัน

ยิ่งกว่านั้น ทั้งการติดเชื้อโควิดและเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถติดเชื้อร่วมกันได้ ซึ่งจะทำให้มีการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น นอนโรงพยาบาลนานมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ และคนที่มีโรคประจำตัว เป็นต้น
 

ด้วยสถานการณ์การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ของไทยในปัจจุบันพบได้ทุกอายุ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในเด็กช่วงอายุ 0-4 ปี รองลงมาคือเด็กอายุ 5-14 ปี ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่มีมาตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จึงแนะนำให้ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อร่วมกันทั้งจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะจะยิ่งทวีความรุนแรงของโรคได้

เช่นเดียวกับกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไตวาย โรคตับ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สูงกว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี ขณะเดียวกันก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ด้วยเช่นกัน
 

ปัจจุบัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ได้แนะนำระยะเวลาของการฉีดวัคซีนโควิด-19 และวัคซีนอื่น ๆ ในวันเวลาเดียวกันได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทยแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 ควรห่างจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนชนิดอื่น ๆ เป็นเวลา 14 วัน

ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของวัคซีนทั้งสองที่อาจจะซ้อนกัน โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ขยายระยะเวลาการเปิดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 3 สายพันธุ์ สำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง รวมทั้งเพิ่มเติมบุคลากรหรือผู้ปฏิบัติงานที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 และกลุ่มที่อยู่ในชุมชนแออัดและโรงเรียนในทุกช่วงอายุโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งนับเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่ดี ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ที่มีการระบาดภายในประเทศไทย โดยมีแนวทางปฎิบัติในการเข้ารับวัคซีน 3 แบบ คือ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ก่อน ฉีดวัคซีนโควิด-19, ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ระหว่าง ฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลัง ฉีดวัคซีนโควิด-19 


  "วัคซีนไข้หวัดใหญ่"อาจช่วยลดรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้

อย่างไรก็ตาม แพทย์ขอแนะนำให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 สายพันธุ์ และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ โดยวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ สามารถครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B ได้ทั้ง 2 สายพันธุ์  กล่าวคือครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ A ทั้ง H1N1 และ H3N2 และสายพันธุ์ B ทั้งตระกูล Victoria และ Yamagata จึงเพิ่มความสามารถในการครอบคลุมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ดีขึ้น

ที่สำคัญจากการศึกษาวิจัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 และอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้อีกด้วย

ข้อมูลอ้างอิง
1. Influenza Vaccination and COVID-19 Mortality in the USA; https://ift.tt/2Y9CBnW
2. Inactivated trivalent influenza vaccination is associated with lower mortality among patients with COVID-19 in Brazil; http://dx.doi.org/ 10.1136/bmjebm-2020- 111549

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Adblock test (Why?)


"วัคซีนไข้หวัดใหญ่"อาจช่วยลดรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ - คมชัดลึก
Read More

แพทย์ย้ำ! ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ลดตายจากโควิด-19 - ผู้จัดการออนไลน์



แพทย์ย้ำวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความสำคัญโดยเฉพาะยุคโควิด-19 พร้อมเผยผลการศึกษาชี้วัคซีนไข้หวัดใหญ่อาจช่วยลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้
สถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบในวงกว้าง พบอัตราการติดเชื้อใหม่ และอัตราการเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทย ยิ่งสร้างความกังวลให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มักพบการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่แพร่กระจายสู่คนทั่วไปได้เช่นเดียวกับโควิด-19 และหากติดเชื้อร่วมกัน (Co-infection) จากทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็จะทำให้มีอาการรุนแรง และยิ่งเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตมากขึ้นอีกด้วย 


มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ จึงได้จัดเสวนา “ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่…ในยุคโควิด-19” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ที่ถูกต้อง ความสำคัญของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมถึงการศึกษาวิจัยใหม่ ๆ ที่น่าสนใจในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่สนับสนุนคุณค่าของวัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 รวมถึงลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ได้ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาชนในยุคโควิด-19 เช่นทุกวันนี้

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) มีรายงานว่าในทุก ๆ ปี จะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 500 – 1,000 ล้านคนต่อปี และมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก ประมาณ 3 - 5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 290,000 – 650,000 คนต่อปี ซึ่งการเสียชีวิตส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าไข้หวัดใหญ่เป็นโรคไม่รุนแรง จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะใน 7 กลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรง นอกจากนี้ ยังพบว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถลดการป่วย ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ลง รวมไปถึงลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและการเข้ารับการรักษาตัวในห้องฉุกเฉินได้


ขณะที่ช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้พยายามฉีดปูพรมวัคซีนไข้หวัดใหญ่มากยิ่งขึ้น เพื่อตัดศัตรูออกไปด้านหนึ่ง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ววัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ช่วยป้องกันโควิด-19 แต่เชื่อว่าน่าจะมีการกระตุ้นทางอ้อมของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงเป็นเหตุผลสำคัญให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่ได้ช่วยรักษาบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นทรัพยากรสำคัญในภาวะวิกฤต อย่างน้อยก็ช่วยลดภาระจากการป่วยไข้หวัดใหญ่ลง เพื่อจะได้รับมือกับโควิด-19 อย่างเต็มกำลัง ขณะเดียวกัน ตัวผู้ป่วยเองก็ลดความสับสนและความวิตกกังวลจากอาการที่ใกล้เคียงกัน รวมถึงยังลดการเกิดโรคร่วมกัน (Co-infection) จากทั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาวิจัยในช่วงปี ค.ศ. 2020 – 2021 ของการระบาดโควิด-19 ที่สนับสนุนคุณค่าของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไว้อย่างน่าสนใจมากมาย ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐอเมริกามีผลวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 22 มกราคม - 10 มิถุนายน 2020 (อ้างอิงจากข้อมูลเผยแพร่โดย US National Library of Medicine - National Institutes of Health) พบว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ครอบคลุมมากขึ้นทุก ๆ 10% จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 28%


