เว็บไซต์ Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพสำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ
อีเมล: hfocus1713@gmail.com
พบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานร รายที่ 2 ในกรุงเทพมหานคร จริงหรือ ? - Hfocus
Read More
เว็บไซต์ Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพพญ.ช่อแก้ว คงการค้า นายแพทย์ชำนาญการ หัวหน้างานต่อมไร้ท่อ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ยืนยันกับ Hfocus ว่า การดื่มนม และการรับประทานไก่ ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย แต่จะทำให้เกิดลักษณะทางเพศทุติยภูมิขึ้นได้ชั่วคราว เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้เกิดเต้านมขึ้นได้ชั่วคราว แต่พอหยุดบริโภคเต้านมก็จะหายไปได้เอง ส่วนเด็กผู้หญิงที่สาวก่อนวัย เกิดได้จาก 2 สาเหตุ คือ สมองสั่งการและไม่ได้สั่งการ ส่วนใหญ่ที่เจอในเด็กผู้หญิง บางคนจะมีรอยโรคในสมองเป็นตัวกระตุ้น หรือมียีนส์ที่ผิดปกติ

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุว่า ผู้ป่วยฝีดาษลิงรายที่สองของไทย?
ไวรัสฝีดาษลิงที่ตรวจพบในประเทศไทยตอนนี้เป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่ม A.2 ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างในยุโรปและอเมริกาซึ่งเป็นกลุ่ม B.1 (สีเหลือง) ไวรัสใน 2 กลุ่มนี้มีความแตกต่างกันไม่มากในภาพรวม แต่มากพอที่จะแยกจากกันเป็นกลุ่มที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นกำเนิดของไวรัสที่ระบาดในประชากรมนุษย์ เชื่อว่ามาจาก 2 แหล่งที่แตกต่างกัน และ เนื่องจาก A.1 ใกล้เคียงกับสายพันธุ์เก่ามากกว่าจึงทำให้เชื่อว่าไวรัสฝีดาษลิงอาจจะอยู่ในประชากรมนุษย์มาสักพักนึงแล้วก่อนที่จะมีการระบาดอย่างเห็นได้ชัดของกลุ่ม B.1 ในตอนนี้ สำหรับความแตกต่างของอาการของโรค หรือความรุนแรงระหว่าง A.2 กับ B.1 ยังไม่มีข้อมูลแบ่งแยกออกมาชัดเจน
ถ้าดูจากข้อมูลของ A.2 ในฐานข้อมูลจะเห็นว่า A.2 ไม่ได้มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มมากเท่ากับ B.1 อาจจะเป็นเพราะไวรัสในกลุ่ม A.2 ยังมีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับไวรัสที่ระบาดหนักในตอนนี้ ข้อมูลนี้ชี้ว่าไวรัสในประเทศไทยพบแล้วในผู้ป่วย 2 ราย สายพันธุ์แรกคือจากชายชาวไนจีเรีย (Phuket-74) และอีกตัวอย่างหนึ่งมาจากผู้ป่วยอีกรายที่ถอดรหัสที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-ID220016-FTV) โดยไวรัสสองตัวอย่างมีความใกล้เคียงกันมาก และ มากกว่าสายพันธุ์ A.2 ที่ไปพบในอินเดีย และ สหรัฐอเมริกา เป็นไปได้สูงมากว่า ผู้ป่วยรายที่ 2 ได้รับเชื้อฝีดาษลิงมาจากชายชาวไนจีเรียรายแรก และยังไม่ใช่สายพันธุ์ B.1 ที่เป็นสายพันธุ์หลักของโลกตอนนี้
ป.ล เนื่องจาก A.2 มาก่อนหลายปี แต่มีผู้ป่วยน้อยกว่า B.1 มาก เลยแอบตั้งสมมติฐานว่า ไวรัส A.2 อาจจะมีคุณสมบัติการแพร่กระจายน้อยกว่า B.1 ซึ่งการที่ยังไม่พบ B.1 ในประเทศไทยอาจจะเป็นข่าวดีอยู่นิดๆครับ
ปัญหาการนอนกัดฟันเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะส่งผลเสียตั้งแต่ทำให้ฟันสึกกร่อน รุนแรงจนถึงฟันตาย ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่ได้ดูแลรักษาอย่างทันท่วงที
ทพญ.มนธิดา ทองธำรง เฉพาะทางสาขาทันตกรรมบดเคี้ยวและความเจ็บปวดช่องปากใบหน้า ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ สถาบันทันตกรรม กล่าวถึงสาเหตุของการกัดฟันว่า ปัจจุบันมีการสรุปว่า การนอนกัดฟันเป็นเรื่องของสมองที่ทำงานผิดปกติ การควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อบดเคี้ยวในตอนกลางคืน เกิดหดตัวอย่างแรงเป็นจังหวะ ๆ แม้ว่าจะกัดฟันเฉลี่ยคืนละ 10-20 นาทีเท่านั้น แต่แรงกัดฟันเยอะ ทำให้เกิดผลเสียได้ ซึ่งการนอนกัดฟันนั้นมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกกัดแล้วไถจะมีเสียง และแบบที่สองกัดแล้วเน้นย้ำ ไม่มีเสียง คนข้าง ๆ จะไม่ได้ยิน แต่หากมีการตรวจของทันตแพทย์จะทราบได้
"ความเครียด สภาวะการสบฟัน เป็นเพียงสิ่งที่กระตุ้นเท่านั้น กล่าวคือ ภาวะการนอนกัดฟัน เป็น Biopsychosocial หมายถึง Bio คือ สุขภาพร่างกาย Psycho สภาวะทางด้านจิตใจ Social สิ่งแวดล้อม ความเครียดจะกระตุ้นให้คนที่นอนกัดฟันอยู่แล้ว กัดฟันมากยิ่งขึ้น จากหลักฐานที่พบ คนที่นอนกัดฟันจะมีการทำงานของสมองส่วนหนึ่งที่แสดงออกมา อีกทั้งการนอนกัดฟันจะสัมพันธ์กับโรคที่ชื่อว่า Temporomandibular joint Disorder (TMD) หรืออาการเจ็บบริเวณขมับและข้อต่อ" ทพญ.มนธิดา กล่าว
ทพญ.มนธิดา เพิ่มเติมว่า คนไข้ที่มีอาการเจ็บบริเวณ ใบหน้า ข้อต่อ ขากรรไกร หรือตื่นเช้ามาเจ็บขมับ เมื่อยกราม ปวดศีรษะ เป็นสาเหตุซึ่งกันและกันของโรค เกิดได้จากภาวะการนอนกัดฟัน ร่วมกับพฤติกรรมของคนไข้ เช่น การเคี้ยวของแข็งเยอะ ๆ หรือการเคี้ยวอาหารข้างเดียวนาน ๆ จะส่งผลกับข้อต่อได้ ผลเสียสำคัญในการนอนกัดฟันด้วยแรงมาก ๆ จะส่งผลต่ออวัยวะ 3 ส่วน 1.ฟัน ทำให้เกิดอาการเสียวฟัน ฟันสึก หากกัดแรงมากและต่อเนื่องอาจทำให้เกิดฟันตายได้ เพราะไปกระทบกระเทือนเนื้อเยื้อของเส้นเลือดกับเส้นประสาทปลายราก หรือกัดฟันจนรากฟันแตก 2.กล้ามเนื้อบดเคี้ยว เช่น กล้ามเนื้อแก้ม กล้ามเนื้อบริเวณขมับ เมื่อเกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อเหล่านี้เยอะ ๆ จะคล้ายกับกล้ามเนื้อเป็นตะคริว ก็มีอาการเกร็งและเจ็บได้ 3.ข้อต่อขากรรไกรบริเวณหน้าหู Temporomandibular joint (TMJ) เมื่อกัดฟันอย่างแรงจะทำให้น้ำเลี้ยงข้อต่อบริเวณนั้นถูกดันออกไปด้านนอก ส่งผลให้ข้อต่อฝืดจนเกิดกระบวนการเสียดสี คนไข้จะเจ็บข้อต่อขากรรไกรขณะที่เคี้ยวอาหาร เนื่องจากมีการอักเสบได้
สำหรับวิธีการดูแลตัวเองของผู้ป่วยนอนกัดฟัน ทพญ.มนธิดา เปิดเผยว่า การรักษาต้องใส่เฝือกสบฟันร่วมกับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ เช่น ไม่เคี้ยวของเหนียวของแข็ง ไม่เคี้ยวหมากฝรั่งนาน ๆ ไม่ควรอ้าปากกว้างเกินไป และควรเคี้ยวอาหารทั้งสองข้าง หากเคี้ยวข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ฝั่งตรงข้ามจะเกิดปัญหาหมอนรองข้อต่อขากรรไกรจะเคลื่อนมาข้างหน้า สังเกตได้ตอนหุบปาก อ้าปาก เคี้ยวอาหาร จะได้ยินเสียงคลิก (Click) หากใช้งานไม่สมดุลก็จะเกิดปัญหาได้ ส่วนในช่วงกลางวันก็ควรสังเกตตัวเองไม่ให้เผลอกัดฟันเวลาที่ตั้งใจหรือเครียดกับกิจกรรมบางอย่าง โดยพยายามให้ฟันบนฟันล่างห่างกัน 1-2 มิลลิเมตร
"วิธีรักษา ทันตแพทย์จะแนะนำให้ใส่เฝือกสบฟัน (Occlusal Splint) ใส่ที่ฟันบนในตอนกลางคืน เครื่องมือจะช่วยลดอัตราการสึกของฟัน ด้วยความสูงของเครื่องมือที่ยกขึ้นมานิดหนึ่งจะทำให้การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อลดลง อาการเจ็บน้อยลง ลดอาการเจ็บของข้อต่อขากรรไกรได้ ส่วนการโบท็อกซ์เพื่อลดการกัดฟันก็สามารถทำได้ ผลของการฉีดจะทำให้กล้ามเนื้อทำงานน้อยลง หดตัวน้อยลง ลงแรงกัดทำให้กล้ามเนื้อทำงานน้อยลง แต่แพทย์ต้องคำนวณปริมาณโบท็อกซ์ให้พอดีกับกล้ามเนื้อ หากฉีดในจำนวนมากเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อไม่มีแรง กัดอาหารได้ไม่ขาด ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์นั้นต้องทำอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด แต่อยากแนะนำวิธีโบท็อกซ์ไว้สำหรับกลุ่มคนที่มีอาการรุนแรง เช่น ผู้ที่มีรอยโรคในสมองที่มีการกัดฟันตลอดเวลา" ทพญ.มนธิดา กล่าว
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

รัสเซียประกาศในวันอังคารว่า จะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station - ISS) หลังปี ค.ศ. 2024 เพื่อเตรียมสร้างสถานีอวกาศของตนเอง
ยูริ โบซิรอฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสำนักงานอวกาศรัสเซีย รอสคอสมอส (Roscosmos) กล่าวระหว่างการพบหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ว่า รัสเซียจะปฏิบัติหน้าที่ตามแผนที่วางไว้ร่วมกับประเทศพันธมิตรของสถานีอวกาศนานาชาติ "แต่ได้มีการตัดสินใจถอนตัวหลังปีค.ศ. 2024 แล้วอย่างแน่นอน" พร้อมระบุว่า จะเดินหน้าโครงการสถานีอวกาศของรัสเซียเองในปีเดียวกัน
โดยทางรัสเซียยืนยันหนักแน่นว่า การสร้างสถานีอวกาศในวงโคจรรอบโลก คือ ภารกิจหลักด้านอวกาศของรัสเซีย
ทางด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การอวกาศสหรัฐฯ หรือ NASA กล่าวกับรอยเตอร์ว่า NASA ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม ทาง NASA และชาติพันธมิตรของสถานีอวกาศนานาชาติหวังว่า จะเดินหน้าในโครงการความร่วมมือด้านอวกาศต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 2030 แม้รัสเซียจะถอนตัวหลังจากปี 2024 ก็ตาม
คำประกาศของรัสเซียครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่กำลังเกิดความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก สืบเนื่องจากการรุกรานยูเครนตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา และเมื่อเดือนที่แล้ว NASA และ Roscosmos เพิ่งตกลงใช้จรวดรัสเซียในการนำนักบินอวกาศจากชาติต่าง ๆ รวมทั้งสหรัฐฯ ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติด้วย

