Rechercher dans ce blog

Thursday, October 27, 2022

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย 

ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตรงเวลา จริงหรือไม่ที่ว่า กินข้าวไม่ตรงเวลา จะทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร กรณีนี้ ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม ศิรินธรปัญญา หัวหน้างานโรคทางเดินอาหาร กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวกับ Hfocus ว่า การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาจะทำให้เกิดอาการได้ เพราะร่างกายจะมีกรดที่หลั่งตามเวลา ถ้ารับประทานอาหารไม่ตรงเวลาจะเกิดอาการ อืด แน่นท้อง มีลมได้ แต่ถามว่า จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือไม่นั้น อาจไม่ทำให้เกิดแผล เพราะแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร หรือการกินยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดอย่างแอสไพริน ยาแก้ปวดเข่า ส่วนสาเหตุอื่น คือ ยากดภูมิที่ป้องกันการติดเชื้อบางตัวก็ทำให้เกิดแผลได้ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและอันตรายมีได้หลายอย่าง อาทิ กระเพาะทะลุ เลือดออกในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอุดตันหรือกระเพาะอาหารตีบ ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือน ได้แก่ น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด หรืออาเจียนรุนแรง ต้องรีบมาพบแพทย์ แต่ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หากมีอาการแม้เพียงเล็กน้อย แนะนำให้มาตรวจอย่างละเอียดด้วยการส่องกล้อง 

"ต้องแยกโรคกระเพาะอาหารออกจากการเกิดแผลในกระเพาะอาหารตามที่คนทั่วไปเข้าใจ สำหรับโรคกระเพาะทั่วไป ผู้ป่วยมักจะมีอาการจุกแน่น ตึง ๆ ในกระเพาะ อาจมีกรดเยอะ จึงเกิดอาการไม่สบายท้อง ลักษณะอาการอาหารไม่ย่อยเป็นอาการบ่งชี้ว่ามีปัญหาในกระเพาะอาหาร ต้องมีการตรวจละเอียดอีกครั้งถึงความรุนแรง" ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม กล่าวและว่า สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น 1.การติดเชื้อ 2.การกินยาบางชนิด 3.อาหารการกิน มีความมัน รสเผ็ด 4.ของหมักดอง และ 5.การดื่มเหล้า รวมถึงการติดเชื้อบางอย่างที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ 

สำหรับความแตกต่างของโรคกระเพาะอาหารและโรคกรดไหลย้อน ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม เปิดเผยว่า ทั้ง 2 โรค เกิดจากกรดเช่นกัน สังเกตจากบริเวณที่เกิดอาการ หากเป็นโรคกระเพาะอาหารจะเกิดในบริเวณลิ้นปี่ลงมา อืดท้อง แน่นท้อง ปวดท้อง บางรายมีแสบท้องคล้ายกับกรดไหลย้อนได้ แสบในท้องไม่ใช่แสบที่หน้าอก แต่กรดไหลย้อนจะเป็นอาการของกรดที่มีต่อหลอดอาหาร แสบหน้าอก เปรี้ยวคอ เจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง หอบหืด หรือฟันผุ เป็นต้น 

ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม ยังแนะนำวิธีป้องกันทั้ง 2 โรค โดยปรับพฤติกรรมการกิน 1.งดอาหารที่กระตุ้นให้มีอาการ เช่น รสเผ็ดและเปรี้ยว มีความมัน หรือย่อยยาก  2.เคี้ยวอาหารให้ละเอียด 3.กินแล้วอย่าเพิ่งไปนอน ควรเดินให้อาหารย่อยเสียก่อน 4.หากมีอาการมากขึ้น หรืออาการไม่ดีขึ้น กินยาลดกรดเบื้องต้นได้ เช่น ยาเคลือบกระเพาะทั่วไป เพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น แต่จะดีกว่า หากมาพบแพทย์ 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

Adblock test (Why?)


ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus
Read More

"วัคซีน" ยังมีความเป็น ก่อนไปต่างประเทศ ต้องรับให้ครบ ไม่ใช่แค่ วัคซีนโควิด - คมชัดลึก

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แนะนำก่อนเดินทางไป ต่างประเทศ ต้องรับ "วัคซีน" ที่จำเป็นให้ครบก่อน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงติด โรคระบาด หรือ โรคประจำถิ่น และลดความเสี่ยงนำเชื้อต่างถิ่นกลับมา ที่สำคัญ เป็นการปฏิบัติตามกฎของบางประเทศที่กำหนดให้รับ "วัคซีน" ก่อนเดินทางเข้าประเทศ อย่างเช่น วัคซีนโควิด ซึ่งปัจจุบันเป็นวัคซีนอีก 1 ชนิด ที่หลายประเทศกำหนดให้ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องมีประวัติการได้รับ "วัคซีน" มาก่อน โดยข้อกำหนดแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน

สำหรับ 3 กลุ่ม "วัคซีน" ที่ผู้เดินทางไปทางต่างประเทศควรได้รับ ประกอบด้วย

1. วัคซีนที่ควรได้รับทุกราย (Routine Recommended Vaccine) ซึ่งเป็น "วัคซีน" ตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข และคำแนะนำการให้วัคซีนในผู้ใหญ่ทั่วไป ได้แก่ วัคซีนวัณโรค (BCG) วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (HB) วัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) วัคซีนโปลิโอ (OPV, IPV) และ วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE)

2. วัคซีนที่แนะนำให้รับก่อนเดินทาง เลือกใช้ตามความเสี่ยง (Routine Recommended Vaccine for Travelers) โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของผู้เดินทางแต่ละคน ซึ่งแพทย์จะคอยให้คำปรึกษาและพิจารณาตามปัจจัยต่างๆ เช่น ภาวะสุขภาพของผู้เดินทาง ความเสี่ยงที่จะสัมผัสโรค ประสิทธิภาพของ "วัคซีน" ข้อบ่งชี้/ข้อห้าม ผลข้างเคียงของ "วัคซีน" สำหรับตัวอย่างวัคซีนในกลุ่มนี้ เช่น วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนโรคไข้ไทฟอยด์

3. วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับก่อนเข้าบางประเทศ (Routine/Mandatory Vaccine) ซึ่งตามกฎอนามัยระหว่างประเทศกำหนดให้ฉีด "วัคซีนป้องกันโรคไข้เหลือง" และ "วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น" ก่อนเข้าบางประเทศ ด้วย 2 เหตุผล คือ

1) ป้องกันบุคคลที่จำเป็นต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไข้เหลือง 

2) ป้องกันไม่ให้โรคไข้เหลืองแพร่ระบาดจากพื้นที่เสี่ยงเข้าไปในประเทศอื่น

ทั้งนี้ ผู้เดินทางควรปรึกษาแพทย์อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ก่อนการเดินทางต่างประเทศ และควรตรวจสอบข้อกำหนดการรับ "วัคซีน" ของประเทศปลายทางด้วย

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Facebook : https://www.facebook.com/komchadluek/
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w

Adblock test (Why?)