ในขณะที่ประเทศบราซิลมีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ อัตราความรุนแรงของโควิด-19 และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในประเทศบราซิล (อ้างอิงจากบทความ BMJ Evidence-Based Medicine ฉบับเดือนสิงหาคม 2021) เป็นการเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ประมาณ 50,000 ราย ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 23 มิถุนายน 2021 โดยศึกษาเปรียบเทียบใน 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระยะ 1-3 เดือนที่ผ่านมา และ 2. กลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ผลปรากฏว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยโควิด-19 จะช่วยลดอัตราการนอนในแผนกผู้ป่วยหนักได้ 7% ช่วยลดอัตราของผู้ป่วยต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้ถึง 17% และลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 16%2 ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้

ศ.นพ. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีอัตราการเกิดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ลดลงทั่วโลก อาจเกิดจากการใส่หน้ากากอนามัย การกักตัวอยู่บ้าน และการสร้างระยะห่างทางสังคม ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มักมีคำถามว่ายังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่อีกหรือไม่ คำตอบคือ มีความจำเป็นอย่างมาก โดยมีผลการศึกษาต่าง ๆ มากมายที่บ่งชี้ว่า ‘วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19’ และหากกรณีที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และมีอาการก็จะต้องไปตรวจรักษาเหมือนผู้ป่วยโควิด-19 เพราะอาการที่แสดงเบื้องต้นจะไม่แตกต่างกัน ยิ่งกว่านั้น ทั้งการติดเชื้อโควิดและเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถติดเชื้อร่วมกันได้ ซึ่งจะทำให้มีการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น นอนโรงพยาบาลนานมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ และคนที่มีโรคประจำตัว เป็นต้น


ด้วยสถานการณ์การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ของไทยในปัจจุบันพบได้ทุกอายุ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในเด็กช่วงอายุ 0-4 ปี รองลงมาคือเด็กอายุ 5-14 ปี ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่มีมาตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จึงแนะนำให้ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อร่วมกันทั้งจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะจะยิ่งทวีความรุนแรงของโรคได้ เช่นเดียวกับกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไตวาย โรคตับ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สูงกว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี ขณะเดียวกันก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ได้แนะนำระยะเวลาของการฉีดวัคซีนโควิด-19 และวัคซีนอื่น ๆ ในวันเวลาเดียวกันได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทยแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 ควรห่างจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนชนิดอื่น ๆ เป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของวัคซีนทั้งสองที่อาจจะซ้อนกัน โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ขยายระยะเวลาการเปิดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 3 สายพันธุ์ สำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง รวมทั้งเพิ่มเติมบุคลากรหรือผู้ปฏิบัติงานที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 และกลุ่มที่อยู่ในชุมชนแออัดและโรงเรียนในทุกช่วงอายุโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งนับเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่ดี ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ที่มีการระบาดภายในประเทศไทย โดยมีแนวทางปฎิบัติในการเข้ารับวัคซีน 3 แบบ คือ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ก่อน ฉีดวัคซีนโควิด-19, ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ระหว่าง ฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลัง ฉีดวัคซีนโควิด-19

อย่างไรก็ตาม แพทย์ขอแนะนำให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 สายพันธุ์ และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ โดยวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ สามารถครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B ได้ทั้ง 2 สายพันธุ์ กล่าวคือครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ A ทั้ง H1N1 และ H3N2 และสายพันธุ์ B ทั้งตระกูล Victoria และ Yamagata จึงเพิ่มความสามารถในการครอบคลุมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ดีขึ้น ที่สำคัญจากการศึกษาวิจัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังช่วยลดความรุนแรงของโควิด-19 และอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้อีกด้วย.


Adblock test (Why?)


แพทย์ย้ำ! ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ลดตายจากโควิด-19 - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

อัพเดทวัคซีนกันโควิดสัญชาติไทย ครบทุกแพลตฟอร์ม - เดลีนีวส์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.

Adblock test (Why?)


อัพเดทวัคซีนกันโควิดสัญชาติไทย ครบทุกแพลตฟอร์ม - เดลีนีวส์
Read More

แพทย์เตือนคนไทยระวัง 'โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว' - ประชาชาติธุรกิจ

เนื่องใน “วันหัวใจโลก” หรือ World Heart Day วันที่ 29 กันยายน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเตือนคนไทยระวัง “ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว” (Atrial Fibrillation) ที่พบได้ในผู้ป่วยสูงอายุ น้ำหนักตัวมาก และผู้ป่วยโรคหัวใจ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วนี้ถ้ามาพร้อมกับ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือในผู้สูงอายุ จะทำให้สุ่มเสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาตและเสียชีวิตได้ แนะใช้หลักการ F-A-S-T สังเกตอาการ ใบหน้าเบี้ยว แขนอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด มีอาการแบบปัจจุบันทันด่วน ให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคทันที

ปัจจุบันคนไทยจำนวนมากเสี่ยงที่จะเป็นโรค “ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว” หรือ Atrial Fibrillation (AF) โดยส่วนใหญ่พบในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน ไทรอยด์ ความดันโลหิตสูง ล้วนแต่เป็นโรคท็อปฮิต ถ้าปล่อยไว้นานย่อมส่งผลกระทบลุกลามอาจเกิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต จากการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และภาวะหัวใจล้มเหลวจนเสียชีวิต

วันที่ 29 กันยายนของทุกปีถือเป็น “วันหัวใจโลก” หรือ World Heart Day ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมกับนานาชาติ รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของโรคหัวใจและภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วที่ต้องดูแลเอาใจใส่เรื่องของสุขภาพ พฤติกรรมใช้ชีวิต การรักษาและการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ


ศาสตราจารย์คลินิก นพ.ชาญ ศรีรัตนสถาวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ กล่าวถึงโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว หรือ AF ว่า ปัจจุบันคนไทยเสี่ยงเป็นโรค AF เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยและมีโรคประจำตัว ในภาวะนี้หัวใจห้องบนเต้นเร็วหรือเต้นพลิ้วด้วยความถี่สูง เช่น ประมาณ 300-400 ครั้งต่อนาที และส่งกระแสประสาทหรือกระแสไฟฟ้าลงมายังหัวใจห้องล่างแบบไม่สม่ำเสมอ ทำให้หัวใจห้องล่างเต้นเร็วขึ้นตามไปด้วยแต่ไม่เร็วเท่าห้องบน การทำงานจึงไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลต่อการทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เกิดอาการใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ วิงเวียนหน้ามืด เหนื่อยง่าย หายใจไม่ออก