ยากลุ่มสแตติน (statin) เป็นยาลด “คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี” คือแอลดีแอล (LDL)ช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี คือเอชดีแอล (HD L) และช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดแดงเป็นยาที่มีประโยชน์มากสำหรับผู้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมอง
ข้อควรทราบในการใช้ยาสแตติน
1. แม้ค่าไขมันจะอยู่ในระดับปกติ แต่ผู้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือสมองยังจำเป็นต้องได้รับยาสแตตินตลอดไป เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค
2. ผู้ที่ยังไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองที่มีไขมันแอลดีแอลสูงในเลือดและมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคเท่านั้น ที่จะได้รับประโยชน์จากสแตติน โดยประเมินจากระดับแอลดีแอล และเอชดีแอล ร่วมกับเพศ อายุ ประวัติการมีภาวะความดันเลือดสูง การเป็นโรคเบาหวาน และการสูบบุหรี่ เป็นต้น
3. ผู้ที่ประเมินแล้วมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมอง (Thai CV risk score) ต่ำกว่า 10% ในระยะเวลา 10 ปี โดยทั่วไปมักไม่จำเป็นต้องได้รับสแตติน
ข้อมูล ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2565
ที่มา : ผศ. นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล
ฝ่ายเภสัชวิทยา
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยรายสัปดาห์ คาดผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน และเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญพันธุ์ของยุงที่เป็นพาหะนำโรค พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากปี 2564 2.6 เท่า
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 24-30 ก.ค. 2565 ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญพันธุ์ของยุงซึ่งเป็นพาหนะนำโรค โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชนบทชายป่าหรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ ทำให้มีโอกาสเกิดโรคและมีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนได้ โรคไข้มาลาเรีย หรือมีชื่อเรียกได้อีกว่า ไข้จับสั่น ไข้ป่า ไข้ดง ไข้ร้อนเย็น ไข้ดอกสัก ไข้ป้าง มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ซึ่งเป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางคืน
จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้มาลาเรียในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 13 ก.ค. 2565 พบผู้ป่วย จำนวน 4,765 ราย มากกว่าจำนวนการรายงานผู้ติดเชื้อในปี 2564 ถึง 2.6 เท่า กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุ 25-44 ปี รองลงมาคือ 15-24 ปี และอายุ 5-14 ปี ตามลำดับ จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ตาก 2,724 ราย แม่ฮ่องสอน 757 ราย และกาญจนบุรี 429 ราย ตามลำดับ
นอกจากนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร (ร้อยละ 48.0) รับจ้าง (ร้อยละ 25.0) และเด็ก/นักเรียน (ร้อยละ 24.0) ชนิดเชื้อส่วนใหญ่ คือ P.vivax (ร้อยละ 93.8) รองลงมา P.falciparum (ร้อยละ 3.0) ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเชื้อ P.vivax จะเป็นเชื้อชนิดรุนแรงน้อยกว่า P.falciparum แต่ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถอยู่ในร่างกายคนได้นานหลายปี ทําให้มีอาการของโรคไข้มาลาเรียแบบเป็นๆ หายๆ
อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ของการติดเชื้อมาจากการถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัด แต่สาเหตุอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ การถ่ายโลหิต ฯลฯ เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไข้มาลาเรีย เชื้อจะอยู่ในตัวยุงประมาณ 10-12 วัน เมื่อยุงนั้นไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อมาลาเรียจากต่อมน้ำลายเข้าสู่คน จึงทำให้คนที่ถูกยุงกัดเป็นไข้มาลาเรีย
สำหรับอาการเริ่มแรกของไข้มาลาเรียจะเกิดขึ้นหลังจากถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัดประมาณ 10-14 วัน จะมีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ อาจมีอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหารร่วมด้วย หลังจากนั้นจะมีอาการหนาวๆ ร้อนๆ เหงื่อออก อ่อนเพลียและเหนื่อย
ทั้งนี้ หากประชาชนมีอาการดังกล่าวหลังมีประวัติเคยเข้าไปในป่าหรืออาศัยอยู่ในป่าในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือนก่อนเริ่มป่วย ให้รีบไปพบแพทย์ และให้ประวัติการเดินทางเข้าป่าหรือพักอาศัยในป่า กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า เนื่องจากโรคไข้มาลาเรียไม่มีวัคซีนและไม่มียาเพื่อป้องกันการเกิดโรคโดยเฉพาะ ดังนั้น หากต้องเดินทางเข้าป่าหรือไปในพื้นที่เสี่ยงควรป้องกันตนเอง ดังนี้ 1. สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดแขนขาให้มิดชิด 2. ใช้ยาทากันยุงหรือจุดยากันยุง 3. นอนในมุ้งชุบน้ำยาทุกคืน ใช้มุ้งชุบน้ำยาคลุมเปลเมื่อไปค้างคืนในไร่นาป่าเขา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

อาการที่ผู้ป่วยโควิด 19 หลายคนต้องเผชิญ นอกจากอาการทั่วไปที่คล้ายกับไข้หวัดแล้ว ยังสามารถเกิดอาการอื่น ๆ เช่น เหนื่อย แน่นหน้าอก หายใจหอบ ซึ่งอาการเหล่านี้คล้ายกับโรคหัวใจ จนทำให้แยกได้ยากว่า ผู้ป่วยเป็นโควิดหรือโรคหัวใจกันแน่
นพ.เคย์ เผ่าภูรี แพทย์อายุรกรรมโรคหัวใจ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ อธิบายว่า โควิด 19 มีพื้นฐาน อาการเป็นกลุ่มอาการทางเดินอากาศ ทางเดินหายใจ จึงมีอาการไข้หวัด น้ำมูก ไอ เจ็บคอ บางคนก็สามารถติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการได้ แต่หากอยู่ในกลุ่มที่มีอาการรุนแรง มักจะมีการติดเชื้อสู่อวัยวะต่าง ๆ ทำให้อวัยวะล้มเหลวได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ส่วนใหญ่เมื่อมีอาการรุนแรงจะมุ่งเป้าไปที่ปอดเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันพบว่า การติดเชื้อโควิดส่งผลต่อการติดเชื้อกับหัวใจได้ในบางราย ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือกระตุ้นให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจเกิดได้ตั้งแต่เจ็บหน้าอกเล็กน้อย น้ำท่วมปอด ไปจนถึงหัวใจล้มเหลว โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง หากติดเชื้อโควิด 19 อาจเกิดอาการรุนแรงได้ แต่ยังพบได้ไม่บ่อย หากเทียบกับภาวะปอดติดเชื้อ หรือการหายใจล้มเหลว ที่พบได้บ่อยกว่า

"สำหรับการสังเกตอาการ ตัวคนไข้ต้องดูว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ เช่น มีประวัติสูบบุหรี่ มีโรคประจำตัวที่สำคัญอย่างความดันสูง โรคไขมันในเลือดสูง รวมไปถึงโรคเบาหวาน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจได้ พร้อมทั้งสังเกตอาการแน่นหน้าอก หรือเหนื่อยผิดปกติไปจากเดิม ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกว่า มีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้ แต่โรคหัวใจก็จะมีการเจ็บหน้าอกในลักษณะที่จำเพาะ เหมือนกับมีของหนักมาทับ ร้าวไปที่สะบัก หรือมีอาการอื่นร่วมด้วยอย่างใจสั่น เหงื่อออก ก็มักจะบ่งชี้ได้ว่า เป็นโรคหัวใจ และแม้แต่อาการเจ็บหน้าอกเพียงอย่างเดียวก็ยังเป็นโรคหัวใจได้ เพราะบางกลุ่มไม่แสดงอาการตรงไปตรงมา หากมีความเสี่ยงหรือมีอาการดังกล่าว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ใกล้บ้านจะดีที่สุด เพราะการเจ็บหน้าอก ไม่ใช่แค่โรคหัวใจ แต่เป็นโรคอื่นได้อีก" นพ.เคย์ กล่าว
ส่วนผู้ป่วยโควิดก็สามารถมีอาการคล้ายกับโรคหัวใจได้เช่นกัน นพ.เคย์ เปิดเผยว่า ผู้ป่วยโควิดที่มีอาการปอดติดเชื้อ มักจะแสดงอาการเจ็บหน้าอก หรือเหนื่อยหอบ ได้เช่นกัน หากผู้ป่วยโควิดที่แยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) รู้สึกร่างกายผิดปกติอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโควิดได้ เช่น อาการปอดอักเสบ ส่งผลให้เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ซึ่งแยกกันยากกับภาวะโรคหัวใจตีบ จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมิน หรือประชาชนทั่วไปเกิดอาการดังกล่าว ให้ตรวจเบื้องต้นด้วย Antigen Test Kit (ATK) ชุดตรวจโควิด-19 เสียก่อน เพื่อดูว่าติดโควิดหรือไม่ แล้วจึงไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดต่อไป
นพ.เคย์ ย้ำด้วยว่า วิธีที่พอจะสังเกตได้ว่าเป็นโรคหัวใจหรือโควิด คือ อาการเบื้องต้นของโควิดที่นำมาก่อน แต่บางราย คนไข้อาจเป็นโรคหัวใจแต่ติดเชื้อโควิดไม่แสดงอาการก็ได้ จึงควรตรวจ ATK ก่อน หากมีอาการต้องสงสัยหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย จากนั้นควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดต่อไป
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
วันที่ 24 กก.ค.65 เพจเฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้า โพสต์ข้อความระบุว่า...
6 ข้อควรรู้ในการป้องกันตนเองและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ “โรคฝีดาษวานร”
Cr. กรมควบคุมโรค

วันที่ 23 กรกฎาคม 2565 ศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ หรือ "หมอยง" หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความระบุถึงการฉีดวัคซีนโควิด ว่า "โควิด-19" การรับวัคซีนครบ จะต้องได้รับ 3 เข็ม
"หมอยง" ศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ เผยว่า หลักการให้วัคซีนป้องกันโรค จะประกอบไปด้วยการให้วัคซีนเบื้องต้น และทิ้งช่วงอีก 1 เข็ม เป็นการกระตุ้นให้ภูมิอยู่ในระดับที่สูงมาก จึงจะเรียกว่าได้รับวัคซีนครบ เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี วัคซีน จะต้องให้เบื้องต้น 2 เข็ม และตามด้วยกระตุ้นอีก 1 เข็ม จึงจะเรียกว่าได้ครบ
กล่าวคือ ให้เบื้องต้นห่างกัน 1 เดือน และหากไปอีก 5 เดือนให้เข็มที่ 3 ก็จะเป็นการครบการให้วัคซีนในการป้องกัน
ทำนองเดียวกันการให้ covid-19 วัคซีน ก็เช่นเดียวกัน การให้ครบหมายถึงต้องให้ 3 ครั้ง ให้เบื้องต้น 2 ครั้ง และตามด้วยกระตุ้นที่ 4 ถึง 6 เดือนต่อมาอีก 1 ครั้ง จึงจะเรียกว่าได้รับวัคซีนครบ
ส่วนใครที่ได้มากกว่า 3 ครั้ง ถือว่าเป็นการกระตุ้นเพิ่ม ซึ่งก็ควรจะเว้นระยะห่างจากเข็มสุดท้าย ไปประมาณ 4-6 เดือนเช่นเดียวกัน เพื่อยกระดับให้ภูมิต้านทานสูงขึ้น
หมอยง ระบุอีกว่า จากข้อมูลการให้วัคซีนในประเทศไทย ที่ยังมีความเข้าใจผิดคิดว่าการให้ครบ คือ ให้ 2 ครั้ง ซึ่งได้รับไปแล้ว 53 ล้านโดส หรือประมาณแค่ 80% กว่าเล็กน้อย และการให้ครบ 3 ครั้งขณะนี้เพิ่งได้เพียง 26 ล้านโดส หรือประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าประชากรไทยส่วนใหญ่ยังให้วัคซีนไม่ครบ ร่วม 60%
สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจใหม่ คือ การให้วัคซีนให้ครบ การให้วัคซีนครบคือให้ 3 ครั้ง ไม่ใช่ 2 ครั้ง และส่วนที่มากกว่า 3 ครั้งเป็นเข็มกระตุ้นให้ภูมิต้านทานยังคงสูงอยู่
ถึงเวลาแล้วที่ทางราชการหน่วยงานรับผิดชอบ จะต้องเปลี่ยนคำจำกัดความการให้วัคซีนครบ เป็น 3 ครั้ง และยอมรับว่าการให้วัคซีนครบ ในประเทศเรายังอยู่ในระดับต่ำ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง จำต้องผู้รับบริการ และผู้ให้บริการ ต้องเร่งการให้วัคซีนให้ครบให้ได้ประมาณสูงที่สุด ถ้าถึง 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปยิ่งดี
ข้อมูลจาก Yong Poovorawan
วันนี้ (23 ก.ค.) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชิญชวนประชาชนฉีดวัคซีนโควิด-19 และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดเสี่ยงการติดเชื้อในช่วงฤดูฝนนี้ เนื่องจากขณะนี้ เป็นช่วงฤดูฝน โรคโควิด-19 มีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีโอกาสติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งทั้ง 2 โรคเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเหมือนกัน มีอาการคล้ายกัน ซึ่งการใช้มาตรการป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19 จะช่วยป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ประชาชนควรดูแลตนเอง ทั้งการสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในบริเวณที่ชุมชน เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่ใช้ของส่วนตัวรวมกับคนอื่น หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัด รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ และผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว ควรได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขดำเนินตามนโยบายนายกรัฐมนตรี กระจายวัคซีนโควิด-19 และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไปยังโรงพยาบาลและหน่วยบริการในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้ง กทม. ยังเปิดให้บริการตรวจและฉีดวัคซีนโควิด-19 วันเสาร์ Walk in ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด กรุงเทพมหานคร อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง สถานีกลางบางซื่อ โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 11 แห่ง โรงพยาบาลสังกัดอื่นๆ 8 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง รวมทั้งบริการตรวจรักษาโควิด แบบเจอ แจก จบ ด้วย
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 2,578 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,577 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,350,028 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 1,877 ราย หายป่วยสะสม 2,349,142 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 24,700 ราย เสียชีวิต 29 ราย เสียชีวิตสะสม 9,429 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 886 ราย
“หมอยง” เปิดรับอาสาสมัครอายุ 18 ปีขึ้น ฉีดวัคซีน mRNA เข็ม 4 พร้อมขอเช็กระดับภูมิต้านทาน หลังฉีดวัคซีน 7 สูตร เพื่อเปรียบเทียบระดับภูมิต้านทาน
วันที่ 20 กรกฎาคม 2565 นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ระดับภูมิต้านทานจะลดลงตามกาลเวลาที่ผ่านไป ในช่วงการระบาดอย่างมาก
จึงจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นยกระดับภูมิต้านทาน เพื่อทำให้เมื่อติดเชื้อแล้วความรุนแรงของโรคจะลดลง การให้วัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 4 วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (วัคซีนไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ขนาดครึ่งโดส) หลังการฉีดวัคซีนมาแล้ว 3 เข็ม ด้วยสูตรต่าง ๆ ดังนี้
Sinovac + Sinovac + AstraZeneca
Sinovac + Sinovac + Pfizer
Sinovac + Sinovac + Moderna
Sinovac + AstraZeneca + AstraZeneca
Sinovac + AstraZeneca + Pfizer
Sinovac + AstraZeneca + Moderna
AstraZeneca + AstraZeneca + AstraZeneca
ทั้งนี้ เพื่อจะได้ทราบถึงระดับภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น ว่ามีการแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด จะเป็นข้อมูลพื้นฐาน ในการให้วัคซีนต่างชนิดกัน และเปรียบเทียบหลังเข็ม 4 กับข้อมูลที่มีอยู่เดิมแล้วในการให้หลังเข็ม 3 ว่าระดับภูมิต้านทานแตกต่างกันมากน้อยเพียงไร
โดยขอตรวจภูมิต้านทานก่อนรับวัคซีน และหลังการฉีดวัคซีน 1 เดือน อีก 1 ครั้ง เพื่อดูการตอบสนองของภูมิต้านทานต่อโควิด-19 โครงการวิจัยนี้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมทางการวิจัยในมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับผู้ที่สนใจจะมารับการฉีดวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (ไฟเซอร์ หรือ ครึ่งโดสโมเดอร์นา) เข็มที่ 4 มีคุณสมบัติดังนี้
1.ได้รับวัคซีนมาแล้ว 3 เข็ม ตามสูตรที่แสดงมาข้างบน
2.อายุ 18 ปีขึ้นไป
3.สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี
4.ไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
5.ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน
6.ยินดีให้ตรวจเลือดวัดภูมิต้านทานก่อนการฉีดวัคซีนครั้งที่ 1 และหลังการฉีดวัคซีน 1 เดือน อีก 1 ครั้ง รวม 2 ครั้ง
7.ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 4 )
โดยการกรอกกูเกิลฟอร์ม คลิก