"วัคซีน" ยังมีความเป็น ก่อนไปต่างประเทศ ต้องรับให้ครบ ไม่ใช่แค่ วัคซีนโควิด - คมชัดลึก
Read More

Tuesday, October 25, 2022

อย่าชะล่าใจ! ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกสัญญาณเตือน “โรคติกส์” - ข่าวไทยพีบีเอส

กรมการแพทย์เตือนสัญญาณ “โรคติกส์” เป็นโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติของกล้ามเนื้อ มีอาการกระตุกตามส่วนๆ ของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ และอาจทำให้เกิดความผิดปกติอื่นตาม พร้อมแนะพบแพทย์

วันนี้ (25 ต.ค.2565) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า “โรคติกส์” เป็นโรคในกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติ (movement disorders) มักพบในเด็กวัยเรียน (5-7 ปี) โดยมาในรูปแบบของการเคลื่อนไหวซ้ำรูปแบบเดิมที่ไม่มีจุดประสงค์ เช่น กระพริบตา ยักคิ้ว แสยะยิ้ม พยักหน้า ยักไหล่ กระโดด หรือมีอาการกระตุกตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้

ส่วนมากผู้ป่วยมักมีความรู้สึกภายในบางอย่างนำมาก่อนที่จะเกิดอาการเคลื่อนไหว และเมื่อเคลื่อนไหวแล้วจะทำให้ความรู้สึกนั้นหายไปเหมือนได้รับการปลดปล่อย หากผู้ป่วยพยายามบังคับไม่เคลื่อนไหวจะทำให้รู้สึกอัดอั้นไม่สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถที่จะอดกลั้นต่อความต้องการที่จะเคลื่อนไหวผิดปกติได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคติกส์ ซึ่งโรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียบุคลิก ขาดความมั่นใจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเกิดความผิดปกติอื่นตามมา ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง"

ขณะที่ นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผอ.สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยบางคนอาจมาในรูปแบบการส่งเสียงที่ผิดปกติ เช่น กระแอม เสียงกลืนน้ำลาย หรือกรณีที่มีอาการมากอาจเป็นลักษณะการพูดซ้ำ พูดเลียนแบบ หรือพูดคำหยาบคาย เป็นต้น แต่หากผู้ป่วยมีอาการแสดงทั้งการเคลื่อนไหวและการส่งสียงผิดปกติ จะเรียกว่า “โรคทูเร็ตต์” ในโรคกลุ่มนี้อาจมีอาการของกลุ่มโรคจิตเวชนำมาก่อน เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคสมาธิสั้น เป็นต้น

ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคติกส์ อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือเกิดจากโรคเฉพาะตัวบุคคลที่เกิดภายหลัง เช่น เกิดจากการติดเชื้อในสมองตอนเด็ก หรือเป็นโรคออทิสติก เป็นต้น โรคติกส์ที่เกิดในผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคติกส์ตอนเด็ก หรือผู้ป่วยบางคนมีรายงานว่าเกิดจากรอยโรค หรือเนื้องอกบางตำแหน่งในสมองได้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาภายหลัง

การรักษาที่ดีที่สุดคือการปรับพฤติกรรม เพื่อลดอาการที่นำมาก่อนการเคลื่อนไหวและเพิ่มระยะเวลาที่สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหว หากยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ การใช้ยากลุ่มจิตเวช เพื่อช่วยระงับการเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ แต่ต้องติดตามผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มนี้ เช่น กลุ่มอาการพาร์กินสันเทียม กลุ่มอาการบิดเกร็ง เป็นต้น และควรรักษากลุ่มโรคจิตเวช ที่มาพร้อมโรคติกส์ด้วย

Adblock test (Why?)


อย่าชะล่าใจ! ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกสัญญาณเตือน “โรคติกส์” - ข่าวไทยพีบีเอส
Read More

ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไรให้แข็งแรงและห่างไกลโรค? - Hello Thailand

หนึ่งในโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยมากที่สุดก็คือ “โรคหัวใจ” วันนี้เราจึงชวน คุณหมอจิ๊ก – นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย อายุรแพทย์โรคหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาร่วมพูดคุยถึงถึงวิธีการ ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรค วิธีคัดกรองเบื้องต้นว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ไปจนถึงสัญญาณที่ร่างกายกำลังร้องเตือนว่าควรปรึกษาแพทย์และตรวจเช็กสุขภาพ

รู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ?

นอกจากผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว อย่าง เบาหวาน และ ความดัน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจแล้ว ในบุคคลทั่วไป ที่มีพฤติกรรมกินอาหารหวาน-เค็ม-มัน เป็นประจำ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน พฤติกรรมการกินเหล่านี้จะทำร้ายสุขภาพ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด จนเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ตามมาด้วยภาวะหัวใจขาดเลือด และท้ายสุดจะตามมาด้วยภาวะหัวใจวายได้

อีกหนึ่งผู้ที่มีความเสี่ยงและควรไปตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ คือคนที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าว แม้จะยังอายุไม่มากหรือไม่ได้มีโรคประจำตัวอื่นๆ เข้ามา กลุ่มคนเหล่านี้ถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน

กลุ่มสุดท้ายที่ควรใส่ใจกับเรื่องสุขภาพหัวใจ และเริ่มต้นค้นคว้าวิธี ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรค ก็คือผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ และมักตกอยู่ในภาวะเครียด เนื่องจากสองพฤติกรรมนี้เป็นหนึ่งใน 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจได้เลย

ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร
ควรตรวจเช็กตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงผู้เป็นโรคหัวใจหรือไม่ และสังเกตอาการร่างกายตัวเองว่ามีสัญญาณเตือนหรือไม่ เพื่อให้เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

2 สัญญาณเตือนที่บอกว่าควรเข้าพบแพทย์

อาการที่เป็นสัญญาณของ “โรคหัวใจ” นั้น สามารถสังเกตได้ง่ายๆ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณกลางหน้าอก ปวดร้าวลามไปจนถึงบริเวณไหล่ หรือมักมี อาการเหนื่อย ที่เกิดขึ้นง่ายกว่าปกติ อย่างเช่น แม้ในขณะนอนพักนิ่งๆ ก็ยังคงรู้สึกเหนื่อย

สัญญาณที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งที่ร่างกายกำลังร้องเตือนว่าคุณอาจกำลังเป็นโรคหัวใจ คุณหมอจิ๊ก ได้ให้คำแนะนำว่า ผู้ที่มีอาการดังกล่าว ควรเข้าพบแพทย์เฉพาะทาง และ รับการรักษา โดยเร็วที่สุด

ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรค ?

โดยวิธีป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ คุณหมอจิ๊กได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดการกินอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และ ออกกำลังกายให้หัวใจมีอัตราการเต้นเร็วขึ้น เป็นประจำ

“ในทางการแพทย์ การออกกำลังกายสามารถทำได้ด้วยกันสองวิธี ทั้งการออกกำลังกายวันละ 30 นาที เป็นประจำ 5 วันต่อสัปดาห์ หรือ เลือกออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 วัน ครั้งละ 70 นาที ทั้งสองแบบนี้ต่างให้ผลดีต่อร่างกายเช่นกัน” 

คุณหมอจิ๊ก – นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย
คุณหมอจิ๊ก – นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลรามาธิบดี

อาหารบำรุงหัวใจ

ว่ากันว่าหากเลือกรับประทานได้ถูก “อาหารคือยา” แทนที่จะปล่อยให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมจนต้องรับประทานยาแทนอาหาร สู้เลือกกินแต่ของที่ดีต่อสุขภาพจะดีกว่า

อันดับแรกในการ ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรคด้วยตนเอง คือควรลดการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวเลว (Low Density Lipoprotein หรือ LDL) ควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ไขมันดี (High Density Lipoprotein หรือ HDL) แก่ร่างกาย อย่างเช่น อะโวคาโด หรือน้ำมันมะกอก ซึ่งนอกจากอะโวคาโดจะให้ไขมันดีแล้ว ยังมีโพแทสเซียมสูงถึง 975 มิลลิกรัมต่อ 1 ลูก ดีต่อสุขภาพหัวใจอย่างยิ่ง

ถัดมาคือเมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี อาทิ ถั่วเหลือง และที่ขาดไม่ได้คือโปรตีนจากปลาทะเล ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทู ซึ่งมีโอเมก้า 3 สูง มีคุณสมบัติลดการอักเสบของหลอดเลือดแดง ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง

อีกสิ่งที่รับประทานแล้วดีไม่แพ้กันคือ ผักหลากสี และ กระเทียม เพราะในกระเทียมมี สารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การลดการสะสมของคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยลดภาวะการแข็งตัวของโรคเส้นเลือดอุดตันได้อีกด้วย จึงเป็นที่มาว่ากระเทียมคืออาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ดี โดยวิธีการทานที่ถูกต้องจะต้องทานแบบสดๆ ควรสับหรือบดเพื่อให้ทำปฏิกิริยากับอากาศก่อน ไม่ควรผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างนำไปผัดหรือทอด

ขณะที่ผลไม้ควรเลือกรับประทานประเภทที่ให้น้ำตาลไม่สูงเกิน ไม่ว่าจะเป็น บลูเบอร์รี่ ฝรั่ง หรือแอปเปิ้ล และท้ายที่สุดสำหรับคนติดกินของหวานและไม่รู้จะเริ่มต้น ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ขอให้ลองเปลี่ยนมารับประทานเป็น ดาร์กช็อกโกแลต จะดีต่อสุขภาพหัวใจมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคหัวใจให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด คือ การเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรค ดังนั้นการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ถือเป็นหนึ่งวิธีสำคัญที่จะช่วยให้เราตรวจพบโรคหัวใจได้อย่างรวดเร็ว และรักษาได้อย่างทันท่วงที ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไป และ ในผู้ที่ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง

เครดิตข้อมูลเพิ่มเติม : ศูนย์หัวใจ Safe Heart , โรงพยาบาลเพชรเวช และ โรงพยาบาลเปาโล

Adblock test (Why?)


ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไรให้แข็งแรงและห่างไกลโรค? - Hello Thailand
Read More

คนเป็นโรคหัวใจ ออกกำลังกายได้หรือไม่? ผลเสียเมื่อออกกำลังกายหนักเกินไป - Hfocus

ความเสี่ยงต่อโรคร้าย หลอดเลือดสมอง-หลอดเลือดหัวใจ วิธีดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ หากป่วยเป็นโรคหัวใจออกกำลังกายไม่ได้จริงหรือ

การใช้ชีวิตของคนในยุคนี้ เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งการใช้ชีวิตที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย รับประทานอาหารที่เน้นเร่งรีบ เลือกกินอาหารง่าย ๆ อย่างรวดเร็วในแต่ละวัน พฤติกรรมที่นั่งติดโต๊ะ แทบไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ล้วนแล้วแต่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว

นพ.ธนบูรณ์ วรกิจธำรงค์ชัย นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ อายุรกรรมประสาท เชี่ยวชาญด้านโรคหลอดเลือดสมองและการรักษาโรคหลอดเลือดสมองอุดตันด้วยสายสวนหลอดเลือดสมอง กล่าวกับ Hfocus ว่า อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายจะเริ่มเสื่อมลงตามวัยเช่นเดียวกับหลอดเลือด อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นที่ควบคุมไม่ได้อย่างกรรมพันธุ์ โดยเฉพาะประวัติครอบครัวมีโรคหลอดเลือด หรือพันธุกรรมที่ทำให้เกิดหลอดเลือดสมอง ประกอบกับพฤติกรรมที่ทำลายหลอดเลือด เช่น การสูบบุหรี่ที่ทำลายหลอดเลือดทุกอย่างทั้งร่างกาย หลอดเลือดปลายมือปลายเท้า การดื่มสุรา ที่กระตุ้นให้ความดันสูง เพราะความดันโลหิตสูงทำให้เกิดโรคทั้งโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจ และที่สำคัญคือ ยาเสพติดต่าง ๆ

สำหรับวิธีดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคร้าย นพ.ธนบูรณ์ ย้ำว่า ต้องใส่ใจในปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ เช่น โรคประจำตัว อย่างคนที่เป็นโรคเบาหวาน เวลาที่มีน้ำตาลที่ควบคุมไม่ได้ จะทำให้เซลล์หรือหลอดเลือดเสื่อมเร็ว โอกาสเกิดการยืดหยุ่นจะน้อยลง เสี่ยงต่อทั้งโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงต้องควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์โดยดูจากน้ำตาลสะสม อย่างน้อย HB1AC (Hemoglobin A1c) น้ำตาลสะสมในเลือดควรน้อยกว่า 7 จะลดความเสี่ยงของทั้ง 2 โรค ความดันโลหิตสูงที่จะเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดสมองแตกต้องควบคุมความดันให้ปกติ หากมีอายุมากก็จะอนุโลมให้ความดันตัวบนไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท ถ้าความดันดีจะอยู่ในช่วง 120/80 นอกจากนี้ ยังต้องป้องกันไม่ให้ไขมันในเลือดสูง ค่าโคเลสเตอรอลรวมต้องน้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอไรด์ต้องน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร LDL-cholesterol ต้องไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนไขมันดี HDL-C ยิ่งมากยิ่งดี 45-50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป จะช่วยเรื่องผนังเซลล์ ผนังหลอดเลือดให้ดีขึ้นได้

"การดูแลตัวเองอื่น ๆ ต้องทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำเยอะ ๆ โดนแสงแดดรับวิตามินดีบ้าง และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ มากกว่านั้นก็ดี ครั้งละมากกว่า 30 นาที หรือออก 1-2 ชั่วโมงต่อวัน แต่ต้องออกกำลังกายให้ปลอดภัย หัวใจเต้นขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของการเต้นหัวใจปกติ จะช่วยให้ร่างกายดี แข็งแรง หลอดเลือดดีด้วย" นพ.ธนบูรณ์ กล่าว

ส่วนความเชื่อที่ว่า คนเป็นโรคหัวใจไม่ควรออกกำลังกายนั้น นพ.ธนบูรณ์ ให้ข้อมูลว่า สามารถออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ได้ แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ คนที่มีปัญหาส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คนที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นโรคหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ กลุ่มคนเหล่านี้จะตรวจ รักษา กินยา ใส่สายหลอดเลือดหัวใจ ใส่ตะข่ายขดลวด ขยายบอลลูน หรือผ่าตัดแล้ว ซึ่งต้องพบแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณหมอแนะนำวิธีออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เริ่มจากเบา ๆ ตามภาวะหัวใจของแต่ละคน บางคนที่มีอาการป่วยรุนแรงจะทำได้แค่เดิน ออกกำลังกายหนักไม่ได้เลย ยิ่งถ้ามีโรคประจำตัวควรได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ 

"ที่สำคัญคือ คนไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยมาตรวจ อาจมีอาการแน่นหน้าอกแล้วเข้าใจว่า เป็นโรคกระเพาะหรือเปล่า คนที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ยกน้ำหนัก เล่นฟิตเนสหักโหม หรือวิ่งมาราธอน ต้องระวังว่า หัวใจทำงานหนัก อาจเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ จากข่าวที่พบเป็นประจำว่า นักกีฬาหรือนักวิ่ง เกิดเป็นลม หมดสติ และหัวใจหยุดเต้น เป็นไปได้ว่า หลอดเลือดอาจตีบบางส่วนแล้วไม่ทราบ ออกกำลังกายหรือวิ่งหนักจนกล้ามเนื้อไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย การสูบโลหิตทำไม่ได้ สุดท้ายก็หัวใจหยุดเต้น จึงควรเข้ารับการตรวจร่างกายเป็นประจำ หรือหากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์" นพ.ธนบูรณ์ กล่าว

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

Adblock test (Why?)