นอกจากนั้น ผู้ป่วยโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วที่มีปัจจัยเสี่ยงควบคู่ ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ง่าย เพราะการทำงานของหัวใจที่เต้นผิดปกติ ทำให้เกิดลิ่มเลือดซึ่งอาจหลุดออกจากหัวใจไปอุดตันส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แขนขาหรือสมอง เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยจากสถิติพบว่าคนไข้ที่เป็นภาวะ AF ที่มีปัจจัยเสี่ยงควบคู่ มีความเสี่ยงไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้ประมาณ 4-5% ต่อปี

“อาการที่หมอแนะนำให้รีบพาผู้ป่วยมารักษาที่โรงพยาบาลแขนขาอ่อนแรงขยับไม่ได้ แม้ในบางครั้งอาการจะหายไปเองก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะโรค Stroke ถ้ารักษาไม่ทันเวลาใน 3-4 ชั่วโมง สมองจะเสียหายหนักกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมีอาการหายใจเหนื่อยหอบเพราะกล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเลือดไม่ทันแล้วน้ำท่วมปอด หอบเวลากลางคืน อาการวูบหมดสติเพราะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน สิ่งที่อาจจะตามมาคือหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิต”

นพ.ชาญ ระบุว่า การรักษาที่ดีคือต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลักๆ จากโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน การดื่มแอลกอฮอล์ น้ำหนักตัว โรคไทรอยด์ ภาวะนอนกรน อีกส่วนคือช่วงอายุที่มากขึ้น ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็น AF ประมาณ 1-2% และอายุ 80 ปีขึ้นไปพบเพิ่มเป็น 10-12% รวมถึงความเครียดเช่นในช่วงโควิด-19 ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งได้

“หนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วที่มีปัจจัยเสี่ยงควบคู่คือการป้องกัน อัมพฤกษ์ อัมพาต ด้วยยาต้านเลือดแข็งตัว ซึ่งมีแบบดั้งเดิมที่ออกฤทธิ์ผ่านทางวิตามินเค และแบบที่ออกฤทธิ์ไม่ผ่านทางวิตามินเค หรือเรียกว่า NOACs ยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่ออกฤทธิ์ผ่านทางวิตามินเค เช่น วาร์ฟาริน อาจจะได้รับผลกระทบจากอาหารและยาหลายชนิด เช่น ถ้าคนไข้ใช้ยาร่วมกับสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรก็อาจจะมีฤทธิ์ต้านเลือดแข็งตัวมากขึ้น ยาต้านเลือดแข็งตัวที่ออกฤทธิ์ไม่ผ่านทางวิตามินเค ดูจะมีความสะดวกและผลข้างเคียงน้อยกว่ายารูปแบบเดิม อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้องขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์ด้วยว่าคนไข้เหมาะสมกับยารูปแบบใด การใช้ยาต้านเลือดแข็งตัวในผู้ป่วยโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วอย่างเหมาะสมจะเป็นประโยชน์ลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะอัมพฤกษ์อัมพาต จะได้ประโยชน์มาก”


ทางด้าน พ.อ. นพ. เจษฎา อุดมมงคล นายกสมาคมโรคหลอดเลือดสมองไทย และ ผู้อำนวยการกองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ระบุว่าคนไทยเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อยู่ที่ประมาณ 100-200 รายต่อประชากรแสนคน และเสียชีวิตสูงถึงปีละประมาณ 30,000 ราย และเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะทุพพลภาพสูงมาก ในจำนวนนี้โรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วหรือ AF ประมาณ 10-20%

“โรคหลอดเลือดสมองที่มีสาเหตุมาจากหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น สามารถป้องกันได้มากกว่าสาเหตุอื่น ๆ หรือป้องกันได้ราว 60-70% ทั้งที่ยังไม่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ แต่เนื่องจากโรคนี้ยิ่งอายุมากยิ่งพบได้บ่อยและมักไม่แสดงอาการ หรือแสดงอาการเป็นช่วง ๆ จึงแนะนำให้มีการตรวจคัดกรองปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและเพิ่มการตรวจละเอียดเมื่อมีข้อบ่งชี้ตั้งแต่อายุ 45 ปี หรือใช้เครื่องตรวจไฟฟ้าหัวใจ และเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น AF และประเมินความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองก็จะมียาป้องกันเลือดเป็นลิ่ม โดยที่ต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับผู้ที่เคยป่วยสมองขาดเลือดมาแล้วและมี AF สามารถป้องกันการเป็นซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยง ทั้งเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิต บุหรี่ เป็นต้น และควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ที่สำคัญควรพบแพทย์และทานยาอย่างสม่ำเสมอ เพราะความเสี่ยงยังคงอยู่ ซึ่งทั้งยากลุ่ม VKA อย่างวาร์ฟาริน และกลุ่ม NOACs สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมองกลับมาเป็นซ้ำได้ และยังช่วยลดภาวะทุพพลภาพและลดอัตราการเสียชีวิต หากมีอาการเกิดซ้ำ

สำหรับในช่วงการระบาดของโควิด-19 พ.อ.นพ เจษฎา เตือนว่ามีปัจจัยที่ต้องระวัง เพราะผู้ติดเชื้อโควิดเป็นกลุ่มที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ง่าย ซึ่งมักพบในปอดและบางรายพบที่สมองได้ จึงมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด Viral Vector ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันแบบเกล็ดเลือดต่ำสูงกว่าวัคซีนประเภทอื่นและการรักษามีความซับซ้อน และหากผู้ป่วยติดเชื้อโควิดและเป็นโรคหลอดเลือดสมองด้วย กระบวนการรักษาจะยากลำบากขึ้นมาก

ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรงของโรค ขอให้ประชาชนสังเกตสัญญาณเตือนของร่างกาย จำง่ายๆ ว่า F-A-S-T ซึ่งย่อมาจาก Face หมายถึงใบหน้าผิดปกติ หน้าเบี้ยว Arm แขนชาหรืออ่อนแรง Speech พูดไม่ชัด พูดไม่เข้าใจ หรือพูดไม่ได้ และ Time คือเกิดอาการแบบปัจจุบันทันด่วนและหากมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ขอให้ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที หรือ โทร.1669 เพื่อนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

Adblock test (Why?)