สธ.แจงกรณีเด็ก 6 ขวบ ไม่ได้รับวัคซีนโควิด ติดเชื้อ-เสียชีวิตจากภาวะ MIS-C แนะพ่อแม่พาลูกอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนโดยเร็วเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2565 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงกรณี มีข่าวเด็กนักเรียนชั้นปฐมศึกษาปีที่ 2 อายุ 6 ปี ติดเชื้อโควิด 19 และป่วยหนักและเสียชีวิตจากภาวะMIS-C หรือการอักเสบหลายอวัยวะ เบื้องต้นพบว่าไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
นพ.โอภาส กล่าวว่า จากการตรวจสอบกับหน่วยงานในพื้นที่ ข้อมูลเบื้องต้นเป็นเด็กชาย อายุ 6 ปี 8 เดือนเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 บ้านพักอยู่จังหวัดปทุมธานี ถูกวินิจฉัยโรคโควิด 19 มีอาการไข้ น้ำมูก ถ่ายเหลว อ่อนเพลีย รักษาที่สถานพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนส่งตัวมารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลปทุมธานี เนื่องจากมีอาการซึม มือเท้าเย็นและช็อค เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม แพทย์ได้ให้การรักษาอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้เกิดภาวะอักเสบในหลายอวัยวะ หรือที่เรียกว่าภาวะ MIS-C ทั้งที่หัวใจและปอดส่งผลทำให้อาการรุนแรงเสียชีวิต สอดคล้องกับประวัติเด็กที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะ MIS-C กรมควบคุมโรคขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวอย่างยิ่ง
สถานการณ์ของโควิด-19 ในประเทศไทย ในระยะนี้เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.5 แพร่เชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่มีการคลุกคลีใกล้ชิดกันตลอด เมื่อเด็กติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายได้เอง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีส่วนน้อยมากที่สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เกิดภาวะการอักเสบในหลายอวัยวะ หรือที่เรียกว่าภาวะ MIS-C ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง ซึ่งเป็นการอักเสบที่อวัยวะสำคัญ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือ ช็อค ดังนั้น หากบุตรหลานมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจเร็ว เหนื่อย ซึม ตัวเย็น เรียกไม่รู้สึกตัว ภายหลังมีการติดเชื้อโควิด 19 แนะนำให้ผู้ปกครองรีบพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
“ภาวะอักเสบในหลายอวัยวะ หรือ MIS-C ในเด็ก สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน เราต้องระวังแต่อย่าตื่นตระหนก เพราะไม่ได้เกิดบ่อยในเด็กที่เป็นโควิด หากเด็กได้รับการฉีดวัคซีนครบจะทำให้มีโอกาสติดเชื้อและป่วยน้อยลง กรณีที่ป่วยอาการจะไม่รุนแรง จึงเชิญชวนให้นำบุตรหลานไปฉีดวัคซีน ที่มีทั้งไฟเซอร์ และ ซิโนแวค ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหาวัคซีนให้กับทุกกลุ่มวัยและทุกคน สามารถรับการฉีดได้ที่สถานบริการทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมให้บริการได้ตลอดทุกวัน ซึ่งเมื่อเด็กทุกคนได้รับวัคซีนแล้วจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยเพิ่มขึ้นทั้งกับตนเองและผู้อื่นที่เป็นสมาชิกในครอบครัว และครูนักเรียนในโรงเรียน” นพ.โอภาส กล่าว

'หมอยง' ชวนผู้สนใจอายุ 18 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนเข็ม 4 เอ็มอาร์เอ็นเอขนาดครึ่งโดส เพื่อศึกษาระดับภูมิต้านทาน
20 ก.ค.2565 - ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “โควิด 19 การศึกษาระดับภูมิต้านทานหลังให้วัคซีนเข็ม 4” ระบุว่า ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ระดับภูมิต้านทานจะลดลงตามกาลเวลาที่ผ่านไป ในช่วงการระบาดอย่างมาก จึงจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นยกระดับภูมิต้านทาน เพื่อทำให้เมื่อติดเชื้อแล้วความรุนแรงของโรคจะลดลง
การให้วัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 4 วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (วัคซีนไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ขนาดครึ่งโดส) หลังการฉีดวัคซีนมาแล้ว 3 เข็มด้วยสูตรต่างๆดังนี้
>> Sinovac + Sinovac + AstraZeneca
>> Sinovac + Sinovac + Pfizer
>> Sinovac + Sinovac + Moderna
>> Sinovac + AstraZeneca + AstraZeneca
>> Sinovac + AstraZeneca + Pfizer
>> Sinovac + AstraZeneca + Moderna
>> AstraZeneca + AstraZeneca + AstraZeneca
เพื่อจะได้ทราบถึงระดับภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น ว่ามีการแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด จะเป็นข้อมูลพื้นฐาน ในการให้วัคซีนต่างชนิดกัน และเปรียบเทียบหลังเข็ม 4 กับข้อมูลที่มีอยู่เดิมแล้วในการให้หลังเข็ม 3 ว่าระดับภูมิต้านทานแตกต่างกันมากน้อยเพียงไร
โดยขอตรวจภูมิต้านทานก่อนรับวัคซีน และหลังการฉีดวัคซีน 1 เดือน อีก 1 ครั้ง เพื่อดูการตอบสนองของภูมิต้านทานต่อโควิด-19 โครงการวิจัยนี้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมทางการวิจัยในมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้ที่สนใจจะมารับการฉีดวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (ไฟเซอร์ หรือ ครึ่งโดสโมเดอร์นา) เข็มที่ 4 มีคุณสมบัติดังนี้
-ได้รับวัคซีนมาแล้ว 3 เข็ม ตามสูตรที่แสดงมาข้างบน
-อายุ 18 ปีขึ้นไป
-สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี
-ไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
-ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน
-ยินดีให้ตรวจเลือดวัดภูมิต้านทานก่อนการฉีดวัคซีนครั้งที่ 1 และ และหลังการฉีดวัคซีน 1 เดือน อีก 1 ครั้ง รวม 2 ครั้ง
-ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 4 )
โดยการกรอกกูเกิลฟอร์ม
https://ift.tt/nRyLtqP
[unable to retrieve full-text content]
เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของลูกน้อย การเตรียมพร้อมในทุกๆ ด้านจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของเด็กที่มักเจ็บป่วยได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่จึงควรเตรียมยาสามัญประจำบ้านไว้เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินเล็กๆ น้อยๆ จะได้ดูแลลูกน้อยได้อย่างทันท่วงที
ยาสามัญประจำบ้าน
1.ยาลดไข้
เป็นเรื่องปกติหากอากาศเปลี่ยนแปลงก็อาจจะทำให้ลูกน้อยมีอาการเป็นไข้ขึ้นมาได้ โดยยาลดไข้สำหรับเด็กจะช่วยลดอาการตัวร้อนและทำให้ไข้ลดลง ซึ่งหากเป็นเด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นยาน้ำ
"โรคมือ เท้า ปาก" โรคระบาดในกลุ่มเด็กเล็กที่มากับหน้าฝน
เด็กมีไข้ ไอ น้ำมูก เป็นอาการเสี่ยงจากโรคอะไรได้บ้าง?

สำหรับวิธีการให้ยาก็ขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักของลูกน้อยเป็นสำคัญแต่ไม่ควรให้ติดต่อกันนานเกิน 3-5 วันหากไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์จะดีที่สุด
2.ยาแก้ปวดท้อง
เด็กเล็กๆมักมีอาการปวดท้องเนื่องจากท้องอืดเพราะระบบกระเพาะยังทำงานได้ไม่ดีนักทำให้หลังกินนมอาจมีอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ จึงควรเตรียมยาแก้ปวดท้องไว้เสมอ เช่นยาธาตุน้ำขาวสำหรับทานมหาหิงส์สำหรับทาที่ท้อง
วัคซีนตามช่วงวัยสำหรับ "เด็ก" เสริมภูมิคุ้มกัน สุขภาพดีห่างไกลโรค
6 โรคยอดฮิต "เด็ก" เสี่ยงเป็นมากที่สุดในหน้าฝน
3.ยาแก้แพ้แก้คัน
เด็กอาจจะโดนยุงหรือแมลงกัดต่อยทำให้เป็นตุ่มคันแต่ยาแก้แพ้แก้คันสำหรับเด็กก็ควรเลือกที่ส่วนผสมจากธรรมชาติปลอดภัยสำหรับเด็กเช่นขี้ผึ้งที่หากเด็กเอามือไปโดนก็ไม่ทำให้เกิดอาการแสบได้หรือคาลาไมด์โลชั่นทาผิวแก้ผื่นคันก็อ่อนโยนสำหรับเด็กเล็ก
4.ยาแก้ผื่นผ้าอ้อม
เป็นอีกหนึ่งยาสามัญประจำบ้านที่ควรเตรียมไว้เลยทาป้องกันไว้ทุกครั้งหลังอาบน้ำหรือก่อนเปลี่ยนผ้าอ้อมจะช่วยป้องกันและลดผื่นผ้าอ้อมได้เป็นอย่างดี

5.เกลือแร่
เผื่อไว้ในกรณีที่เด็กเล็กมีอาการท้องเสียซึ่งปกติแล้วส่วนใหญ่หลังถ่ายท้องจะสามารถหายเองได้แต่ต้องเตรียมเกลือแร่ป้องกันอาการขาดน้ำสำหรับให้เด็กจิบตลอดทั้งวัน
6.เจลร้อน-เย็น
เอาไว้สำหรับประคบเวลาเด็กหกล้มหรือเกิดอาการฟกช้ำตามร่างกาย
ฝนตกอากาศเปลี่ยนระวัง "ไข้หวัด" แนะพ่อแม่คุมเข้มสุขภาพ "เด็กเล็ก - วัยเรียน"
ผู้ปกครองสังเกตให้ดี ลูกเป็น “ไข้หวัด” หรือ “ไข้หวัดใหญ่” กันแน่
7.ยาทาสำหรับคัดจมูก
ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงเด็กหลายคนมีอาการคัดจมูกทำให้บางครั้งนอนหลับไม่สบายหลังอาบน้ำสามารถทาที่หน้าอกหลังและฝ่าเท้าหรืออาจป้ายที่เสื้อผ้าบางๆจะช่วยให้ระบบหายใจดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลเปาโลพระประแดง

หลอดเลือดหัวใจ มีความสำคัญอย่างมากต่ออวัยวะที่เรียกว่า "หัวใจ" ซึ่งเป็นศูนย์กลางการควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย โดยหลอดเลือดหัวใจทำหน้าที่หลักสำหรับส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจทุกส่วน หากหลอดเลือดหัวใจเกิดความผิดปกติ จะส่งผลต่อหัวใจและอวัยวะอื่นๆ
น.พ.สุรพงษ์ วรสุวรรณรักษ์ อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด เฉพาะทางหัตถการปฏิบัติและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด แพทย์หัวหน้าศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยมีแนวโน้มการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน ที่เกิดจากความเสื่อมของเส้นเลือด เนื่องจากการสะสมของไขมันและหินปูนไปเกาะหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ จนอาจเกิดการอุดตันส่งผลให้หลอดเลือดตีบทำให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้น้อยลงหรือไม่เพียงพอเป็นเหตุให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
การขยายหลอดเลือด ด้วยการใช้หัวกรอความถี่สูง (Rotablator) เป็นเทคโนโลยีการรักษาสำหรับผู้ป่วยบางรายที่หลอดเลือดหัวใจมีไขมันและหินปูนเกาะจำนวนมาก หรือมีรอยตีบยาว หรือมีหลอดเลือดหัวใจขนาดเล็ก จนไม่สามารถขยายหลอดเลือดด้วยวิธีการทำบอลลูนได้ เครื่องมือจะมีลักษณะเป็นหัวกรอที่มีเพชรฝังอยู่ หัวกรอดังกล่าวจะหมุนด้วยความเร็วประมาณ 140,000-200,000 รอบต่อนาที โดยแพทย์จะสอดสายสวนชนิดนี้เข้าไปยังหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ เพื่อกรอหินปูนภายในหลอดเลือดหัวใจ จนสลายเป็นอนุภาคเล็กๆ ไหลเวียนไปในระบบหลอดเลือดอย่างปลอดภัยก่อนที่จะถูกกำจัดออกจากร่างกาย ทำให้หลอดเลือดเปิดกว้างมากขึ้นและการไหลของเลือดดีขึ้น
ปัจจุบัน ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลหัวเฉียว พร้อมดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด ทีมพยาบาลที่ผ่านการอบรมทางด้านหัวใจ พร้อมเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ให้บริการทั้งการฉีดสีสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cath lab) ที่สามารถตรวจภาวะหลอดเลือดตีบหรือตัน ขยายหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันด้วยบอลลูนและใส่ขดลวดทั้งชนิดปกติและชนิดเคลือบยาพิเศษ และด้วยการใช้หัวกรอเพชรความถี่สูง (Rotablator) การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Bypass) การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) การใส่หลอดเลือดเทียมชนิดขดลวดหุ้มกราฟต์ผ่านทางหลอดเลือดแดง (TEVAR) เป็นต้น
กรมควบคุมโรค เผยสัดส่วนครองเตียงผู้ป่วยหนักเริ่มตึงตัว! เนื่องจากผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น พบส่วนใหญ่ใน 4 จังหวัด เตรียมพร้อมระบบบริการ ด้านสธ.เผยขยายเตียงได้ ส่วน กทม. ต้องหารือร่วมกันจัดระบบ
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า ขณะนี้ ในกทม. นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี สัดส่วนการครองเตียงผู้ป่วยหนักเริ่มตึงตัว เนื่องจากมีคนไข้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะทางรพ.ที่เคยกันไว้สำหรับโควิดก็เอาไปใช้สำหรับดูแลผู้ป่วยทั่วไป อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ในการเพิ่มผู้ป่วยมากขึ้นก็จะขยับขยายเตียงเพิ่มได้
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า การเข้าถึงการรักษาของกลุ่มเสี่ยงเป็นประเด็นสำคัญที่จะช่วยลดการเสียชีวิตได้มากที่สุดในระยะต่อไป ซึ่งขณะนี้กราฟผู้ป่วยอาการหนักที่เข้ารพ.ยังอยู่ในเส้นสีเขียว สำหรับผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจแนวโน้มยังสูงอยู่แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและเบาลง สำหรับผู้เสียชีวิตก็ไต่ระดับยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป ดังนั้นมามาตรการที่จะดำเนินการต่อไปนั้นความร่วมมือของประชาชนสำคัญมากจึงขอความร่วมมือทำ 2U คือ Universal prevention สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ และ Universal Vaccinations คือฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้เปิดทุกที่ไม่เว้นวันหยุด รวมถึง เทศบาล ตำบลได้จัดชุดฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุตามบ้านด้วย
(ข่าวเกี่ยวข้อง : เปิดข้อมูลกลุ่มเสี่ยง 608 เสียชีวิต พบฉีดวัคซีนเข็ม 3 ทิ้งช่วงนานหลายเดือน แนะบูสเตอร์ด่วน!)

นพ.โอภาส กล่าวว่า สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 อาการเด่นคือเจ็บคอ ระคายคอ มีน้ำมูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามตัว อาการเหมือนไข้หวัดเพราะฉะนั้นคนหนุ่มคนสาวแข็งแรง ฉีดวัคซีนมาแล้วอาการก็จะอยู่ประมาณนี้ อย่านิ่งนองใจโดยคิดว่าเป็นหวัดแต่หากมีอาการแล้วควรตรวจ ATK สำหรับบริษัทห้างร้านหากมีคนติดโควิด ถ้าอาการน้อยให้แยกกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำแพทย์ 7 วันเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้นหากสบายดีก็สามารถกลับมาทำงานได้ อย่างไรก็ตามช่วง 3 วันแรกขอให้งดเว้นการพบกับผู้อื่น ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
เมื่อถามถึงกรณีมีรายงานผู้เสียชีวิตตามบ้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่กทม. จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องหารือกับเขา เพราะจะเป็นจุดที่มีปัญหา และต้องเห็นใจ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีรพ.เยอะ ทั้งเอกชน รพ.สังกัดมหาวิทยาลัย รพ.สังกัดกทม. และรพ.ภาครัฐอื่นๆ ทั้งสังกัดตำรวจ ทหาร การบูรณาการจัดการหากไม่คุยกันให้จะมีปัญหาเรื่องการจัดการ ซึ่งต้องยอมรับว่ากทม. ไม่มีระบบการส่งต่อผู้ป่วย แตกต่างจากรพ.ในสังกัดสธ.ซึ่งสามารถสั่งการเรื่องการส่งต่อได้ ดังนั้น กทม.จึงต้องหารือ โดยสธ.ก็ต้องเป็นผู้ประสานให้มีการหารือกันเพื่อจัดระบบ
(อ่านข่าวเกี่ยวข้อง : เปิดข้อมูลวัคซีนโควิด19 เซฟชีวิตคนไทย 490,000 คน)

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.or
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก แนวโน้มพบผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ในบางประเทศแถบเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ขณะที่ผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ไม่เพิ่มขึ้น ส่วนสถานการณ์โรคโควิด-19 ประเทศไทย แนวโน้มพบผู้ป่วย ผู้ป่วยกำลังรักษา ในสัปดาห์นี้ใกล้เคียงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ป่วยหนัก ผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นปี ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์) ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น รวมทั้งกลุ่มที่อาจไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันของตนเองได้หลังรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เช่น ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยเปลี่ยนอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
ทั้งนี้ ในกทม. และปริมณฑล พบอัตราครองเตียงระดับ 2-3 สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้น และเริ่มพบสัญญาณจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัดท่องเที่ยว จึงต้องเน้นเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์การระบาดของโรค ช่วงหลังวันหยุดยาว โดยเฉพาะจุดเสี่ยงสำคัญต่อการระบาดเป็นกลุ่มก้อน เช่น โรงเรียน วัด ศาสนสถาน แหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งโรงพยาบาล และสถานประกอบการ
นพ.โอภาส กล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำหรับประชาชน และผู้ประกอบการ ให้ทุกคนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล "2U" โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์หลังวันหยุดยาว คือ Universal Prevention ขณะร่วมกิจกรรมคนจำนวนมาก หรืออยู่ในสถานที่ปิด (D: Distancing, M: Facemask, H: Hand washing, T: ATK test เมื่อมีอาการป่วย) โดยกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่ม 608 ต้องเร่งรับการฉีดวัคซีนในทุกเข็มตามมาตรการ Universal Vaccination เพื่อช่วยลดอาการป่วยหนัก และเสียชีวิต หากพบการติดเชื้อโควิด-19
ส่วนหน่วยงาน สถานประกอบการ พิจารณาให้พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง และไม่แสดงอาการหรือมีอาการป่วยเล็กน้อย ให้แยกกักตัวที่บ้าน 7 วัน และหลังจากนั้นกลับมาทำงานได้ โดยช่วง 3 วันแรก ให้สวมหน้ากากตลอดเวลา งดร่วมรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และเลี่ยงเข้าร่วมกิจกรรมคนจำนวนมาก หรือ "ทำงานที่บ้าน (WFH) 7 + 3 วัน" ในส่วนของผู้สัมผัสเสี่ยงสูง สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา เลี่ยงร่วมกิจกรรมคนจำนวนมาก
"สำหรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง เช่น กลุ่ม 608 ที่เริ่มมีอาการป่วย ผู้ป่วยเริ่มมีสัญญาณอาการป่วยรุนแรงขึ้น ให้รีบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้ได้รับยาต้านไวรัสให้ทันเวลา และลดการเสียชีวิต สำหรับกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ แม้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วย Long Acting Antibody (LAAB)" นพ.โอภาส กล่าว
สำหรับแนวทางการใช้ Long Acting Antibody (LAAB) ในประเทศไทย จากการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และ UHosNet วันที่ 1 ก.ค. 65 ได้มีปรับลดการจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จากเดิม 60 ล้านโดส ให้เหลือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 35.4 ล้านโดส และเปลี่ยนวัคซีนบางส่วนเป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Long-acting antibody : LAAB) จำนวน 257,500 โดส โดยคาดว่าจะได้รับมอบ LAAB ในลอตแรก ในวันที่ 25 ก.ค. 65 จำนวน 7,000 โดส โดยส่วนที่เหลือจะทยอยได้รับมอบภายในปี 65
นพ.โอภาส กล่าวว่า ข้อมูลทั่วไปของ LAAB ใช้ในกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่อายุ 12 ปี และมีน้ำหนัก 40 กิโลกรัมขึ้นไป ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกทั้ง 2 ข้าง ใช้เป็นการป้องกันก่อนสัมผัสโรคโควิด-19 (Pre-exposure prophylaxis) ผู้ที่ไม่ได้กำลังติดเชื้อ หรือไม่ได้เป็นผู้ที่เพิ่งสัมผัสเสี่ยงสูงต่อโรคโควิด-19 และเป็นผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือไม่สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ด้วยความจำเป็นบางประการ (แพ้วัคซีน หรือส่วนประกอบของวัคซีน)
ด้าน นายชรินทร์ โหมดชัง ผู้เชี่ยวชาญด้าน Mathematic Modeling สำหรับโรคติดต่อ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ต่อการรักษาชีวิตคนในประเทศไทย พบว่า วัคซีนโควิดทุกชนิดที่ใช้ในประเทศไทยช่วยรักษาชีวิตคนในระหว่างวันที่ 8 ธ.ค. 63-8 ธ.ค. 64 ไว้ได้ประมาณ 382,600 คน หลังจากวันที่ 8 ธ.ค. 64 เป็นต้นมา วัคซีนโควิดสามารถช่วยรักษาชีวิตคนไทยจากโควิด-19 ไว้ได้เพิ่มเติมอีกประมาณ 107,400 คน
ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยจนถึงวันที่ 3 ก.ค. 65 วัคซีนโควิดสามารถช่วยรักษาชีวิตคนในประเทศไทย ไม่ให้เสียชีวิตจากการติดโควิด ไว้ได้แล้วประมาณ 490,000 คน ส่วนอัตราการเสียชีวิตของคนที่ติดโควิด-19 เฉลี่ยเท่ากับ 1.15%
"การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 เพราะจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ แนะนำให้ประชาชนไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากเข็มล่าสุดแล้ว 4 เดือน" นายชรินทร์ กล่าว

จากข้อมูลเฉพาะประเทศไทยพบว่าวัคซีนช่วยรักษาชีวิตคนได้ถึง 382,600 คน แต่ทีมวิจัยได้หยุดวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.64 ต่อมาประเทศไทยเจอการระบาดหนักจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 BA.4 และ BA.5 ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางกรมควบคุมโรคจึงประสานเพื่อทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลของไทย
ทีมวิจัยจึงใช้แบบจำลองเดียวกันกับทีม Imperial College London มาศึกษาเพิ่มเติม โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานดาตาเบสจอห์นฮอปกินส์ ร่วมกับข้อมูลการฉีดวัคซีนที่มีในประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เปิดเผยสาธารณะ พบว่าหลังจากวันที่ 8 ธ.ค.64 เป็นต้นมา ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.64 จนถึงวันที่ 3 ก.ค.65 วัคซีนโควิดสามารถช่วยรักษาชีวิตคนในประเทศไทยจากโควิด-19 ได้เพิ่มเติมอีกประมาณ 107,400 คน ถ้านับรวมข้อมูลจากทีมวิจัยของลอนดอนก่อนหน้านี้ รวมกับข้อมูลล่าสุด พบว่า วัคซีนป้องกันโควิดสามารถช่วยชีวิตคนในประเทศไทยตั้งแต่ 8 ธ.ค.63 - 3 ก.ค.65 แล้ว 490,000 คน
อย่างไรก็ตาม ทางทีมไม่ได้มีการวิเคราะห์แยกเฉพาะว่าวัคซีนชนิดไหนป้องกันการเสียชีวิต หรือต้องฉีดกี่เข็มจึงจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้ดีขึ้น เนื่องจากมีตัวเลขงานวิจัยออกมาเรื่อยๆ อยู่แล้วว่า ประสิทธิภาพป้องกันเสียชีวิตหลังเข็ม 1 เข็ม 2 หรือกระตุ้นจากวัคซีนแต่ละชนิดเป็นอย่างไร ซึ่งความจริงประสิทธิภาพการป้องกันการเสียชีวิตของวัคซีนแต่ละชนิดไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่การฉีดวัคซีนแต่ละชนิดจะแตกต่างกันตามช่วงเวลาของสายพันธุ์ แต่ไม่ว่ายี่ห้อใดสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้