คนเป็นโรคหัวใจ ออกกำลังกายได้หรือไม่? ผลเสียเมื่อออกกำลังกายหนักเกินไป - Hfocus
Read More

มาทำความรู้จัก 'โรคติกส์' อาการ 'กระตุก' แบบฝืนไม่ได้ ข่มใจรู้สึกอึดอัด ขยับรู้สึกปลดปล่อย | TheCoverage.info - The Coverage

ทำความรู้จัก “โรคติกส์” การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นเอง หรืออาการกล้ามเนื้อกระตุกที่เกิดขึ้นทันทีทันใด


นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคติกส์ เป็นโรคในกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติ (movement disorders) มักพบในเด็กวัยเรียน (5-7ปี) โดยจะมาในรูปแบบของการเคลื่อนไหวซ้ำรูปแบบเดิมที่ไม่มีจุดประสงค์ เช่น กระพริบตา ยักคิ้ว แสยะยิ้ม พยักหน้า ยักไหล่ กระโดดหรือมีอาการกระตุกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้

ทั้งนี้ โดยส่วนมากผู้ป่วยมักมีความรู้สึกภายในบางอย่างนำมาก่อนที่จะเกิดอาการเคลื่อนไหว และเมื่อเคลื่อนไหวแล้วจะทำให้ความรู้สึกนั้นหายไปเหมือนได้รับการปลดปล่อย หากผู้ป่วยพยายามบังคับไม่เคลื่อนไหวจะทำให้รู้สึกอัดอั้นไม่สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถที่จะอดกลั้นต่อความต้องการที่จะเคลื่อนไหวผิดปกติได้ในระยะเวลาสั้นๆ (temporary suppression) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคติกส์ โรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียบุคลิก ขาดความมั่นใจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเกิดความผิดปกติอื่นตามมา ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

1

2

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า ในผู้ป่วยบางรายอาจมา           ในรูปแบบการส่งเสียงที่ผิดปกติ เช่น กระแอม เสียงกลืนน้ำลาย หรือกรณีที่มีอาการมากอาจเป็นลักษณะการพูดซ้ำ พูดเลียนแบบ หรือพูดคำหยาบคาย เป็นต้น แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการแสดงทั้งการเคลื่อนไหว และการส่งสียงผิดปกติ จะเรียกว่าโรคทูเร็ตต์

สำหรับโรคกลุ่มนี้ อาจมีอาการของกลุ่มโรคจิตเวชนำมาก่อน เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคสมาธิสั้น เป็นต้น ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคติกส์ อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือเกิดจากโรคเฉพาะตัวบุคคลที่เกิดภายหลัง เช่น เกิดจากการติดเชื้อในสมองตอนเด็กหรือเป็นโรคออทิสติก เป็นต้น

นพ.ธนินทร์ กล่าวว่า โรคติกส์ที่เกิดในผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคติกส์ตอนเด็ก หรือผู้ป่วยบางคนมีรายงานว่าเกิดจากรอยโรค หรือเนื้องอกบางตำแหน่งในสมองได้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาในภายหลังได้

สำหรับการรักษาที่ดีที่สุดคือการปรับพฤติกรรม เพื่อลดอาการที่นำมาก่อนการเคลื่อนไหว และเพิ่มระยะเวลาที่สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวหากยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ การใช้ยากลุ่มจิตเวช (anti-psychotics) เพื่อช่วยระงับการเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ แต่ต้องติดตามผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มนี้ด้วย เช่น กลุ่มอาการพาร์กินสันเทียม กลุ่มอาการบิดเกร็ง เป็นต้น และควรรักษากลุ่มโรคจิตเวช (OCD,ADHA) ที่มาพร้อมโรคติกส์ด้วย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย

3

Adblock test (Why?)


มาทำความรู้จัก 'โรคติกส์' อาการ 'กระตุก' แบบฝืนไม่ได้ ข่มใจรู้สึกอึดอัด ขยับรู้สึกปลดปล่อย | TheCoverage.info - The Coverage
Read More

Monday, October 24, 2022

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี - ไทยรัฐ

“...When health is at risk, everything is at risk...” ประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้งและชัดเจนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ใดที่มีการนำนโยบายสุขภาพไปผิดทิศผิดทาง นำสุขภาพไปหากิน หรือบริหารจนนำไปสู่สาธารณะเสี่ยงและสาธารณทุกข์

ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ยาเสพติด เสรีสิ่งเสพติด อาชญากรรม อุบัติเหตุและอื่นๆ ย่อมทำให้สุขภาพของคนในสังคมเผชิญกับความเสี่ยงมากมายตามมาและส่งผลกระทบกับทุกมิติในระยะยาว ยากที่จะแก้ไขเยียวยา...ทุกสังคมจึงต้องเห็นความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ สวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

17 ตุลาคม 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat” บอกว่า ควบคุม มิใช่ติดตาม...สุขภาพมิอาจต้านทาน...มัวเมา โง่เขลา มิอาจรู้...ประเทศชาติ มิอาจละเลย

“ฤดูหนาวจะหนาว...จิตสำนึกด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ...”

ท่ามกลางที่เรายังต้องอยู่กับ “โควิด–19” แนะนำว่า ผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด...รวมถึงญาติที่มาเยี่ยมหรือเฝ้าไข้...ควรได้รับการคัดกรองโรคจากประวัติ อาการ และตรวจ ATK เพื่อป้องกันทั้งตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยเดียวกัน ญาติและบุคลากรทางการแพทย์

“หากหน่วยงานไม่มีกฎระเบียบดังกล่าว ผู้ป่วย ญาติ บุคลากรทางการแพทย์ในหน่วยงานควรเรียกร้องสิทธิ เพื่อปกป้องสวัสดิภาพ ความปลอดภัยในชีวิตของทุกคน”

วันนี้จะเห็นข้อมูลความรู้เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ว่าแตกหน่อต่อยอดไปมาก เกินกว่าสายพันธุ์ก่อนๆที่เคยระบาดมา

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

อัปเดต “ยา” ที่ใช้รักษา “โควิด–19” Murakami N และคณะ ได้ทบทวนข้อมูลวิชาการแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 ทั้งยาต้านไวรัส ยาต้านการอักเสบ ยาแอนติบอดีชนิดต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ยาต้านไวรัสมาตรฐานที่ใช้รักษาโรคโควิด–19 ได้แก่ Paxlovid (เริ่มให้ยาภายใน 5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ), Remdesivir (เริ่มให้ยาภายใน 7 วันหลังจากเริ่มมีอาการ), และ Molnupiravir (เริ่มให้ยาภายใน 5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ)

ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับ “ลองโควิด” ในแคนาดา (17 ตุลาคม 2565) Statistics Canadaประเทศแคนาดาได้เผยแพร่ผลการสำรวจสถานการณ์ พบว่ามีประชากรราว 4.6% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ จำนวนสูงถึง 1.4 ล้านคน ที่ประสบปัญหา “ลองโควิด”

โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในแคนาดาจะมีปัญหาลองโควิดราว 15% ทั้งนี้เพศหญิงมีอัตราการเกิดปัญหามากกว่าเพศชาย แม้แต่ละประเทศจะเอาสถิติมาเทียบกันตรงๆไม่ได้เนื่องจากมีความแตกต่างของปัจจัยแวดล้อมอยู่มาก แต่ด้วยข้อมูลปัจจุบัน อัตราความชุกของภาวะลองโควิดในแต่ละประเทศก็ตอกย้ำให้เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นระยะยาว

“...การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ หรือไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ ย่อมดีที่สุด ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ใส่ใจสุขภาพของตนเองและครอบครัว ใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง เป็นกิจวัตร จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

รศ.นพ.ธีระ บอกอีกว่า “สัจธรรมชีวิต” ฝึกคนที่ไม่เก่งให้เก่งขึ้นนั้น...ทำได้ไม่ยาก สอนพวกที่โกหกจนเป็นกิจวัตรให้ไม่โกหก...ทำได้ยากกว่า อบรมให้พวกที่ไม่ละอายและไม่เกรงกลัวต่อบาป ให้รู้ผิดชอบชั่วดี...ทำได้ยากขึ้นไปอีก และต้องใช้เวลาปลูกฝังยาวนาน แม้แต่เป็นบิดามารดายังทำได้ยาก

แต่การจะเปลี่ยนแปลงพวกที่มีปัญหาทั้งสามเรื่องพร้อมกันนั้น... แทบเป็นไปไม่ได้เลย สามปัญหาที่หากมีพร้อมกัน จะเป็นภาวะคุกคามที่อันตรายยิ่งต่อคนในสังคม ไม่ว่าจะที่ใดในโลก

ฉันใดก็ฉันนั้น ให้นึกถึงถ้อยคำอันฉ่ำหวานราวน้ำผึ้งอาบยาพิษที่เคยได้ยินกับผลแห่งความจริงที่ปรากฏ อาทิ “กระจอก”...เท่ากับร้ายกาจ “เอาอยู่”...เท่ากับตัวใครตัวมัน “ธรรมดา”...เท่ากับเละเทะ “เพียงพอ”...เท่ากับสำหรับใครบางคนบางพวก “ไม่มี”...เท่ากับมีดาษดื่นไปแล้วแต่ไม่บอก

“ไม่ปกปิด”...เท่ากับเปิดเท่าที่อยากเปิด เปิดยามที่อยากเปิด

ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่สังคมโลกไม่ควรยอมรับและต้องทำทุกทางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ สวัสดิภาพ ความปลอดภัยในชีวิตของคนในสังคม

อัปเดตสถานการณ์ระบาดในเยอรมนี สถานการณ์ไอซียู...ผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาตัวในไอซียู ครองเตียงไปแล้วมากถึง 19,232 เตียงจากจำนวนที่มีอยู่ 22,729 เตียง คิดเป็น 84.61% ทั้งนี้มีผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 30.21% ของจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคโควิดที่อยู่ในไอซียู

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

การระบาดในสิงคโปร์...Hartono S นำเสนอข้อมูลชี้ให้เห็นว่า XBB กำลังครองการระบาดระลอกที่สามของปีนี้ โดยมีสัดส่วนเกินครึ่ง และคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในระลอกนี้จะมากกว่าระลอกก่อนที่เกิดจาก BA.5 ...ทั้งนี้ระลอกก่อนมีอัตราการติดเชื้อซ้ำราว 5% แต่ระลอก XBB ขณะนี้มีอัตราติดเชื้อซ้ำมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า

และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่านี้ ซึ่งอาจมาจากหลายปัจจัย ทั้งสมรรถนะของไวรัสเอง รวมถึงระดับภูมิคุ้มกันในประชากรที่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นภูมิจากวัคซีนหรือจากการติดเชื้อมาก่อนก็ตาม

พุ่งเป้าไปที่ประเด็นสมรรถนะของ “ไวรัสกลายพันธุ์” ข้อมูลจาก Wenseleers T เบลเยียม ชี้ให้เห็นว่า สายพันธุ์ไวรัสที่กลายพันธุ์ ทั้ง XBB, BQ.1.1, BA.2.75.2, BA.4.6, BF.7 นั้น มีสมรรถนะในการขยายการระบาดสูงกว่าตระกูล BA.5.X เดิม ไม่ว่าจะทวีปใดก็ตาม ทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย โอเชียเนีย

พัฒนาการของไวรัสยามเปิดเสรีใช้ชีวิต Turville T (ออสเตรเลีย) วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจ อ้างอิงจากการวิจัยทีมงานเผยแพร่ในวารสาร Nature Microbiology (30 พ.ค.2565) โดยประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ทำให้ไวรัสมีการแพร่เชื้อจำนวนมาก อาจทำให้สมรรถนะของไวรัสโรคโควิด-19 หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม

...จากเดิมที่ไวรัสพยายามหลบหลีกภูมิคุ้มกันและเปลี่ยนแนวทางการจับกับตัวรับบนผิวเซลล์จนทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง แต่อิสระในการแพร่เชื้อที่มีในปัจจุบัน จะทำให้ไวรัสที่กลายพันธุ์อาจกลับไปใช้กระบวนการจับกับตัวรับ TMPRSS2 ที่พบมากในปอด และนำไปสู่การป่วยรุนแรงมากขึ้นได้

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี
โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานข้างต้นคงต้องรอการติดตามพิสูจน์ต่อไป ที่น่าจับตาดูคือสถิติหลายประเทศในยุโรปที่มีจำนวนผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลและไอซียูมากขึ้น

“มองโลก มองไทย” ด้วยข้อมูลเชิงนิเวศจะเห็นได้ว่าประเทศไทยย่อมมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากปัจจุบันเราเปิดเสรีการใช้ชีวิตและการท่องเที่ยวเดินทางจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ ตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมรับมือการระบาดซ้ำ และป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ

“การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องเป็นกิจวัตรเวลาออกนอกบ้าน จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”

บทเรียน “โรคระบาด” นั้น สรุปสั้นๆคือวิกฤติหนักหนาสาหัสจะไม่มีทางเกิดขึ้น หากวงการเมืองสุจริต วงนโยบายซื่อสัตย์และวงวิชาการมีจริยธรรม เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในสังคมโลก อนาคตน่าจะได้มีการตีแผ่ออกมาให้ทราบกันไม่ช้าก็เร็วผ่านช่องทางต่างๆ

แต่ “บุญ” หรือ “บาป” ที่เกิดขึ้นจากการกระทำแต่ละอย่างที่นำไปสู่ความสูญเสียนั้น รอตีตั๋วเช็กบิลกันตอนวาระสุดท้ายของชีวิตของแต่ละคน.

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

Adblock test (Why?)


โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี - ไทยรัฐ
Read More

เชื้อยังอยู่! ติดโควิดปอดอักเสบ 4 ครั้งใน 4เดือน ฉีดวัคซีนไม่ลดอาการหนัก - กรุงเทพธุรกิจ

  • ติดโควิดเชื้อยังไม่หมด ปอดอักเสบ 4 ครั้งใน 4 เดือน

ผู้ป่วยชายอายุ 67 ปี เคยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองรักษาหายแล้วด้วยเคมีบำบัดเมื่อ 5 ปีก่อน มีปอดอักเสบจากไวรัสโควิด 4 ครั้งในเวลา 4 เดือน 

ครั้งที่ 1 : เดือนกรกฎาคม 2565

มีไข้ ไอ เหนื่อย เอกซเรย์ปอดมีฝ้าขาว รหัสพันธุกรรม RT-PCR SARS-CoV 2 บวก CT value 17.40 ได้ยาเรมเดซิเวียร์ทางเส้นเลือดครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เป็นเวลา 5 วัน หลังให้ปอดอักเสบดีขึ้น

ครั้งที่ 2 : เดือนสิงหาคม 2565

มีไข้ ไอ เหนื่อย และเอกซเรย์ปอดมีฝ้าขาว ATK บวก ได้ยาเรมเดซิเวียร์ทางเส้นเลือดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม เป็นเวลา 10 วัน หลังให้ปอดอักเสบดีขึ้น

ครั้งที่ 3 : เดือนกันยายน 2565

มีอาการไอ เหนื่อย ตรวจ ATK บวก เมื่อวันที่ 22 กันยายน ได้ยาโมลนูพิราเวียร์กิน 5 วัน หลังกินยาดีขึ้น

ครั้งที่ 4 : เดือนตุลาคม 2565

มีไข้ ไอ เหนื่อย ทำคอมพิวเตอร์สแกนปอด เห็นฝ้าขาว 2 ข้าง 

เชื้อยังอยู่! ติดโควิดปอดอักเสบ 4 ครั้งใน 4เดือน ฉีดวัคซีนไม่ลดอาการหนัก

  • ฉีดวัคซีน 4 เข็ม ไม่ช่วยลดอาการป่วยหนัก

ตรวจรหัสพันธุกรรม RT-PCR SARS-CoV2 บวก CT value 19.04 ให้ยาเรมเดซิเวียร์ทางเส้นเลือดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565

ผู้ป่วยได้รับวัคซีนป้องกันโควิดทั้งหมด 4 เข็ม แอสตร้าเซเนก้า 2 เข็ม ไฟเซอร์ 1 เข็ม และโมเดอร์นา 1 เข็ม แต่ในผู้ป่วยรายนี้วัคซีนไม่ช่วยลดการป่วยหนัก ผู้ป่วยได้ Evusheld ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ฉีดเข้ากล้ามโดสแรกวันที่ 16 สิงหาคม 2565 ซึ่งในต่างประเทศเขาแนะนำคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่นผู้ป่วยรายนี้ให้ฉีด Evusheld 2 โดสในเวลาเดียวกันทุก 6 เดือน ได้ให้ Evusheld โดสที่ 2 วันที่ 22 ตุลาคม 2565

ในอนาคตถ้าผู้ป่วยรายนี้มีปอดอักเสบจากโรคไวรัสโควิดกลับมาอีก คงต้องให้ยาต้านไวรัสหลายชนิดพร้อมกัน

Adblock test (Why?)


เชื้อยังอยู่! ติดโควิดปอดอักเสบ 4 ครั้งใน 4เดือน ฉีดวัคซีนไม่ลดอาการหนัก - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

พิษยุงร้ายหลังเฮอริเคนทำรัฐฟลอริดาต้องทุ่มเงินหลายล้านสู้กลับ - เดลินิวส์ออนไลน์

นอกเหนือจากให้ความช่วยเหลือและซ่อมบำรุงพื้นที่ประสบภัยหลังจากพายุเฮอริเคนพัดผ่านแล้ว ทางการฟลอริดา กำลังทุ่มทั้งแรงงานและเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรับมือภัยร้ายชนิดใหม่จากฝูงยุง ซึ่งเป็นพาหะในการแพร่โรคร้ายอย่างไวรัสเวสต์ไนล์และไข้สมองอักเสบ 

เอริค แจ๊คสัน รองผู้อำนวยการหน่วยควบคุมประชากรยุงประจำเขตลีเคาน์ตี รัฐฟลอริดา ชี้แจงว่า ขณะนี้ทางหน่วยงานพยายามกำจัดฝูงยุงให้ได้มากและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกเหนือจากหายนะทางกายภาพที่เห็นได้ชัดหลังจากพายุเฮอริเคนเอียนผ่านพ้น ภัยร้ายอื่น ๆ ที่ตามมา ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย, โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและโรคอื่น ๆ ที่มีแมลงเป็นพาหะ โดยเฉพาะแมลงที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนิ่ง เช่น ยุง ซึ่งถ้าไม่มีการควบคุมจำนวนแมลงเหล่านี้ อาจทำให้เกิดโรคระบาดได้

แดเนีล มาร์โควสกี ผู้แนะนำด้านเทคนิคของสมาคมควบคุมประชากรยุงแห่งสหรัฐ ชี้ว่า หน่วยงานมีความกังวลเรื่องจำนวนยุงหลายหมื่นตัว ที่จะปรากฏขึ้นหลังจากเหตุการณ์พายุพัดถล่มและน้ำท่วมใหญ่ เพียงแค่จำนวนมหาศาลของฝูงยุง ก็ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบากแล้ว

ทีมนักวิจัยยังประเมินว่า ต่อไปปัญหานี้จะยุ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากภาวะโลกร้อน ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดพายุเฮอริเคน คลื่นความร้อนและน้ำท่วมบ่อยครั้งขึ้น

เขตลีเคาน์ตีของไมอามี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเฮอริเคนเอียนมากที่สุดแห่งหนึ่ง ได้ว่าจ้างคนงานราว 100 คน มีเฮลิคอปเตอร์ 5 ลำ เครื่องบินเล็ก 6 ลำและรถบรรทุกอีก 12 คัน คอยรับผิดชอบปฏิบัติการพ่นยาฆ่ายุง เพื่อลดจำนวนยุงในพื้นที่

นอกจากนี้ยังมีการเก็บเลือดตัวอย่างจากฝูงไก่ทดลองใน 17 แห่ง เพื่อนำไปตรวจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่ามีไก่ตัวไหนบ้างที่โดนกัดและติดเชื้อไวรัสที่ยุงเป็นพาหะ ทีมงานจะคอยตรวจสอบกับดักยุงที่วางไว้ตลอดปี เพื่อเก็บข้อมูลจำนวนประชากรยุง และช่วงเวลาที่เริ่มมีจำนวนยุงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในเขตลีเคาน์ตี จำนวนยุงในกับดักยุงเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 1 สัปดาห์ หลังจากพายุเฮอริเคนเอียนพัดผ่าน โดยเทียบกับจำนวนยุงในกับดักเกือบ 34,000 ตัว ประจำเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว กับจำนวนยุงในกับดักอันเดียวกันภายในเวลาครึ่งแรกของเดือน ต.ค. ปีนี้ ซึ่งมีมากกว่า 107,000 ตัว ทำให้มีประชาชนและบริษัทห้างร้านโทรศัพท์ติดต่อเข้ามา เพื่อขอให้หน่วยงานช่วยกำจัดยุงในระหว่างนั้นมากกว่า 600 ครั้ง

เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับเขตชุมชนอื่น ๆ ของฝั่งตะวันออกของฟลอริดา อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีพายุเฮอริเคนพัดผ่าน

กระบวนการควบคุมจำนวนยุงจะใช้วิธีทำลายแห่งวางไข่และที่อยู่ของลูกน้ำในช่วงแรก เนื่องจากยุงมักวางไข่ทิ้งไว้ในดิน เมื่อเกิดฝนตกหรือน้ำท่วม ก็จะมีลูกน้ำฟักออกมาจากไข่ และยิ่งถ้าเป็นน้ำท่วมใหญ่หลังพายุ ก็จะยิ่งทำให้มีลูกน้ำฟักตัวออกมาและกลายเป็นยุงจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจถึงหลักล้านตัวที่ออกมาพร้อม ๆ กัน