แพทย์เตือนคนไทยระวัง 'โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว' - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

ปธ.ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ แนะคนฉีดซิโนแวคครบโดส รีบฉีดเข็มกระตุ้น - ช่อง 7

คำถามสำหรับคนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบโดส 2 เข็ม ควรฉีดวัคซีนของบริษัทแอสตราเซนเนกา เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 หรือไม่ แต่ได้จองซื้อและจ่ายเงินค่าวัคซีนของโมเดอร์นาไว้ จะทำอย่างไรดี ? พล.อ.ท.นายแพทย์อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อแนะนำผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า คนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้ว หลัง 3 เดือนส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกันจะลดลงมาก จนไม่น่าจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาได้ รวมทั้งไม่แน่ใจว่าจะป้องกันอาการรุนแรงของโควิด-19 ได้ดีแค่ไหน จึงควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น

มีการศึกษาในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการกระตุ้นด้วย วัคซีนแอสตราเซนเนกา ว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ถึงแม้จะสู้การกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ไม่ได้ แต่ก็สูงพอที่จะป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ และยังมีข้อมูลล่าสุดที่พบว่าคนที่ได้รับการกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตราเซนเนกามีภูมิคุ้มกันลดลงช้ากว่าคนที่กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์อีกด้วย

ส่วนข้อมูลของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนโมเดอร์นาในคนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มยังไม่มี เพราะเรายังไม่มีวัคซีนนี้ในเมืองไทย แต่ผลก็ไม่น่าจะต่างจากการกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA เหมือนกัน  ปัญหาสำคัญคือถึงตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าวัคซีนโมเดอร์นาจะมาเมื่อไร แล้วคนที่จองไว้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ฉีดในล็อตไหนด้วย  ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขที่เสนอ ศบค. ยังระบุว่ากว่าจะได้วัคซีน คือเดือน ธ.ค. 64

6153e77f93fe73.79363323.jpg

ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ ระบุด้วยว่าความเห็นส่วนตัวคิดว่า คนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ถ้าได้รับการติดต่อให้ได้รับเข็ม 3 ด้วยวัคซีนแอสตราเซนเนกาในช่วงนี้ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็ม 2 มานานกว่า 3 เดือนแล้ว  น่าจะรับวัคซีนแอสตราเซนเนกาไปเลย ไม่ต้องรอ ไม่ต้องเสียดายเงินกัน ถือว่าจ่ายเป็นค่าบริหารความเสี่ยง เพราะเราไม่รู้มาก่อนว่ารัฐบาลจะให้วัคซีนเข็มที่ 3 กับเราได้เร็วกว่าวัคซีนที่เราจองไว้แบบนี้

แต่การตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกาตอนนี้เลย หรือจะรอวัคซีนโมเดอร์นา ที่ยังไม่รู้จะมาเมื่อไร คงขึ้นกับแต่ละคนว่าจะยอมรับความเสี่ยงที่จะเป็นโควิด 19 ระหว่างรอได้หรือไม่

Adblock test (Why?)


ปธ.ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ แนะคนฉีดซิโนแวคครบโดส รีบฉีดเข็มกระตุ้น - ช่อง 7
Read More

'สมุทรสาคร'เฮ!ติดเชื้อแค่99คน - ไทยโพสต์

29 ก.ย.2564 - สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครได้เปิดเผยตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อโควิด19 ซึ่งเป็นข้อมูลของวันที่28 ก.ย.เวลา 24.00 น.ว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างมากต่ำกว่าร้อยแล้วเหลือเพียง 99 ราย เป็นการค้นหาเชิงรุก 28 ราย ในโรงพยาบาล 71 ราย  และมีผู้เสียชีวิตแค่ 1 ราย อยู่ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล 2,908 ราย รักษาหายกลับบ้านได้ 79 ราย อยู่ระหว่างการสังเกตอาการอีก4,575ราย

ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด19ฉีดได้ 11,213 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 3,083 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 8,130 โดส ยอดสะสมรวมทั้งสิ้น 922,682 โดส 

Adblock test (Why?)


'สมุทรสาคร'เฮ!ติดเชื้อแค่99คน - ไทยโพสต์
Read More

Tuesday, September 28, 2021

โควิดสมุทรสาครลดฮวบ ติดเชื้อใหม่ 99 คน เสียชีวิต 1 คน - ช่อง 7

วันนี้ ( 29 ก.ย. 64 ) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร รายงานสถานการณ์โรคโควิด-19 ประจำวัน โดยสมุทรสาครมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 99 คน เป็นการติดเชื้อในพื้นที่ 76 คน ส่วนอีก 23 คน เป็นผู้ป่วยจากนอกพื้นที่ ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 106,101 คน และมีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้เพิ่มขึ้น 222 คน คงเหลือผู้ป่วยระหว่างการรักษา 7,483 คน อยู่ในโรงพยาบาล 2,908 คน อยู่ใน รพ.สนาม 4,575 คน ขณะเดียวกันมีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 คน จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 1,098 คน

6153cfb269ded3.46389438.jpg

สำหรับความคืบหน้าการฉีดวัคซีน วานนี้ ( 28 ก.ย. 64 ) ฉีดเพิ่มขึ้น 11,213 โดส เป็นวัคซีนเข็มแรก 3,083 คน และวัคซีนเข็มที่สอง 8,130 คน ยอดสะสม 922,682 โดส

6153cfc2673d28.97615799.jpg

Adblock test (Why?)