บีบีซี รายงานเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมระบุว่า ประเทศกานา ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัส “มาร์เบิร์ก” เชื้อไวรัสอันตรายที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับเชื้อไวรัสอีโบลา 2 รายแรก โดยมีรายงานว่าผู้ติดเชื้อทั้งคู่เสียชีวิตลงแล้วหลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ขณะที่มีกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัวแล้ว 98 ราย
รายงานระบุว่าไวรัสมาร์เบิร์ก นั้นเป็นเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดจากค้างคาวผลไม้สู่คนโดยสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านสารคัดหลั่ง ขณะที่ผู้ติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงเช่นปวดหัว มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียนเป็นเลือด และมีเลือดออก
เจ้าหน้าที่ทางการกานาประกาศเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงจากเข้าใกล้ถ้ำที่เป็นแหล่งอาศัยของค้างคาวและกินอาหารปรุงสุกเพื่อป้องกันการติดเชื้อมาร์เบิร์กดังกล่าว
ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก ระบุว่าในแอฟริกามีรายงานการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมาร์เบิร์กมาก่อนแล้วในประเทศแองโกลา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เคนยา แอฟริกาใต้ และอูกันดา โดยการแพร่ระบาดครั้งแรกในประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ.1967 โดยในเวลานั้นมีผู้เสียชีวิต 7 คน ขณะที่การแพร่ระบาดที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นที่ประเทศแองโกลาในปี 2005 ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน
ภาวะลองโควิด (Long Covid) หรือ ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพจากโรคโควิด-19 เป็นอาการที่เกิดขึ้นใหม่หรือต่อเนื่องภายหลังการติคเชื้อโควิด-19 และมีอาการอยู่นานอย่างน้อย 1 - 2 เดือน
ด้าน นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เกี่ยวกับเรื่องอาการลองโควิดระบุว่า
อัพเดต Long COVID (ลองโควิด)
1. Long COVID (ลองโควิด) ในอเมริกา
US CDC ได้ระบุในเว็บไซต์เมื่อ 11 กรกฎาคม 2565 ว่า
ผู้ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 โดยรวมนั้นพบว่ามีปัญหาลองโควิด ยาวนานตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปราว 13.3%
ในขณะที่ผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้น จะประสบภาวะลองโควิด ได้มากกว่า 30% เมื่อประเมิน ณ 6 เดือน


วันที่ 16 ก.ค.65 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เพจ Center for Medical Genomics ระบุข้อความว่า ...
สรุปได้หรือไม่โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 รวมทั้งสายพันธุ์ที่พบระบาดขึ้นมาใหม่ อย่างรวดเร็ว BA.2.75 (เซนทอรัส) และ BA.3.5.1 (Bad Ned) จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือเป็นไวรัสสายพันธุ์ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสถานะของโรคประจำถิ่น?
คำตอบคือ "ขึ้นกับสภาวะประชาชนแต่ละประเทศ"
จากการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมพบว่า
1. BA.2.75 (The Super Contagious Omicron Subvariant) ชื่ออย่างไม่เป็นทางการคือ “เซนทอรัส (Centaurus)” มีการกลายพันธุ์ไปมากที่สุดเมื่อเทียบกับไวรัสโคโรนา 2019 ทุกสายพันธุ์ที่เคยมีการระบาดมา โดยมีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัสดั้งเดิม (อู่ฮั่น) มากกว่า 100 ตำแหน่ง มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) ถึง 200% โดยวัดเป็นสัปดาห์ เปรียบเทียบกับสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน (BA.5)
2. BA.3.5.1 (Bad Ned) กลายพันธุ์มากเป็นอันดับสอง รองจากเซนทอรัสต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิมประมาณ 90 ตำแหน่ง
3. BA.5 กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิมประมาณ 85 ตำแหน่ง
4. BA.4 กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิมประมาณ 80 ตำแหน่ง
5. BA.2.12.1 กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิมประมาณ 75-78 ตำแหน่ง
6. BA.2 กลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิมประมาณ 75ตำแหน่ง
(ภาพ1)
คาดว่าอีกไม่นาน "เซนทอรัส หรือ BA.2.75" ซึ่งขณะนี้กลายพันธุ์ไปมากกว่า 100 ตำแหน่ง (ต่างจากอู่ฮั่น) จะระบาดเข้ามาเป็นสายพันธุ์หลักแทนที่ทุกสายพันธุ์ที่กล่าวมาข้างต้น และเป็นสายพันธุ์แรกที่ศูนย์จีโนมฯได้เตรียมชุดตรวจไว้รองรับผลกระทบของการระบาด
จากการศึกษาธรรมชาติแห่งการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 โดยอาศัยข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 รวบรวมจากผู้ติดเชื้อกว่า 11.8 ล้านราย ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกช่วยกันถอดรหัสและอัปโหลดข้อมูลขึ้นบนระบบคลาวด์ของฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID” พบว่าไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ย่อยที่อุบัติขึ้นมาใหม่หากมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม “อู่ฮั่น” มากเท่าไร ก็จะส่งผลให้สายพันธุ์นั้นมีการแพร่ระบาดในกลุ่มประชากรได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น (growth advantage) โดยแปรผันตรงกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น แต่อาจไม่สัมพันธ์กับอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิต (ภาพ1)
ส่วนโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA4/BA.5 ซึ่งมีการกลายพันธุ์ไปอย่างมากเช่นกันทำให้บางตำแหน่งของหนาม (spike) ที่อยู่บนเปลือกนอกของอนุภาคไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับสายพันธุ์เดลตา บางตำแหน่งของหนามมีการกลายพันธุ์ไปเหมือนกับสายพันธุ์ อัลฟา เบตา และแกมมา นอกจากนั้นผลทดสอบทางห้องปฏิบัติการยังพบว่า BA.4/BA.5 เจริญในเซลล์ปอดมนุษย์ที่เพาะเลี้ยงในหลอดทดลองได้ดี โดยเซลล์ติดเชื้อมีการหลอมรวมกัน (fusion) กลายเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ (giant cell) อันสามารถดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายให้เข้ามาทำลายเกิดการอักเสบของปอดขึ้นได้ อีกทั้งพบการว่า BA.4/BA.5 สามารถเจริญในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างและในปอดหนูทดลองได้ดี ทำให้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่เป็นสายพันธุ์อันตรายต่อมนุษย์ เช่นเดียวกับสายพันธุ์เดลตา อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://ift.tt/U3hBvro
คำถามคือข้อมูลจากหน้างาน-ภาคสนาม (real world data) บ่งชี้ว่า BA.4 และ BA.5 เป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษย์ผู้ติดเชื้อหรือไม่เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลตา หรือ โอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 และ BA.2 ที่มีการระบาดมาก่อนหน้านี้ โดยพิจารณาจากประเทศที่มีการติดเชื้อ BA.4/BA.5 เป็นประเทศแรกๆ เนื่องจากการเริ่มต้นระบาดจนยุติลงของ BA.4/BA.5 ในแต่ละประเทศคล้ายการฉายหลังม้วนเดียวกันแต่ฉายเหลือมเวลา
ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศแรกที่พบการระบาดใหญ่ของ BA.4/BA.5 ติดตามมาด้วยประเทศโปรตุเกส หากพิจารณาข้อมูลการระบาดและข้อมูลทางคลินิกพบว่าการระบาดจะเกิดขึ้น คงอยู่ และสงบลงภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ประเทศแอฟริกาใต้การระบาดได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ส่วนโปรตุเกสใกล้จะยุติลง โดยพบว่าอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. และผู้เสียชีวิต น้อยกว่าในช่วงฟีกการของระบาดของ BA.1/BA.2 และ น้อยกว่าช่วงพีกการระบาดของเดลตาเช่นกัน ไวรัสดูเหมือนจะมีการปรับตัวอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้มากขึ้น ซึ่งอาจมีปัจจัยสืบเนื่องมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อตามธรรมชาติและ/หรือจำนวนประชากรได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เกิดเป็นภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืน (จาก Memory T & B cells) สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่เจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แม้จะติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์เดิมหรือสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ซึ่งร่างกายไม่เคยพบหรือมีภูมิคุ้มกันมาก่อนก็ตาม (ภาพ 3-5) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก https://ift.tt/iMXJCja
BA.4 และ BA.5 คาดว่าสามารถอยู่ร่วมกับประชาชนในประเทศแอฟริกาใต้และประเทศโปรตุเกสได้เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อรุนแรงต้องเข้า รพ. และเสียชีวิตมีจำนวนไม่เกินกว่าระบบสาธารณสุขของทั้งสองประเทศจะรองรับได้ (ภาพ 3-5)
ชมคลิปอธิบายเพิ่มเติมได้จาก
https://ift.tt/o2SHw73
https://ift.tt/81ySTve
การระบาดของ BA.4/BA.5 ในอังกฤษ และประเทศอื่นๆในยุโรปขณะนี้อยู่ในช่วงขาขึ้นต้องรอผลการแพร่ระบาดอีก 2 อาทิตย์-1 เดือนจากนี้ถึงจะสรุปได้ชัดเจนว่า BA.4/BA.5 จะเป็นมิตรหรือศัตรูต่อกลุ่มประชากรในประเทศเหล่านั้น (ภาพ3,6) แต่จากการติดตามกราฟผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตจาก https://ift.tt/THN4r9B พบกราฟไม่ชันและพีกไม่สูงเท่ากับเดลตา หรือ BA.1/BA.2 ที่มีการระบาดผ่านมาในอดีต (ภาพ 2)
การระบาดของ BA.4/BA.5 ในประเทศไทยหากเทียบอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้เจ็บป่วยอาการรุนแรง และผู้เสียชีวิต กับประเทศอื่นที่กล่าวมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ คงต้องรออีกระยะถึงจะสรุปได้ว่าจะมีผู้เจ็บป่วย เสียชีวิตเหมือนในช่วงการระบาดของเดลตาหรือไม่ (ภาพ 7)
ประเทศที่มีกลุ่มผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก เช่นประเทศเกาหลีใต้ หรือที่ฮ่องกงย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะมีจำนวนผู้ติดเชื้ออาการรุนแรงต้องเข้ารักษาใน รพ. เพิ่มมากขึ้นจนระบบสาธารณสุขอาจรองรับไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในแต่ละประเทศอาจต้องเร่งพิจารณาหาวัคซีนเจนเนอเรชันที่สองที่ใช้โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยอย่างน้อย BA.4 และ BA.5 เป็นสายพันธุ์ตั้งต้นในการผลิตวัคซีน เพราะการกลายพันธุ์ของโอไมครอนยังคงดำเนินการต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง
ทางศูนย์จีโนมฯได้พัฒนาชุดตรวจ “MassArray Genotyping” มาเสริมการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (whole viral genome sequencing) ที่ต้องใช้เวลาในการถอดรหัสพันธุกรรม วิเคราะห์ และแปลผล นานร่วม 1 สัปดาห์ เพื่อให้สามารถตรวจสอบสายพันธุ์หลัก และ สายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นจากตัวอย่างส่งตรวจที่ทราบผล ATK หรือ PCR เป็นบวก ว่าเป็นสายพันธุ์ใดระหว่าง BA.1, BA.2, BA.4, BA.5, BA.2.12.1, หรือ BA.2.75 ให้ได้ภายในเวลา 24-48 ชั่วโมง (ภาพ 9) อันจะเป็นข้อมูลสำคัญให้กับแพทย์ผู้รักษาได้ทราบว่ากำลังรักษาผู้ที่ติดเชื้อติดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยใด เพื่อนำมาประกอบกับระดับอาการทางคลินิกของกลุ่มคนไข้ เขียว เหลือง และ แดง เพื่อตัดสินใจเลือกการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือแอนติบอดีสังเคราะห์ชนิดที่เหมาะสม (Individualized and precision medicine) ได้ทันท่วงที ร่วมไปกับการตรวจสอบว่าจีโนมไวรัสยังสมบูรณ์สามารถแพร่ระบาดไปยังผู้ใกล้ชิดได้ (infectious) หรือเป็นเพียงซากไวรัส (genomic fragmentation) ที่ไม่ติดต่อไปยังบุคคลอื่นอีกต่อไป (ภาพ 9) รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จาก https://ift.tt/dvjCPJF
สำหรับข้อมูลการระบาดและข้อมูลทางคลินิกของ BA.2.75 และ BA.3.5.1 ยังมีน้อยมากจึงสรุปไม่ได้ว่าสองสายพันธุ์นี้จะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูกับมนุษย์ แต่ที่แน่นอนคือมีกลายพันธุ์ไปมากกว่า BA.4 และ BA.5 อันน่าจะส่งผลให้มีอัตราการแพร่ระบาดที่สูงกว่า BA.4 และ BA.5 หลายเท่าตัว
หมายเหตุ
I) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งระดับอาการผู้ป่วยโควิด ตามระดับอาการป่วยออกเป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง เพื่อการดูแลและรักษาอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
-สีเขียว คือ ผู้ป่วยอาการไม่มาก หรือไม่มีอาการ หรืออาการน้อยๆ เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก ตาแดง ผื่นขึ้น ไม่มีโรคร่วม พักรักษาที่โรงพยาบาลสนาม หรือฮอสพิเทล (Hospitel)
-สีเหลือง คือ ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว มีปัจจัยเสี่ยงอาการรุนแรงหรือโรคร่วม เช่น อายุมากกว่า 60 ปี โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรังอื่นๆ ไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่คุมไม่ได้ ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน 90 กิโลกรัม ตับแข็ง ภูมิคุ้มกันต่ำ และเม็ดเลือดขาวน้อยกว่า 1000
-สีแดง คือ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก เอกซเรย์พบปอดอักเสบรุนแรง มีภาวะปอดบวม ความอิ่มตัวของเลือดน้อยกว่า 96% หรือลดลงของออกซิเจนมากกว่า 3% หลังออกแรง ของค่าที่วัดได้ในครั้งแรกที่ออกแรง
II) การคำนวณหาค่า "ความสามารถในการแพร่ระบาด" โดยเฉลี่ยของโรคติดเชื้อ หรือ R-naught (R0) จะแสดงจำนวนคนที่ “ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อจุลชีพหรือไวรัสก่อโรคดังกล่าวมาก่อน” ที่สามารถติดเชื้อจากผู้แพร่เชื้อเพียงคนเดียว เช่น โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.5 มีค่า R-naught ประมาณ 18.6 (ผู้ที่ติดเชื้อ BA.5 หนึ่งคนสามารถแพร่เชื้อไปบุคคลอื่นที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อ BA.5 ได้ประมาณ 18-19 คน) ในขณะที่ไวรัสหัด มีค่า R-naught (R0) ประมาณ 18 อย่างไรก็ดีการใช้ R-naught (R0) กับไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ที่อุบัติขึ้นมาใหม่ อาจจะคลาดเคลื่อนเพราะประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติหรือจากการฉีดวัคซีน
ในปัจจุบันจึงดูค่าความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage)” ซึ่งวัดเป็นสัปดาห์ เปรียบเทียบการกลายพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์ที่อุบัติใหม่กับสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่เดิม