เมื่อถึงช่วงที่เริ่มมียุงที่โตเต็มวัยจำนวนมากปรากฏขึ้น หน่วยงานก็จะเปลี่ยนมาใช้เครื่องบินพ่นยาฆ่ายุงทางอากาศ ซึ่งในเขตลีเคาน์ตี ปฏิบัติการพ่นยาแบบนี้จะทำกันในตอนกลางคืน เนื่องจากเป็นช่วงที่ยุงออกหากิน  

ยุงที่สร้างความกังวลให้หน่วยงานคือยุงรำคาญที่จะปรากฏตัวหลังน้ำลด เนื่องจากยุงชนิดนี้เป็นพาหะของโรคติดเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์และโรคไข้สมองอักเสบ 

ยุงอีกชนิดหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่คือยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออกและโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ โดยขณะนี้ในฟลอริดา มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก 30 ราย และติดเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ 2 ราย นอกเหนือไปจากการระบาดของโรคจากแบคทีเรียกินเนื้ออื่น ๆ 

หลังจากพายุเอียนผ่านพ้น เขตลีเคาน์ตี ได้พ่นยาฆ่ายุงไปแล้ว 21 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 550,000 เอเคอร์ หรือมากกว่า 2,225 ตาราง กม. และทางการต้องจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาพ่นยาไม่ต่ำกว่า 2.30 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 87.74 บาท) ต่อ 1 เอเคอร์ ซึ่งตอนนี้หมดงบประมาณไปแล้วเกือบ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 114.4 ล้านบาท) 

อย่างไรก็ตาม ทางการฟลอริดายังไม่มีแผนจะขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง เรื่องการควบคุมจำนวนยุง เพราะเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังรับมือได้ 

แหล่งข่าว : nbcnews.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES

Adblock test (Why?)


พิษยุงร้ายหลังเฮอริเคนทำรัฐฟลอริดาต้องทุ่มเงินหลายล้านสู้กลับ - เดลินิวส์ออนไลน์
Read More

Sunday, October 23, 2022

"โอไมครอน" XBB-XBB.1 ใน สิงคโปร์ เริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว หลังติดเชื้อจำนวนมาก - คมชัดลึก

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics ) ระบุข้อมูลล่าสุด เกี่ยวกับการระบาดของ "โอไมครอน" XBB และ XBB1  ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งในระยะแรกดูเหมือนว่าสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวจะส่อเค้ารุนแรง โดยระบุว่า  "โอไมครอน"  XBB และ XBB.1  ใน สิงคโปร์ เริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว จากข้อมูลล่าสุดจากสาธารณสุข สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโอไมครอน XBB พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโอไมครอน XBB  และ XBB.1 รายใหม่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าข้อมูลจากห้องปฏิบัติการ(ห้องแล็บ) จะบ่งชี้ว่า "โอไมครอน" XBB และ XBB.1 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและ

จากการฉีดวัคซีนได้ดีที่สุดในบรรดา "โอไมครอน" สายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่   รวมทั้งยังดื้อต่อยาแอนติบอดีสำเร็จรูปเจเนอเรชันแรกทั้งหมดก็ตาม

สาเหตุหลัก 5 ประการที่ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อ "โอไมครอน"  XBB XBB.1 ในสิงคโปร์ที่ต้องเข้ารักษาตัวใน รพ. และเสียชีวิตมีจำนวนไม่มากน่าจะมีสาเหตุมาจาก 6 ปัจจัยหลัก

1. ประชากรชาวสิงคโปร์ให้ความร่วมมือในการใส่หน้ากากอนามัยโดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเปราะบางและญาติที่อยู่ใกล้ชิด

2. ประชากรชาวสิงคโปร์ได้รับวัคซีนครบโดส 92%

3. ประชากรชาวสิงคโปร์ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นถึง 79%

4. ประชากรชาวสิงคโปร์ได้รับยาต้านไวรัสโคโรนา-2019 อย่างรวดเร็วหลังจากการติดเชื้อโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง

5. ประชากรชาวสิงคโปร์ได้รับยาแอนติบอดีสำเร็จรูปในรายที่แพทย์เห็นว่าจำเป็นอย่างรวดเร็วหลักจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง

6. มีการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อตรวจสอบสายพันธุ์ถึงร้อยละ 2 ของผู้ติดเชื้ออันเป็นประโยช์ในการควบคุม  ป้องกัน และรักษาโควิด-19

สี่อันดับแรกในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา-2019 มากที่สุดคือ

บรูไนร้อยละ 5.3, อินโดนีเซียร้อยละ 2,  สิงคโปร์ร้อยละ 1.9, และไทย ร้อยละ 0.4

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Facebook : https://www.facebook.com/komchadluek/
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w 

Adblock test (Why?)


"โอไมครอน" XBB-XBB.1 ใน สิงคโปร์ เริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว หลังติดเชื้อจำนวนมาก - คมชัดลึก
Read More

Saturday, October 22, 2022

7 สุดยอด "อาหารคลายเครียด" กินแล้ว อารมณ์ดี ห่างไกล โรคซึมเศร้า - คมชัดลึก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ใครกำลังเครียด อ่านเลย เปิด 7 สุดยอด "อาหารคลายเครียด" กินแล้ว กระตุ้นให้ อารมณ์ดี ห่างไกลจาก "โรคซึมเศร้า" ได้

"อาหารคลายเครียด" อาหาร ที่กินแล้วทำให้ อารมณ์ดีขึ้น มีอยู่จริงหรือ น่าจะมีหลายคนสงสัย เพราะเมื่อเราอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เศร้า เครียด แล้วอยากจะเดินออกไปจากภาวะนี้ วิธีส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นการฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือออกไปเดินเล่น เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลายแต่วิทยาศาสตร์ กลับค้นพบว่า "อาหาร" ที่เรากินเข้าไป มีบทบาทต่ออารมณ์ ความรู้สึกด้วย เพราะอาหารบางชนิด ทำให้ “เซโรโทนิน” ภายในสมองมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ห่างไกลจากโรคซึมเศร้า

"เซโรโทนิน" คืออะไร

เซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารชีวเคมีชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสร้างขึ้น มีคุณสมบัติเป็นทั้งสารสื่อประสาทและฮอร์โมน มีหน้าที่ควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด ความหิว ความอิ่ม ความอยากอาหาร การนอนหลับ อารมณ์ทางเพศ และความรู้สึกสุขสงบ ช่วยระงับความโกรธและความก้าวร้าวได้ นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย เช่น การย่อยอาหาร ความรู้สึกอยาก หรือเบื่ออาหาร การนอนหลับ และโรคทางจิตเวชหลายโรค

ทั้งนี้ หากร่างกายหลั่ง “เซโรโทนิน” น้อยลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ดังนี้

  • อารมณ์และพฤติกรรม : ซึมเศร้า เกิดความเครียด วิตกกังวล อยู่ไม่สุข โกรธง่าย หงุดหงิด หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง รวมถึงเป็นสาเหตุหลักของโรคซึมเศร้า และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ โดยมีสภาวะแวดล้อมและสิ่งกระตุ้นภายนอกเป็นปัจจัยร่วม ดังนั้น การให้เซโรโทนิน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่นำมาใช้รักษาโรคซึมเศร้า