โควิดสมุทรสาครลดฮวบ ติดเชื้อใหม่ 99 คน เสียชีวิต 1 คน - ช่อง 7
Read More

สลดเฒ่า 110 ปี ติดโควิดเสียชีวิต 27 จังหวัด ติดเชื้อเกิน 100 ราย - ข่าวสด

สลดเฒ่า 110 ปี ติดโควิดเสียชีวิต 27 จังหวัด ติดเชื้อเกิน 100 ราย ส่วน 25 จังหวัด มีผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 20 คน 26 ก.ย.ฉีดวัคซีนได้ 1.7 แสนโดส

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

วันที่ 27 ก.ย.64 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์โควิด 19 ประจำวัน ว่า วันนี้ประเทศไทยติดเชื้อใหม่ 10,288 ราย สะสม 1,571,926 ราย หายป่วย 12,494 ราย สะสม 1,435,401 ราย เสียชีวิต 101 ราย สะสม 16,369 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 120,156 ราย อยู่ใน รพ. 33,759 ราย รพ.สนามและอื่นๆ 86,397 ราย มีอาการหนัก 3,341 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 728 ราย

ภาพรวมผู้ติดเชื้อวันนี้มาจาก 67 จังหวัดรวมกันสูงสุด 5,470 ราย กทม.และปริมณฑล 3,163 ราย 4 จังหวัดภาคใต้ 1,516 ราย เรือนจำ 127 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศมี 12 ราย ได้แก่ รัสเซีย ลาว ประเทศละ 2 ราย มาเลเซีย 4 ราย (ช่องทางธรรมชาติ 3 ราย) และกัมพูชา 4 ราย

เสียชีวิต 101 ราย

ผู้เสียชีวิต 101 ราย มาจาก 38 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ 16 ราย , กทม. 12 ราย , นราธิวาส ชลบุรี จังหวัดละ 6 ราย , นครปฐม สระบุรี ฉะเชิงเทรา จังหวัดละ 4 ราย , ชุมพร ภูเก็ต ราชบุรี สุพรรณบุรี จังหวัดละ 3 ราย , นนทบุรี สมุทรสาคร ขอนแก่น เชียงราย กำแพงเพชร นครสวรรค์ ยะลา ลพบุรี ปราจีนบุรี ระยอง จังหวัดละ 2 ราย และ เลย สกลนคร ชัยภูมิ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ พิจิตร อุตรดิตถ์ พังงา พัทลุง สงขลา พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี กาญจนบุรี จันทบุรี ตราด และสระแก้ว จังหวัดละ 1 ราย

ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 56 ราย หญิง 45 ราย อายุ 29 – 110 ปี ค่ากลางอายุ 70 ปี โดยเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 74 ราย คิดเป็น 73% อายุต่ำกว่า 60 ปี มีโรคเรื้อรัง 23 ราย คิดเป็น 23% รวม 2 กลุ่มนี้สูง 96% อายุน้อยกว่า 60 ปีไม่มีโรคเรื้อรัง 4 ราย คิดเป็น 4% พบเสียชีวิตนอก รพ. 2 ราย ที่จันทบุรีและฉะเชิงเทรา

ติดเกิน 100 ราย 27 จังหวัด

ภาพรวมติดเชื้อเกิน 100 รายมี 27 จังหวัด โดย 10 จังหวัดที่ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ 1.กทม. 1,785 ราย สะสม 361,857 ราย 2.สมุทรปราการ 607 ราย สะสม 107,288 ราย 3.ชลบุรี 587 ราย สะสม 85,022 ราย 4.สงขลา 466 ราย สะสม 28,539 ราย 5.ยะลา 445 ราย สะสม 21,454 ราย

6.ระยอง 355 ราย สะสม 30,160 ราย 7.ปัตตานี 305 ราย สะสม 20,629 ราย 8.นราธิวาส 300 ราย สะสม 22,391 ราย 9.สมุทรสาคร 291 ราย สะสม 87,976 ราย และ 10.ราชบุรี 274 ราย สะสม 29,020 ราย

สำหรับ 17 จังหวัดที่เหลือ ได้แก่ นนทบุรี 272 ราย , นครศรีธรรมราช 250 ราย , นครราชสีมา 224 ราย , อุดรธานี 214 ราย , สุราษฎร์ธานี 205 ราย , ขอนแก่น 203 ราย , ปราจีนบุรี 198 ราย

ภูเก็ต 190 ราย , จันทบุรี 185 ราย , กาญจนบุรี 185 ราย , ตาก 172 ราย , ชุมพร 172 ราย , สระบุรี 165 ราย , กระบี่ 155 ราย , ลพบุรี 131 ราย , เพชรบุรี 123 ราย และปทุมธานี 122 ราย

ต่ำกว่า 20 ราย เหลือ 25 จังหวัด

ขณะที่ติดเชื้อต่ำกว่า 20 ราย มีเหลือ 25 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร 17 ราย , เพชรบูรณ์ 17 ราย , พิษณุโลก 16 ราย , สิงห์บุรี 16 ราย , สกลนคร 16 ราย , อุตรดิตถ์ 15 ราย , กาฬสินธุ์ 15 ราย , พิจิตร 14 ราย , อำนาจเจริญ 12 ราย , ลำพูน 11 ราย , ศรีสะเกษ 11 ราย

แม่ฮ่องสอน 9 ราย , ลำปาง 9 ราย , หนองคาย 8 ราย , ชัยนาท 7 ราย , แพร่ 7 ราย , สุโขทัย 6 ราย , นครพนม 6 ราย , อุทัยธานี 5 ราย , ยโสธร 5 ราย , น่าน 4 ราย , บึงกาฬ 3 ราย , มุกดาหาร 2 ราย , หนองบัวลำภู 1 ราย , และพะเยา 0 ราย

ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 วันที่ 26 ก.ย. ฉีดได้ 175,926 โดส สะสม 50,566,651 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 31,548,310 ราย ครบ 2 เข็ม 17,891,858 ราย เข็มสาม 1,125,675 ราย และเข็มสี่ 808 ราย

Adblock test (Why?)


สลดเฒ่า 110 ปี ติดโควิดเสียชีวิต 27 จังหวัด ติดเชื้อเกิน 100 ราย - ข่าวสด
Read More

แนะคนฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ที่จองโมเดอร์นา เข็ม 3 ควรฉีดแอสตร้าฯไม่ต้องรอ หลังไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ - ข่าวสด

ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ แนะคนฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ที่จองบูสโมเดอร์นา เข็ม 3 ควรฉีดแอสตร้าฯไปก่อนไม่ต้องรอ หลังไม่รู้วัคซีนที่จองไว้จะได้ฉีดเมื่อไหร่

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

วันที่ 29 ก.ย.64 พล.อ.ท.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Anutra Chittinandana ระบุถึงการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ความว่า

มีคนที่ได้รับวัคซีนของบริษัทซิโนแวค 2 เข็มแล้วถามว่า ตอนนี้มี รพ.ติดต่อมาสอบถามว่าจะฉีดวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนกากระตุ้นไหม แต่ก็จองและจ่ายเงินวัคซีนของบริษัทโมเดอนาไว้จะทำอย่างไรดี?

คนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้ว หลัง 3 เดือนส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกันจะลดลงมากจนไม่น่าจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้ รวมทั้งไม่แน่ใจว่าจะป้องกันอาการรุนแรงของโควิด 19 ได้ดีแค่ไหน จึงควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น

ซึ่งมีการศึกษาในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการกระตุ้นด้วย วัคซีนแอสตร้าเซเนกาว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ถึงแม้จะสู้การกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ไม่ได้ แต่ก็สูงพอที่จะป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้ และยังมีข้อมูลล่าสุดที่พบว่าคนที่ได้รับการกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตร้าเซนเนกามีภูมิคุ้มกันลดลงช้ากว่าคนที่กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์อีกด้วย

ส่วนข้อมูลของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนโมเดอนาในคนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มยังไม่มี เพราะเรายังไม่มีวัคซีนนี้ใช้ในเมืองไทย แต่ผลก็ไม่น่าจะต่างจากการกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นวัคซีน mRNA เหมือนกัน

ปัญหาสำคัญคือถึงตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าวัคซีนโมเดอนาจะมาเมื่อไหร่ แล้วคนที่จองไว้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ฉีดในล๊อตไหนด้วย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขที่เสนอ ศบค.ยังลงว่ากว่าจะได้คือเดือนธันวาคม 64

ความเห็นส่วนตัวคิดว่า คนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ถ้าได้รับการติดต่อให้ได้รับเข็ม 3 ด้วยวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาในช่วงนี้ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเข็ม 2 มานานกว่า 3 เดือนแล้ว น่าจะรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาไปเลย ไม่ต้องรอ ไม่ต้องเสียดายเงินกัน ถือว่าจ่ายเป็นค่าบริหารความเสี่ยง เพราะเราไม่รู้มาก่อนเลยว่ารัฐบาลจะให้วัคซีนเข็มที่ 3 กับเราได้เร็วกว่าวัคซีนที่เราจองไว้แบบนี้

แต่การตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาตอนนี้เลย หรือจะรอวัคซีนโมเดอนาที่ยังไม่รู้จะมาเมื่อไหร่คงขึ้นกับแต่ละคนว่าจะยอมรับความเสี่ยงที่จะเป็นโควิด 19 ระหว่างรอได้หรือไม่ครับ

Adblock test (Why?)


แนะคนฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ที่จองโมเดอร์นา เข็ม 3 ควรฉีดแอสตร้าฯไม่ต้องรอ หลังไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ - ข่าวสด
Read More

จส. 100 - จส. 100


          สำนักงานประชาสัมพันธ์ จ.ชลบุรี รายงานการติดเชื้อโควิด-19 วันที่ 27ก.ย.64 


1.ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 587 คน


2.ยอดสะสม 85,024 คน


3.กำลังรักษา 11,862 คน


4.รักษาหาย 655 คน


5.รักษาหายสะสม 72,567 คน


6.เสียชีวิต 6 ราย


7.เสียชีวิตสะสม 595 ราย


รายละเอียดผู้ติดเชื้อรายใหม่


1. Cluster บริษัท เอส.พี.อินเตอร์ มารีน จำกัด (ทุ่นแก่นตะวัน กลางทะเลศรีราชา-เกาะสีชัง) อำเภอศรีราชา 9 คน สะสม 9 คน


2. Cluster บริษัท ไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ จำกัด อำเภอศรีราชา 5 คน สะสม 130 คน


3. Cluster บริษัท หยงยู่ วู้ด อินดัสทรี จำกัด อำเภอพนัสนิคม 5 คน สะสม 11 คน


4. Cluster บริษัท อ่าวไทยเจลลีฟิช จำกัด อำเภอเมืองชลบุรี 4 คน สะสม 4 คน


5. ค้นหาเชิงรุก ชุมชนทิวสน หมู่ 1 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี 12 คน สะสม 34 คน


6. อาชีพเสี่ยงพบปะผู้คนจำนวนมาก 26 คน


7. สถานประกอบการในจังหวัดระยองหลายแห่ง 31 คน


8. สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน


8.1 ในครอบครัว 217 คน


8.2 จากสถานที่ทำงาน 129 คน


8.3 บุคคลใกล้ชิด 17 คน


8.4 ร่วมวงสังสรรค์ 1 คน


9. สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน (อยู่ระหว่างสอบสวนโรค) 34 คน


10. อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 97 คน


          การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เริ่มจากแหล่งสถานบันเทิง สู่ครอบครัว มาสู่เพื่อนร่วมงาน มาสู่ชุมชนที่พักอาศัยพนักงาน แรงงาน ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงมาจากการทานข้าวร่วมกัน หรือมีกิจกรรมใกล้ชิด สังสรรค์แม้จะเป็นเพียงกลุ่มเล็ก 2-3 คนในเพื่อนสนิท



          ขณะนี้มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) ในสถานประกอบการ 75 แห่ง และตลาด 5 แห่ง แคมป์คนงานก่อสร้าง 10 แห่ง และชุมชน 4 แห่ง


 


#โควิด19


#ชลบุรี


CR:สำนักงานประชาสัมพันธ์ จ.ชลบุรี 


 


 

Adblock test (Why?)