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พญ.ศศิ ใหญ่สว่าง จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการแก้ไขปัญหาสายตา โรงพยาบาล (รพ.) เอกชน ให้สัมภาษณ์ ‘มติชน’ เพิ่มเติม ภายหลังมีการเผยแพร่ข้อมูลมีรายงานพบผู้ป่วยโรคตา โดยเฉพาะตากุ้งยิงเพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการสวมหน้ากากอนามัย พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการสวมหน้ากากอนามัยให้กระชับ รัดกุม ว่า ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่มีโรคโควิด-19 ระบาดใหม่ๆ ได้อ่านรายงานในนิตยสารยูโร ไทม์ มีการรายงานข้อมูลของจักษุแพทย์จากหลายที่ว่า พบผู้ป่วยโรคตาเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดสังเกต ซึ่งคาดว่าอาจจะเกิดจากการสวมหน้ากากอนามัยที่ไม่ถูกต้อง ไม่กระชับ รัดกุม จนทำให้ขอบของหน้ากากที่มีเชื้อโรคไปสัมผัสกับเปลือกตาล่าง จนเกิดตาอักเสบหรือตากุ้งยิง และผู้ป่วยไปพบแพทย์ด้วยปัญญาดังกล่าวมากขึ้น โดยเรื่องนี้ยังเป็นเพียงการรายงาน แต่ยังไม่มีการเก็บข้อมูลหรือศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : จักษุแพทย์ เผยโควิดระบาด คนเป็น ‘กุ้งยิง’ บ่อย เหตุแมสก์พาสิ่งสกปรกโดนเปลือกตา
พญ.ศศิ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยนั้น จากการพูดคุยกับเพื่อนจักษุแพทย์หลาย รพ. ก็พบข้อมูลคล้ายกับรายงานดังกล่าว คือ พบว่ามีผู้ป่วยไปเข้ารับการรักษาโรคตาอักเสบ หรือตากุ้งยิงมากขึ้นอย่างน่าสังเกต
“ปกติก่อนโควิด-19 ระบาด ผู้ป่วยจะไปพบแพทย์ด้วยอาการตาอักเสบ หรือตากุ้งยิงสัปดาห์ละ 1-2 ราย แต่ระยะที่มีโควิดระบาดมีผู้ป่วยภาวะดังกล่าวทุกวัน และวันละหลายคน และส่วนใหญ่เป็นที่บริเวณเปลือกตาล่าง” พญ.ศศิกล่าว และว่า นอกจากนี้ เดิมตากุ้งยิงพบว่าเป็นกันบริเวณเปลือกตาบน เพราะบริเวณนั้นมีต่อมไขมัน 30-50 ต่อม จึงมีโอกาสเกิดภาวะอักเสบได้ง่าย แต่น่าสังเกตว่า ระยะหลังอาการตากุ้งยิงของผู้ป่วยจะเกิดที่เปลือกตาล่าง ที่มีต่อมไขมันน้อยกว่า เพืยง 20-30 ต่อมเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการรายงานกรณีดังกล่าวอย่างเป็นทางการหรือไม่ พญ.ศศิ กล่าวว่า ยังไม่มี เพราะปัญหาตากุ้งยิงไม่ใช่เรื่องรุนแรง และสามารถป้องกันได้ หรือหากเป็นรักษาหายภายในเวลารวดเร็ว แต่จำเป็นต้องเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหา
ทั้งนี้ พญ.ศศิ กล่าวว่า การดูแลป้องกันไม่ให้ตาอับเสบ หรือเป็นตากุ้งยิง คือ 1.ประคบอุ่นเช้า-เย็น ทุกวัน เพื่อช่วยให้ต่อมไขมันระบายได้ดี 2.หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสดวงตา ไม่ขยี้ตา ดูแลรักษาความสะอาดเปลือกตา นอกจากนี้ ในคนที่ใช้หน้ากากอนามัยควรสวมให้ถูกต้อง กระชับใบหน้า และต้องเปลี่ยนใหม่ทุกวัน
“แม้เชื้อโรคที่เข้าตาไม่ใช่เชื้อโควิด เป็นเพียงเชื้อโรคทั่วไป แต่ก็ขอแนะนำให้ประชาชนควรระมัดระวังเพื่อให้มีสุขอนามัยที่ดี” พญ.ศศิกล่าว
16 ก.ค. 2565 | 05:20:12
ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกจำนวน 565,899,309 ราย รักษาอาการดีขึ้น 537,319,462 ราย เเละเสียชีวิตสะสม 6,383,378 ราย
1. ประเทศ สหรัฐอเมริกา ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 91,078,630 ราย เสียชีวิต 1,048,276 คน (เพิ่มขึ้น 44 คน)
2. ประเทศ อินเดีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 43,710,027 ราย เสียชีวิต 525,604 คน (เพิ่ม ขึ้น 47 คน)
3. ประเทศ บราซิล ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 33,142,158 ราย เสียชีวิต 674,846 คน (เพิ่มขึ้น 292 คน)
4. ประเทศ ฝรั่งเศส ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 32,795,874 ราย เสียชีวิต 150,468 คน (ยังไม่อัปเดตล่าสุด)
5. ประเทศ เยอรมนี ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 29,569,943 ราย เสียชีวิต 142,399 คน (เพิ่มขึ้น 115 คน)
ประเทศไทยอยู่อันดับ 27 ของโลก ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 4,554,976 ราย (เพิ่มขึ้น 1,795 ราย) เสียชีวิต 30,961 คน (เพิ่มขึ้น 23 คน)

[unable to retrieve full-text content]
ลมพิษเรื้อรัง อย่ามองข้ามจนรุนแรง ประชาชาติธุรกิจการเกิดโรคลมพิษแม้ไม่อันตรายถึงชีวิตแต่ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก ไม่สบายตัว รำคาญใจ โดยเฉพาะโรคลมพิษเรื้อรังที่สร้างความรำคาญจากอาการคันได้อย่างต่อเนื่อง จนรบกวนคุณภาพชีวิตตลอดจนการนอน การได้รับการรักษาโดยเร็วและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น

พญ.ลินน่า งามตระกูลพานิช แพทย์ผู้ชำนาญการด้านภูมิแพ้และหอบหืด ศูนย์ภูมิแพ้และหอบหืด ร.พ.กรุงเทพ กล่าว โรคลมพิษเรื้อรัง (Chronic Urticaria) จะมีอาการผื่นลมพิษแบบเป็น ๆ หาย ๆ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเป็นต่อเนื่องนานเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป ลักษณะ เป็นผื่น นูนแดง บวม คันมาก ขนาดต่างกัน เกิด ตามที่ต่างๆ ของร่างกาย อาการกำเริบได้ เวลาร้อน หรือเครียด หากผื่นอยู่นานอาจทิ้งรอยดำและมีจุดเลือดออกในผื่นได้ นอกจากนี้ยังทำเสียบุคลิกภาพและความมั่นใจ อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับได้ แม้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่การปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลเสียในระยะยาว ลมพิษเรื้อรังมีปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ เช่น ปัจจัยกระตุ้นทางกายภาพต่อผิว เช่น ความเย็น วัตถุเย็น แรงกด ความร้อน แรงขีดข่วนผิว โรคเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันและฮอร์โมน เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ, โรคแพ้ภูมิตัวเอง การติดเชื้อ อาหาร เช่น อาหารทะเล สารกันบูด ของหมักดอง การติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา การแพ้สารสัมผัส เช่น ขนสัตว์ ถุงมือยาง ไรฝุ่น พิษแมลง เนื้องอกและมะเร็งอวัยวะต่าง ๆ และยาบางชนิดที่ร่างกายเกิดการแพ้ ทั้งนี้ผื่นลมพิษเรื้อรังมีขนาดตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่ มีลักษณะปื้นนูนแดง คันไม่มีขุยขอบเขตชัดเจน ผื่นกระจายอย่างรวดเร็ว มีทั้งวงกลมรีวงแหวนทั้งแขนขาใบหน้ารอบดวงตา ปากผู้ป่วยบางคนอาจปากบวมและตาบวมร่วมด้วย นอกจากนี้ ความเครียดมีผลกับการเห่อของโรคได้
การตรวจวินิจฉัยลมพิษเรื้อรังจะเริ่มจากซักประวัติเกี่ยวกับผื่น ระยะเวลาที่เกิดผื่น ปัจจัยที่กระตุ้นผื่น รวมถึงการตรวจร่างกายอย่างละเอียด พิจารณาลักษณะผื่น ตรวจเลือด ตรวจทางห้องปฏิบัติการตามคำแนะนำของแพทย์ การรักษาลมพิษเรื้อรังเป็นไปตามสาเหตุและปัจจัยกระตุ้นเป็นสำคัญเพื่อลดผื่นที่เกิดขึ้น โดยเป็นการรักษาด้วยยา ได้แก่ ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ ช่วยรักษาและควบคุมอาการของโรค จะมีหลายชนิดและมีผลข้างเคียงแตกต่างกัน รวมถึงผู้ป่วยต้องมีการปรับยาเป็นระยะ จึงจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้ได้รับยาที่เหมาะสมในระยะยาว และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ยาในกลุ่มอื่น ๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยลมพิษเรื้อรังมีอาการหนัก ได้รับยาฮีสตามีนแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์จะทำการพิจารณาให้ยาเพิ่มเติม เช่นยาฉีด กลุ่ม steroid ตลอดจน ยา กลุ่ม biologic เพื่อยับยั้งการสร้างและหลั่งสารที่กระตุ้นให้เกิดลมพิษ เพื่อให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นโดยเร็วที่สุด ดูแลให้ถูกวิธีเมื่อป่วยลมพิษเรื้อรัง ต้องเลี่ยงสาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นให้ผื่นลมพิษกำเริบ กินยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกินยาแล้วมีอาการง่วงซึมจนกระทบการทำงานและการใช้ชีวิตควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนยา ห้ามหยุดกินยาด้วยตัวเองต้องแพทย์สั่งเท่านั้น