จส. 100 - จส. 100
Read More

วิธีลดน้ำหนักคีโตวีแกน Keto Vegan Diet ดีไหม กินอะไรได้-ไม่ได้บ้าง - kapook.com

          คีโตวีแกน สูตรลดน้ำหนักที่กำลังได้รับความสนใจ แต่ใครที่ยังสงสัยว่าสูตรนี้ดียังไง กินแบบไหน หรือต่างจากคีโตล้วนหรือวีแกนล้วนยังไง มาหาคำตอบกัน
          หลายคนอาจจะคุ้นชื่อสูตรลดน้ำหนักคีโต (Ketogenic Diet) กันดี พร้อมกับรู้จักการกินอาหารแบบวีแกน (Vegan) ที่เน้นกินพืชด้วยเหมือนกัน ทว่าพอมาเห็นวิธีลดน้ำหนักคีโตวีแกน (Keto Vegan) ก็อาจจะงง ๆ อยู่บ้างว่าเป็นสูตรลดน้ำหนักแบบไหน หลักการกินเป็นยังไง ที่สำคัญประโยชน์หรือข้อดีของคีโตวีแกนมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง เอาเป็นว่าเรามาทำความเข้าใจสูตรลดน้ำหนัก สูตรนี้กันดีกว่า
คีโตวีแกน คืออะไร หลักการเป็นยังไง
คีโตวีแกน
          สูตรลดน้ำหนักคีโตวีแกน (Keto Vegan Diet) คือ การผสมผสานหลักการของคีโตและการกินแบบวีแกนเข้าด้วยกัน โดยสูตรนี้ยังเน้นการกินไขมันในสัดส่วน 55-60% ผสมผสานการกินโปรตีนในสัดส่วน 30-35% และกินคาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด คือราว ๆ 5-10% เหมือนการกินคีโต แต่แตกต่างตรงที่ไขมันที่เลือกกินจะไม่ใช่ไขมันจากสัตว์ แต่จะเลือกกินไขมันจากพืชแทน เช่น น้ำมันมะพร้าว อะโวคาโด ถั่วต่าง ๆ หรืออาหารประเภท Plant based เป็นต้น
คีโตวีแกน ลดน้ำหนักได้อย่างไร
          หลักการลดน้ำหนักของคีโตวีแกนก็เหมือนกับหลักการลดน้ำหนักด้วยคีโต คือ การกินไขมันสูง ๆ แต่กินคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลให้น้อยที่สุดเพื่อให้เกิดกระบวนการ Ketosis หรือการที่ร่างกายสร้างพลังงานด้วยการดึงไขมันออกมาใช้ ที่สำคัญยังเชื่อกันว่า การกินคีโตวีแกนที่เน้นกินไขมันจากพืชยังจะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
คีโตวีแกน กินอะไรได้บ้าง 
คีโตวีแกน

          คอนเซ็ปต์ของคีโตวีแกนแทบจะคล้ายคีโตเลยค่ะ คือกินคาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด เน้นกินไขมัน และโปรตีน เพียงแต่ไขมันที่คีโตวีแกนเลือกกินจะเป็นไขมันจากพืช ไขมันดีที่ดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงอาหารวีแกนอื่น ๆ ตามนี้


          1. ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว โดยกินได้ทั้งน้ำมันมะพร้าว น้ำกะทิ และผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวต่าง ๆ 


          2. น้ำมันพืช เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันจากถั่วต่าง ๆ, น้ำมันอะโวคาโด, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันมะกอก เป็นต้น


          3. ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น อัลมอนด์, วอลนัท, เมล็ดเจีย, แมคคาเดเมีย, เมล็ดฟักทอง เป็นต้น


          4. เนยถั่ว เนยจากพืช เช่น เนยอัลมอนด์, เนยเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น


          5. ยีสต์ออร์แกนิก


          6. ผักที่มีแป้งต่ำ เช่น ผักใบเขียวต่าง ๆ ผักโขม, คะน้า, บรอกโคลี, ดอกกะหล่ำ, ซูกินี, กะหล่ำปลี่ เป็นต้น


          7. เห็ดต่าง ๆ


          8. โปรตีนเกษตร โปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้ขาว, เทมเป้ เป็นต้น


          9. อะโวคาโด


          10. ทุเรียน


          11. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี (กินได้แต่ควรจำกัดปริมาณ)


          12. เครื่องปรุงรส เช่น หญ้าหวาน, น้ำมะนาว, เกลือ, พริกไทย, เครื่องเทศต่าง ๆ และสมุนไพรสด


          13. นมถั่วเหลือง


          14. นมอัลมอนด์    


          15. นมพิตาชิโอ


          16. ชีสจากพืช เช่น ชีสจากนมถั่วเหลือง หรือชีสถั่ว เป็นต้น


          17. ชา กาแฟ โกโก้ แบบไม่ใส่น้ำตาล ครีมเทียม หรือน้ำผึ้ง

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนในการรับประทานอาหารควรต้องเน้นการกินไขมันพืชเป็นหลัก ส่วนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ตามหลักการของคีโตวีแกนนะคะ และนอกจากสารอาหารหลักครบ 5 หมู่แล้ว คนที่กินคีโตวีแกนควรคำนึงถึงอาหารที่มีสารอาหารสำคัญเหล่านี้ด้วย  
  • แคลเซียม 
  • ธาตุเหล็ก 
  • กรดไขมันโอเมก้า 3 
  • วิตามินบี 12 
  • วิตามินดี 
  • สังกะสี 

          โดยสารอาหารเหล่านี้มักพบมากในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่เนื่องจากสูตรคีโตวีแกนจะไม่กินเนื้อสัตว์ ดังนั้นถ้ารับสารอาหารเหล่านี้จากพืชไม่เพียงพอ ก็อาจต้องกินวิตามินเสริม เพื่อไม่ให้ขาดสารอาหาร
คีโตวีแกน ห้ามกิน-ควรเลี่ยงอาหารอะไร
คีโตวีแกน

อาหารที่ห้ามกินเลย
          1. ไข่ 
          2. นมวัว เนย ผลิตภัณฑ์จากนมวัว โยเกิร์ตจากนมวัว
          3. อาหารทะเล เช่น ปลา กุ้ง หอย ปลาหมึก
          4. เนื้อสัตว์ทุกชนิด
          5. เจลาตินจากสัตว์
          6. น้ำผึ้ง
          7. เวย์โปรตีน