และที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่แกะเกาที่ผิวหนัง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึก ทำใจให้สบายไม่เครียด ลมพิษเรื้อรังอาจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนานกว่าจะควบคุมโรคได้ ผู้ป่วยจึงควรมีวินัยในการกินยาและพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง ที่สำคัญดูแลสุขภาพให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคภูมิแพ้และหอบหืด โทร 02-3103221, 02-7551731 Call Center โทร.1719 หรือแอดไลน์ @bangkokhospital
ทำไม โฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) หนึ่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อราว 2 แสนปีก่อน จึงวิวัฒนาการและอยู่รอดมาเป็นเราจนถึงทุกวันนี้ได้โดยไม่สูญพันธุ์ !!?
นี่อาจเป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัย ในเมื่อมีอีกหลายเผ่าพันธุ์มนุษย์และสัตว์ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกหลายชนิดที่เคยมีอยู่ในอดีต แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น
คำตอบคือมีสารชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่กำหนดลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตบนโลกเราให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ สิ่งที่ดูมีอำนาจชี้ชะตากรรมนี้ถูกเรียกว่า “ยีน (Gene)” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “สารพันธุกรรม” ซึ่งการที่คนเรามีหนึ่งหน้า สองตา สิบนิ้ว หนึ่งตับ สองไต หนึ่งหัวใจ ฯลฯ เกิดจากสิ่งนี้นั่นเอง
ทว่า นอกจากการกำหนดลักษณะทางกายภาพแล้ว ยังกำหนดลักษณะนิสัย รวมถึงทำให้สิ่งเหล่านี้มีความแตกต่างหลากหลายกันออกไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค” ที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อค้นพบว่าความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมียีนเป็นหนึ่งในตัวกำหนด ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ฯลฯ รวมถึงไทยเราจึงได้มีสิ่งที่เรียกว่า “การแพทย์จีโนมิกส์ (Genomic Medicine)” หรือ การแพทย์แม่นยำ เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้อ่านลำดับสารพันธุกรรม เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยโรค ติดตามอาการ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้แต่ละคนรู้ว่าควรจะดูแลร่างกายตนเองอย่างไร รวมถึงรู้ความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเกิดโรค และหลีกเลี่ยงผลที่จะเกิดขึ้น
สิ่งนี้เองคือโฉมใหม่ของการแพทย์ในอนาคต ซึ่งหมายความว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสุขภาพคนบนโลกกว่า 7.7 พันล้านคนที่มีความเป็นปัจเจกบุคคลไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในการระบาดของโรคโควิด-19 มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้ ทำให้รู้ถึงสายพันธุ์ต่างๆ ของไวรัส เช่น เดลต้า อัลฟ่า โอมิครอน ฯลฯ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด จากการได้ข้อมูลของไวรัสลึกลงไปถึงระดับดีเอ็นเอ
หรือในกรณีของ แองเจลินา โจลี่ (Angelina Jolie) นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดัง เจ้าของบทแม่มดใน Maleficent หรือล่าสุดในบท ธีน่า (Thena) จากหนังซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง Eternal โดยในปี 2013 เธอได้ตรวจลำดับสารพันธุกรรมและพบว่าตนมียีนที่กลายพันธุ์ ซึ่งอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมถึงภายหลังการทำ DNA Test ยังพบอีกว่า มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมถึง 87% ทำให้เธอตัดสินใจผ่าตัดหน้าอกทิ้ง เพื่อป้องกันความเสี่ยง
“เหมือนกับการที่เราเล่นไพ่ การที่เราเปิดและรู้ว่าเรามีไพ่อะไรกับการที่เราปิดและเล่นไพ่ไปเรื่อยๆ โอกาสที่จะชนะอันไหนมีมากกว่ากัน การถอดรหัสสารพันธุกรรมก็คือการเปิดไพ่” ศาสตราจารย์ นพ.วรศักดิ์ โชติเลอศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านเวชพันธุศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อธิบายกับ “The Coverage”

ศาสตราจารย์ นพ.วรศักดิ์ บอกว่า ก่อนมีเทคโนโลยีนี้ การรักษาที่ใช้กันเรียกว่า “การแพทย์ค่าเฉลี่ยประชากร” กล่าวคือ การรักษาแบบหนึ่งไม่อาจรักษาคนได้ทั้งหมด เช่น ในประชากร 100 คน เมื่อมีอาการป่วยเหมือนกันและได้รับยาจากแพทย์ชนิดเดียวกัน 80 คนสามารถหายได้ แต่อีก 19 คนอาจจะไม่หาย และอีก 1 คนอาจได้รับผลข้างเคียงจนถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากยาแต่ละชนิดไม่ได้เหมาะกับยีนของทุกคน ฉะนั้นการเข้ามาของการแพทย์จีโนมิกส์จะทำให้ก้าวไปสู่ยุคของการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized medicine) ที่สามารถให้ยารักษา 20 คนนั้นได้อย่างเฉพาะตรงจุด
สำหรับปฐมบทของการแพทย์จีโนมิกส์ในไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2562 ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ “แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ไทยแลนด์ พ.ศ. 2563-2567 (Genomics Thailand)” สนับสนุนการจัดทำข้อมูลพันธุกรรมของคนไทย 5 หมื่นรายมาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นหัวเรือใหญ่ และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยงานกลางขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการบูรณการจีโนมิกส์ประเทศไทย
จากการเริ่มโครงการที่ผ่านมา สวรส. มีการจ้างถอดรหัสพันธุกรรม ภายใต้โครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Thailand Genome Sequencing Center) ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และจัดจ้างร่วมกับการค้าไทยโอมิกส์ โดยมีการทำสัญญาเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2564
ในขณะนี้ศูนย์บริการทดสอบจีโนมิกส์ฯ อยู่ระหว่างดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรม ซึ่งได้ดำเนินการถอดรหัสดีเอ็นเอจากผู้ป่วย 5 กลุ่มโรค ได้แก่ กลุ่มโรคมะเร็ง กลุ่มโรควินิจฉัยหายาก กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กลุ่มโรคไม่ติดเชื้อ และกลุ่มผู้ป่วยแพ้ยา ซึ่งรับมาจากศูนย์สกัดสารพันธุกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สัปดาห์ละ 200 ราย โดยมีเป้าหมาย 5 หมื่นรายใน 5 ปี
หลังจากนั้นข้อมูลดีเอ็นเอจะถูกบรรจุอยู่ในระบบที่จัดเตรียมเอาไว้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และจะถูกส่งต่อไปที่ธนาคารชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ของสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อทำการจัดเก็บ วิเคราะห์ และประมวลผลรหัสพันธุกรรมที่ได้มาไปประยุกต์ใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมาสามารถดำเนินการจนครบขั้นตอนไปแล้วกว่า 1,000 คน

นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) บอกกับ “The Coverage” ว่า ใน 5 หมื่นคนที่มีการตรวจ เป็นการพยายามเลือกผู้ที่มีความเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นของสถานะทางสุขภาพโดยรวมของคนไทย จากนั้นจะนำมาศึกษาต่อและพัฒนาไปสู่การป้องกันโรค เช่น ที่ผ่านมาได้มีการนำข้อมูลในส่วนนี้ส่งไปให้ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งทาง สปสช. ได้ยินยอมให้ตรวจสารพันธุกรรมในหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงว่าทารกในครรภ์จะมีความพิการ โรคทาลัสซีเมีย และล่าสุดคือโรคมะเร็งเต้านม เพื่อให้เกิดการป้องกันหรือรักษาโดยเร็ว
“ในอนาคตจีโนมิกส์จะเป็นแนวทางการรักษามาตรฐานของโลก เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพยายามนำเทคโนโลยีนี้ใช้และพัฒนา” ผู้อำนวยการ สวรส. ระบุ
อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อมูลความรู้ที่ได้มาพัฒนาเรื่องการดูแลสุขภาพและระบบสาธารณสุขแล้ว เทคโนโลยีการถอดรหัสสารพันธุกรรมยังสามารถต่อยอดไปสู่ภาคอุตสาหกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเชื่อมประสานผ่านโครงการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และศูนย์ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ (TCELS) หรืออาจทำให้เกิด ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) หรือ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism)