อาหารที่ควรเลี่ยง หรือควรจำกัดปริมาณ เนื่องจากเป็นคาร์โบไฮเดรต
          1. ขนมปังและเบเกอรี่ต่าง ๆ
          2. ข้าวโอ๊ต 
          3. ควินัว
          4. พาสต้า 
          5. ข้าว
          6. ซีเรียล
          7. ผักที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น แครอต, ข้าวโพด, มันฝรั่ง, มันหวาน, มันเทศ, มันญี่ปุ่น, หัวผักกาด, ถั่วลันเตา, ถั่วชิกพี, ถั่วเลนทิล, ถั่วดำ, ถั่วแดง
          8. หัวไชเท้า
          9. ผลไม้ที่นอกเหนือจากอะโวคาโด และผลไม้ตระกูลเบอร์รี ควรจำกัดปริมาณในการกิน
          10. เมเปิ้ลไซรัป และไซรัปต่าง ๆ 
          11. ซอสบาร์บีคิว หรือน้ำสลัดรสหวานต่าง ๆ 
          12. โซดา
          13. น้ำผลไม้
          14. เครื่องดื่มชูกำลัง
          15. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ คอกเทล ไวน์
          16. อาหารแปรรูป

คีโตวีแกน ประโยชน์ดียังไงบ้าง
คีโตวีแกน
          แม้จะยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่แน่ชัดว่าคีโตวีแกนดีต่อสุขภาพอย่างไร แต่ก็มีงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการกินไขมันจากพืช ซึ่งเป็นหลักการของการกินคีโตวีแกน ดังนี้

1. ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ

          งานวิจัย PREDIMED ซึ่งเป็นการทดลองแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบขนาดใหญ่ พบว่า อาหารเมดิเตอเรเนียนซึ่งมีไขมันจากพืชสูง ลดอัตราการตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากกว่าอาหารไขมันต่ำชนิดอื่น แต่งานวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้นศึกษากับผู้มีสุขภาพดี ยังไม่ได้ศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ก่อนแล้ว

2. ลดไขมันในเลือด

          งานวิจัยขนาดเล็กชิ้นหนึ่งที่ทำการเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างที่กินอาหารวีแกนแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรืออาหารอีโค แอทกินส์ (Eco-Atkins) กับอาหารมังสวิรัติชนิดกินคาร์โบไฮเดรตสูง ไขมันต่ำ แบบกินไข่และนมด้วย เป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่า การกินวีแกนคาร์โบไฮเดรตต่ำ ไขมันสูง ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในเลือดชนิด LDL คอเลสเตอรอล และระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ดีกว่ากลุ่มที่กินวีแกนแบบคาร์โบไฮเดรตสูง ไขมันต่ำ 

3. ลดน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์

          คนที่กินวีแกนยังมีโอกาสลดน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ โดยจากการศึกษา 12 กลุ่มตัวอย่างเป็นเวลานานกว่า 18 สัปดาห์ พบว่า ผู้ที่กินวีแกนสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่กินวีแกนประมาณ 2.52 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย  

4. ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง

          มีการศึกษาที่สำรวจคนที่กินวีแกนและพบว่า คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงจะเกิดโรคความดันโลหิตสูงลดลง 75% และยังลดความเสี่ยงโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้ 47-78% ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัยในกลุ่มคนงานกลุ่มหนึ่งที่พบว่า คนที่กินอาหารมังสวิรัติแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ ไขมันสูง มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินเนื้อสัตว์และกินอาหารตามปกติ

5. อาจลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

          ผลการศึกษาในปี 2014 ซึ่งสำรวจคนกินวีแกนกว่า 96,000 คน พบว่า การกินวีแกนอาจมีส่วนช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้
คีโตวีแกน ข้อเสียและผลข้างเคียงมีไหม 

          แม้คีโตวีแกนจะเป็นสูตรลดน้ำหนักที่มีประโยชน์น่าสนใจพอสมควร ทว่าการปรับร่างกายให้ดึงไขมันมาเป็นพลังงานแทนกลูโคสจากแป้งและน้ำตาล อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้

  • ไม่มีสมาธิ โฟกัสสิ่งที่ทำได้ยากกว่าปกติ
  • ปั่นป่วนท้อง ไม่สบายท้อง
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • ไม่ค่อยมีแรง
  • เวียนศีรษะ
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ฉุนเฉียวง่าย
  • อารมณ์แปรปรวน
  • ท้องผูก หรือท้องเสีย
  • เป็นตะคริว
  • นอนไม่หลับ
  • ขาดสารอาหารบางชนิด


          ทั้งนี้คนที่กินคีโตวีแกนควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ เลือกกินอาหารไฟเบอร์สูงและเพิ่มกิจกรรมทางร่างกายเบา ๆ เพื่อลดอาการข้างเคียงจากการกินคีโตวีแกน นอกจากนี้การเสริมด้วยวิตามินต่าง ๆ เช่น แมกนีเซียม, โซเดียม และโพแทสเซียม ยังอาจช่วยลดอาการตะคริว อาการปวดศีรษะ หรือภาวะนอนไม่หลับได้ด้วย

คีโตวีแกน ใครควรระวังบ้าง
บุคคลที่ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยวิธีคีโตวีแกนเด็ดขาด ได้แก่
  • เด็ก
  • หญิงตั้งครรภ์
  • หญิงให้นมบุตร
  • ผู้เคยมีประวัติป่วยด้วยโรคพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ
  • ผู้มีระดับไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผู้ที่มีปัญหาตับ หรือตับอ่อนผิดปกติ
  • ผู้ที่มีภาวะถุงน้ำดีผิดปกติ
  • ผู้ที่มีปัญหาไทรอยด์ผิดปกติ
 
          ส่วนคนที่มีปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ หรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ที่กำลังรักษาตัว ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนว่าควรลดน้ำหนักด้วยวิธีไหนถึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพ เนื่องจากสูตรลดน้ำหนักคีโตวีแกน ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
 
          สูตรลดน้ำหนักแต่ละสูตรก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ดังนั้นก่อนลดน้ำหนักด้วยวิธีไหนก็ตาม ควรศึกษาอย่างละเอียด และถ้าจะให้ดีก็ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อน เพื่อให้การลดน้ำหนักที่เราเลือกไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลลัพธ์ด้านดีที่คาดหวังนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องกับสูตรลดน้ำหนัก

Adblock test (Why?)


วิธีลดน้ำหนักคีโตวีแกน Keto Vegan Diet ดีไหม กินอะไรได้-ไม่ได้บ้าง - kapook.com
Read More

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...