ศาสตราจารย์ นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บอกกับ “The Coverage” ว่า หนึ่งในจุดแข็งของประเทศไทยคือด้านการแพทย์ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีผู้ป่วยที่เป็นชาวต่างชาติมารับการรักษาโรคซับซ้อนในประเทศไทย หรือโรงพยาบาลในระดับโลก เข้ามาศึกษาการรักษาของแพทย์ในไทย ดังนั้นการนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ จึงเป็นการสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจผ่านการดึงชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศด้วยจุดประสงค์ทางการแพทย์
“โรคซับซ้อนมากๆ อย่างมะเร็งต้องการเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้นและก็ล้ำสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ การถอดรหัสพันธุกรรมก็เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ในการที่จะให้การรักษาหรือให้บริการในด้านมะเร็ง เพราะฉะนั้นโครงการนี้ก็จะช่วยต่อยอดในเรื่องอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของประเทศไทย” ศาสตราจารย์ นพ.มานพ กล่าว
13 ก.ค. 2565 | 21:26:11
รายงานระบุว่าคนสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงจะต้องฉีดวัคซีนภายใน 4 วันแรกหลังพบผู้ป่วยครั้งสุดท้าย ทว่าระยะการฉีดวัคซีนอาจขยายนานถึง 14 วัน หากบุคคลดังกล่าวไม่มีอาการ
สำนักงานฯ เน้นย้ำความสำคัญของการระบุตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมแนวทางการฉีดวัคซีนต่อไป โดยโปรตุเกสพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรวม 473 ราย เมื่อนับถึงวันที่ 7 ก.ค. และรับมอบวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิงแล้ว 2,700 โดส
อนึ่ง โรคฝีดาษลิงเป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในสัตว์ป่าอย่างสัตว์ฟันแทะและสัตว์จำพวกไพรเมต แต่มนุษย์สามารถติดเชื้อไวรัสดังกล่าวได้เช่นกัน
อาการของโรคฝีดาษลิงประกอบด้วยผื่นขึ้นผิวหนัง มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองบวม หนาวสั่น และอ่อนเพลีย ก่อนที่ผื่นจะกลายเป็นสะเก็ดและหลุดออก ซึ่งบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นแล้ว
คลื่น Covid-19 ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน มีเพียงวัคซีนเท่านั้นที่ช่วยทำให้ยอดผู้เสียชีวิตลดลง ตอนนี้ไวรัสกำลังแพร่กระจายอีกครั้ง — พัฒนา หลบหนีภูมิคุ้มกัน และผลักดันกรณีและการรักษาในโรงพยาบาล เวอร์ชันล่าสุดของการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง BA.5 เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการระบาดใหญ่ยังไม่จบ
หน่อใหม่ของ Omicron พร้อมด้วยตัวแปรที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด BA.4 กำลังกระตุ้นให้เกิดกรณีขึ้นทั่วโลก – 30% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO)
ในยุโรป ตัวแปรย่อยของ Omicron กำลังพุ่งสูงขึ้นในกรณีประมาณ 25% แม้ว่าดร. ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพของ WHO กล่าวว่าตัวเลขดังกล่าวอาจสูงขึ้นจริง ๆ เนื่องจาก “การทดสอบเกือบจะล้มเหลว” BA.5 กำลังดำเนินการในเดือนมีนาคม ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าเมืองใหญ่ๆ ที่นั่นอาจบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ซึ่งเพิ่งถูกยกเลิกไปไม่นาน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) กล่าวว่าตัวแปรเดียวกันนี้ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคิดเป็น 65% ของการติดเชื้อใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“เราเฝ้าดูไวรัสนี้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เรากำลังวางแผนและเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลานี้ และข้อความที่ผมอยากสื่อถึงคนอเมริกันก็คือ: BA.5 เป็นสิ่งที่เราติดตามอย่างใกล้ชิด และส่วนใหญ่ ที่สำคัญ เรารู้วิธีจัดการกับมัน” ดร. Ashish Jha ผู้ประสานงานรับมือ Covid-19 ของทำเนียบขาวกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร
ในวันเดียวกันนั้น คณะกรรมการฉุกเฉินของ WHO กล่าวว่า Covid-19 ยังคงเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่น่ากังวลระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นระดับการแจ้งเตือนสูงสุด ซึ่งประกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2020 ท่ามกลางจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น การกลายพันธุ์ของไวรัสอย่างต่อเนื่อง และความกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อระบบสุขภาพที่ยืดเยื้อไปแล้ว . ในแถลงการณ์ คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญอิสระ เน้นย้ำถึงความท้าทายต่อการตอบสนองต่อ Covid-19 ทั่วโลกที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งรวมถึงการทดสอบที่ลดลงและการจัดลำดับจีโนมที่ไม่แน่นอน ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศใดประเทศหนึ่งอาจมีเหตุผลอันสมควร สามารถตรวจสอบ บธ.5 ได้
นักระบาดวิทยากล่าวว่าข้อมูลอย่างเป็นทางการนับจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก ส่งผลให้ประเทศมีจุดบอดวิกฤตในฐานะไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดได้มากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญบางคนคิดว่าอาจมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากถึง 1 ล้านคนทุกวันในประชากรสหรัฐในวงกว้าง ซึ่งมากกว่าจำนวนที่เป็นทางการถึง 10 เท่า
สำหรับวิธีจัดการกับคลื่นลูกใหม่ Jha เรียกร้องให้ชาวอเมริกันที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปได้รับช็อตเสริมที่สอง ผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนแล้วมีโอกาสเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน แต่มีเพียงหนึ่งในสี่ของผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่อายุมากกว่า 50 ปีได้รับสารกระตุ้นตัวที่สองที่พวกเขาแนะนำ ข้อมูลที่รวบรวมโดย CDC แสดง
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐฯ กำลังทำงานอย่างเร่งด่วนในแผนอนุญาตให้ใช้การกระตุ้นโควิด-19 ครั้งที่สองสำหรับผู้ใหญ่ทุกคน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวยืนยันกับซีเอ็นเอ็นเมื่อวันจันทร์ ท่ามกลางความกลัวว่าภูมิคุ้มกันของคนหนุ่มสาวอาจลดลงเนื่องจากผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ของ บธ.5
อะไรที่ทำให้ BA.5 แตกต่าง? Eric Topol ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลที่ Scripps Research ได้เรียก BA.5 ว่าเป็น “ไวรัสเวอร์ชันที่แย่ที่สุดที่เราเคยเห็น” เขาอธิบายในจดหมายข่าวฉบับล่าสุดว่า “ต้องใช้การหลบหนีของภูมิคุ้มกัน กว้างขวางอยู่แล้ว ไปสู่ระดับถัดไป และด้วยหน้าที่ดังกล่าว ความสามารถในการแพร่เชื้อที่เพิ่มขึ้น” เหนือกว่า Omicron รุ่นก่อนๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง BA.5 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อและวัคซีนครั้งก่อนได้อย่างง่ายดาย เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำ แม้ว่าตัวแปรดังกล่าวจะไม่นำไปสู่ความเจ็บป่วยที่รุนแรงมากขึ้น แต่ในการให้สัมภาษณ์กับ CNN เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Topol กล่าวว่าเมื่อพิจารณาถึงขอบเขตของการหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันของ BA.5 เขาคาดว่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นในการรักษาในโรงพยาบาลดังที่เราได้เห็นในยุโรป และที่อื่น ๆ ที่ตัวแปรได้หยั่งราก “สิ่งหนึ่งที่ดีคือ ดูเหมือนว่าจะไม่มาพร้อมกับการรับเข้า ICU และการเสียชีวิตเหมือนรุ่นก่อน ๆ แต่นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างแน่นอน” เขากล่าวเสริม
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในสหรัฐอเมริกาอาจใช้การปลอบประโลมจากวิถีของตัวแปรในยุโรป Ryan ของ WHO กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าในขณะที่หลายประเทศในยุโรปกำลังประสบกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล “สิ่งที่เราไม่เห็นคือการเพิ่มขึ้นของการรับผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหนัก ดังนั้นวัคซีนจึงยังคงทำงานอยู่มาก และเป็นช่องว่างในภูมิคุ้มกันที่ ทำให้เกิดปัญหา”
แต่ถึงกระนั้น การลดลงอย่างมากในการเฝ้าระวัง Covid-19 ทั่วโลกกำลังขัดขวางความพยายามของนักระบาดวิทยาในขณะที่พวกเขาแข่งกันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของไวรัส
“ตัวแปรย่อยของ Omicron เช่น BA.4 และ BA.5 ยังคงส่งกระแสของเคส การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตไปทั่วโลก” Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าวในการบรรยายสรุปของสื่อเมื่อวันอังคาร “การเฝ้าระวังลดลงอย่างมาก รวมถึงการทดสอบและการจัดลำดับ ทำให้การประเมินผลกระทบของตัวแปรต่างๆ ต่อการแพร่เชื้อ ลักษณะโรค และประสิทธิผลของมาตรการตอบโต้ได้ยากขึ้น”
“คลื่นลูกใหม่ของไวรัสแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า Covid-19 [pandemic] ไม่มีที่ไหนใกล้เลย” เขากล่าวเสริม
ถาม : จะป้องกันตัวเองอย่างไรท่ามกลางคลื่น Covid-19 ใหม่ ?
ตอบ: ณ จุดนี้ของการระบาดใหญ่ หลายคนอาจไม่ต้องการวางแผนชีวิตของตนเกี่ยวกับ Covid-19 อีกต่อไป — โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโดยทั่วไปแล้วพวกเขามีสุขภาพดี ในทางกลับกัน ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้ที่กังวลเกี่ยวกับอาการระยะไกลยังคงพยายามเล่นอย่างปลอดภัย ดร.ลีนา เหวิน นักวิเคราะห์ทางการแพทย์ของ CNN อธิบายว่า เนื่องจากตัวแปรย่อย Omicron ใหม่แพร่ระบาดได้อย่างไร การหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนและการพิจารณา
“ฉันไม่คิดว่าคนส่วนใหญ่ควรต้องเปลี่ยนกิจกรรมประจำวัน แต่ฉันคิดว่าผู้คนจำเป็นต้องตระหนักถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเพิ่มเติม” เหวินกล่าว คำถามที่ต้องถามตัวเองคือ: ฉันต้องการหลีกเลี่ยงการติดเชื้อต่อไปมากแค่ไหน?
สำหรับบุคคลที่ต้องการลดความเสี่ยง เหวินแนะนำว่าพวกเขาควรติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับยากระตุ้นของตนเอง (ในสหรัฐอเมริกา ทุกคนที่อายุ 5 ปีขึ้นไปสามารถรับยากระตุ้นครั้งแรกได้ และผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปจะได้รับยากระตุ้นที่ 2 ได้ทั้งหมด สี่นัด) นอกจากนี้ เธอยังแนะนำให้สวมหน้ากาก N95 คุณภาพสูงหรือเทียบเท่าในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านในร่ม และอยู่ข้างนอกเพื่อพบปะสังสรรค์กันใหญ่ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าในฤดูร้อน
“สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าหน้ากากไม่สะดวก ฉันขอแนะนำให้สวมหน้ากากในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงสุด เช่น หน้ากากขณะอยู่ในสายการรักษาความปลอดภัยที่แออัดในสนามบิน และระหว่างขึ้นเครื่องและลงจากเครื่อง” เธอกล่าว
ส่งคำถามของคุณที่นี่. คุณเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต่อสู้กับ Covid-19 หรือไม่? ส่งข้อความถึงเราบน WhatsApp เกี่ยวกับความท้าทายที่คุณกำลังเผชิญ: +1 347-322-0415
คำสั่งวัคซีนโควิดครั้งแรกที่บังคับใช้ในจีนแผ่นดินใหญ่
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วปักกิ่งประกาศคำสั่งให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้อยู่อาศัยที่ต้องการเข้าไปในสถานที่สาธารณะ กลายเป็นเมืองแรกในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ทำเช่นนั้น เนื่องจากพยายามควบคุมการแพร่กระจายของ BA.5 Nectar Gan เขียน เจ้าหน้าที่ของเมืองกล่าวว่าผู้ที่ “ไม่เหมาะ” สำหรับการฉีดวัคซีนจะได้รับการยกเว้นจากข้อกำหนดดังกล่าว โดยไม่ได้ชี้แจงว่าพวกเขาสามารถให้หลักฐานที่จำเป็นสำหรับการยกเว้นได้อย่างไร
คำสั่งวัคซีนมีขึ้นในขณะที่ปักกิ่งรายงานสามกรณีของตัวแปรย่อย Omicron ที่ติดต่อได้สูง หลายเมืองของจีนได้กำหนดมาตรการใหม่หลังจากตรวจพบ BA.5 เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเพิ่งออกจากการล็อกดาวน์ 2 เดือน ตรวจพบผู้ป่วยรายแรกในวันศุกร์ และจะทำการตรวจโควิด 2 รอบในสัปดาห์นี้ การระบาดของ BA.5 ได้ปิดเมืองซีอานทางตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งมีประชากร 13 ล้านคน ซึ่งปิดสถานบันเทิง กีฬา และสถานที่ทางศาสนา และร้านอาหารจำกัดให้บริการซื้อกลับบ้านและบริการจัดส่ง
คาสิโนในศูนย์กลางการพนันของมาเก๊าได้รับคำสั่งให้ปิดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 เนื่องจากการระบาดของโควิด การส่งหุ้นของบริษัทที่ดำเนินการอยู่ตกต่ำ และความกลัวการล็อกดาวน์ใหม่ในเซี่ยงไฮ้ได้บ่อนทำลายตลาดจีนในวงกว้าง หุ้นจีนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันหลังจากการเทขายออกในวันจันทร์โดยได้รับแรงหนุนจากภัยคุกคามจากข้อจำกัดใหม่ ๆ ของโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคส่วนเทคโนโลยี ลอร่า เหอ รายงาน
ผู้ป่วยในโรงพยาบาลติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
สหรัฐฯ มีความก้าวหน้าอย่างมากในการต่อสู้กับการติดเชื้อดื้อยาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่การเพิ่มขึ้นเหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกลบออกไปในช่วงการระบาดใหญ่ของ Covid-19 โดยมีการติดเชื้อในโรงพยาบาลและทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 15% ในปี 2020 ตามข้อมูลใหม่ Deidre McPhillips รายงาน
รายงานพิเศษที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารโดย CDC พบว่ามากกว่า 29,400 คนเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่ดื้อยาต้านจุลชีพในปีแรกของการระบาดใหญ่ เกือบ 40% ของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นอยู่ในกลุ่มคนที่ติดเชื้อขณะอยู่ในโรงพยาบาล จำนวนเต็มอาจสูงกว่านี้ เนื่องจากข้อมูลครึ่งหนึ่งของเชื้อโรค 18 ชนิดที่ระบุว่าเป็นภัยคุกคามไม่พร้อมใช้งานหรือล่าช้า
WHO เรียกการดื้อยาต้านจุลชีพเป็น “การระบาดใหญ่แบบเงียบ” และการติดเชื้อดื้อยาเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตเกือบ 5 ล้านคนทั่วโลกในปี 2019 การระบาดใหญ่ของโควิด-19 อาจมีส่วนทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากหลายคนล่าช้าในการดูแลหรือจากไป การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา – ไม่ว่าจะเป็นเพราะคลินิกปิดหรือกลัวที่จะเปิดเผยตัวเองต่อ Covid-19 ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการดื้อยา
เครื่องวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดใช้ไม่ได้กับคนผิวสีเช่นกัน
บ่อยครั้งเมื่อ Dr. Thomas Valley พบผู้ป่วยรายใหม่ในห้องไอซียูที่ Michigan Medicine ใน Ann Arbor เขาใช้เครื่องวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปกรณ์มากมายที่เขาใช้วัดสุขภาพและการดูแลที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีอาการชัก ผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวัยรุ่น หรือผู้สูงอายุที่ติดเชื้อโควิด-19
แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ Valley ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในแผนกการดูแลปอดและวิกฤตของมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ตระหนักว่าอุปกรณ์ขนาดเล็กนี้อาจให้การอ่านค่าออกซิเจนที่แม่นยำน้อยกว่าในผู้ป่วยที่มีผิวคล้ำ หากอุปกรณ์ไม่ได้รับการปรับเทียบอย่างถูกต้อง เม็ดสีที่เข้มขึ้นอาจส่งผลต่อการดูดซับแสงโดยเซ็นเซอร์ ส่งผลให้การอ่านค่าออกซิเจนมีข้อบกพร่องและผู้ป่วยจะถูกปล่อยออกโดยไม่จำเป็น
ผลการวิจัยของ Valley และเพื่อนร่วมงานของเขาได้เพิ่มพูนการวิจัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ย้อนหลังไปถึงปี 1980 ซึ่งบ่งชี้ว่าการอ่านค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นสีดำและน้ำตาลอาจเป็นปัญหาที่แท้จริงและเป็นอันตรายถึงชีวิตในการดูแลทางการแพทย์ จ็ากเกอลีน ฮาวเวิร์ดรายงาน จ็ากเกอลีน ฮาวเวิร์ดรายงานต่อสาธารณชนเมื่อไม่นานนี้เองที่ตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมกันด้านสุขภาพ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐได้ประกาศแผนการตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องวัดออกซิเจนในเลือด
คำแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่กังวลใจ
Edith Bracho-Sachez ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ทางไกลในเด็กและผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์ที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เออร์วิง ไม่คิดว่าเธอจะเป็นแม่ที่วิตกกังวล แต่นั่นเปลี่ยนไปเมื่อเธอมีลูกชายของเธอ “ฉันเน้นย้ำกับทุกการตัดสินใจของฉันเพื่อวิลเลียม ฉันทำรายการข้อดีและข้อเสีย ฉันพูดคุยทุกอย่างกับคู่ของฉัน นอนกับสิ่งต่าง ๆ และท้ายที่สุด ฉันภาวนา” เธอเขียนในคอลัมน์ล่าสุดของซีเอ็นเอ็น
เธอรู้ว่าการตัดสินใจนั้นยากเพียงใด ทั้งเล็กและใหญ่ เธอบอกว่าเธอเข้าใจว่าทำไมผู้ปกครองบางคนอาจต้องลำบากกับการเลือกฉีดวัคซีนให้ลูกๆ ของพวกเขาจากโควิด-19 นี่คือเหตุผลที่เธอบอกว่าเธอทำ และคำแนะนำของเธอสำหรับคุณแม่มือใหม่อย่างเธอ:
เรารออะไรบางอย่างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวกาแฟยามเช้า การรอบริการลูกค้า หรือยากระตุ้นโควิด-19 ครั้งต่อไป เราจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงได้อย่างไร? Dr. Sanjay Gupta หัวหน้าผู้สื่อข่าวทางการแพทย์ของ CNN พูดคุยกับศาสตราจารย์ Kate Sweeny ผู้เชี่ยวชาญด้านการรอคอย เพื่อทำความเข้าใจศาสตร์แห่งการรอคอย เหตุใดเราจึงวิวัฒนาการมาเพื่อเกลียดชัง และสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อรับมือกับการรอคอยในชีวิตประจำวันของเรา ฟังที่นี่
การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...