7 อาหารคลายเครียด

  • กระตุ้นอาการก่อนมีประจำเดือน : รู้สึกซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล อยากอาหารมากกว่าปกติ ไปจนถึงคลื่นไส้ อาเจียน
  • มีปัญหาความจำ ขาดสมาธิ : รู้สึกกระวนกระวาย อ่อนเพลีย ขาดสมาธิ นอนไม่หลับ รู้สึกไม่สนชื่น
  • นาฬิกาชีวิตเปลี่ยนไป : ง่วงนอนกลางวันมากกว่ากลางคืน
  • วิตกกังวลมากขึ้น : ร่างกายเรามีตัวรับเซโรโทนินแตกต่างกัน อย่างน้อย 14 ชนิด และ 5-HT1A คือ ตัวที่สำคัญที่สุดในทั้งหมด หากตัวรับชนิดนี้บกพร่องจะทำให้อ่อนไหวง่าย ประหม่า และขี้กังวลมากขึ้น

ึ 7 อาหารคลายเครียด

7 อาหารคลายเครียด

  1. หอยแมลงภู่ อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 ที่จะช่วยทำให้สมองรู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งในหอยแมลงภู่มีเกลือธรรมชาติอย่างไอโอดีน ช่วยปรับการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้อยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย
  2. ไข่ไก่ อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่เป็นสารอาหารที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี และสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน ไอโอดีน วิตามินบีและสังกะสี ที่จะช่วยทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
  3. ช็อกโกแลต มีกรดอะมิโนทริปโตฟานที่ ช่วยกระตุ้นสารเซโรโทนินในร่างกาย ที่เป็นสารแห่งความสุข สามารถช่วยลดความเครียดได้
  4. กล้วย อุดมไปด้วยสารอาหาร ไฟเบอร์ และแร่ธาตุ ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีสารทริปโตเฟน ซึ่งช่วยผลิตฮอร์โมนแห่งความสุขและสร้างเซโรโทนินให้ร่างกายทำให้ระบบประสาทผ่อนคลายอีกด้วย
  5. เชอร์รี่ มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นเซราโทนิน และยังมีส่วนช่วยในการผลิตเอ็นโดรฟิน โดพามีน นอร์อิพิเนฟรินในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยรับมือกับอาการหงุดหงิดได้
  6. กาแฟ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ดื่มกาแฟปี 2016 พบว่า การดื่มกาแฟมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงการเกิดภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาขนาดเล็กอีกชิ้นหนึ่งสรุปว่า กาแฟทั้งแบบมีคาเฟอีนและไม่มีคาเฟอีน ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟหลอก
  7. อาหารหมัก อาหารที่ผ่านกระบวนการหมัก เช่น กะหล่ำปลีดอง กิมจิ คีเฟอร์ คอมบูชา และโยเกิร์ต นอกจากจะช่วยรักษาลำไส้ให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นด้วย เพราะในกระบวนการหมักจะสร้างโพรไบโอติก ซึ่งช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ดีที่มีอยู่ในลำไส้ที่มีส่วนช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในลำไส้ทำหน้าที่สร้างเซโรโทนินอยู่แล้วประมาณ 90% สร้างสารความสุขเพิ่มขึ้นอีก

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่าง "อาหารคลายเครียด" แต่ก็ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังเป็นประจำ ควบคู่ไปด้วย จะยิ่งทำให้เราผ่อนคลาย อารมณ์ดี และ สุขภาพแข็งแรง มากขึ้น

เพื่อไม่พลาด ข่าวสารต่างๆ คมชัดลึก ไปที่
Youtube - https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w
LineToday - https://today.line.me/th/v2/publisher/100057

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

Adblock test (Why?)


7 สุดยอด "อาหารคลายเครียด" กินแล้ว อารมณ์ดี ห่างไกล โรคซึมเศร้า - คมชัดลึก
Read More

จับตาโควิดสายพันธ์ุใหม่ BQ.1, BQ.1.1 เพิ่มจำนวนในสหรัฐฯ - ไทยรัฐ

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ แสดงความเป็นห่วง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์สายพันธ์ุ BQ.1, BQ.1.1 เพิ่มขึ้นมาถึง 16.6 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศทั้งหมด

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC แถลงถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยกำลังเฝ้าจับตาดูการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ BQ.1, BQ.1.1 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 16.6 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา โดยถือว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา พบการระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อกลายพันธุ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนครนิวยอร์ก โดยแยกย่อยเป็นเชื้อกลายพันธุ์ BQ.1 คิดเป็น 5.8 เปอร์เซ็นต์ของเชื้อกลายพันธุ์ทั้งหมด ขณะที่ BQ.1.1 คิดเป็น 3.6 เปอร์เซ็นต์ของเชื้อกลายพันธุ์ที่พบทุกสายพันธุ์

สำหรับเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์ BQ.1 และ BQ.1.1 นั้นเป็นการกลายพันธุ์มาจากเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ซึ่งเป็นตัวที่กำลังแพร่กระจายอย่างหนักอยู่ในสหรัฐฯ ขณะนี้ ซึ่งทางการสหรัฐฯ กำลังเร่งกระตุ้นให้ประชาชนไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรพัฒนาใหม่ที่จะสามารถรับมือกับเชื้อโอมิครอนและสายพันธ์ุดั้งเดิมได้ ซึ่งหากไม่รีบดำเนินการตัวเลขผู้ป่วยในช่วงฤดูหนาวในสหรัฐฯ อาจจะพุ่งสูงอย่างมาก ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นแล้วทั้งในยุโรปและอังกฤษ

ก่อนหน้านี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาเริ่มอยู่ในช่วงขาลง แต่กลับพบว่าจำนวนผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ แม้ว่าจะยังน้อยกว่าในสัปดาห์ก่อนหน้าก็ตาม โดยขณะนี้หน่วยงานสาธารณสุขและผู้ผลิตวัคซีนในสหรัฐฯ ยังคงเฝ้าจับตาการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าเชื้อกลายพันธุ์ดังกล่าวจะตอบสนองต่อวัคซีนตัวล่าสุดอย่างไรบ้าง.

Adblock test (Why?)


จับตาโควิดสายพันธ์ุใหม่ BQ.1, BQ.1.1 เพิ่มจำนวนในสหรัฐฯ - ไทยรัฐ
Read More

จมูกอักเสบภูมิแพ้ เล็กน้อยแต่กลับถูกมองข้าม! - เดลินิวส์ออนไลน์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.

Adblock test (Why?)


จมูกอักเสบภูมิแพ้ เล็กน้อยแต่กลับถูกมองข้าม! - เดลินิวส์ออนไลน์
Read More

Thursday, October 20, 2022

กลิ่นตัวเรา ทำให้เราเป็น “แม่เหล็กดูดยุง” หรือเปล่า? - อีจัน Ejan

ผลการศึกษาใหม่พบว่าบางคนเป็น “แม่เหล็กดูดยุง” จริงๆ และอาจเกี่ยวข้องกับกลิ่นของพวกมัน ไม่ใช่กลิ่นตัวของเรา

เลสลี วอสฮอลล์ (Leslie Vosshall) นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller University) ในนิวยอร์กกล่าวว่า "ถ้าคุณมีสารนี้ในระดับที่สูงบนผิวของคุณ คุณก็เตรียมตัวปูเสื่อปิกนิกรอยุงมากัดได้เลย”

มีนิทานพื้นบ้านมากมายเกี่ยวกับผู้ที่ถูกกัดมากกว่าคนปกติ แต่คำกล่าวอ้างจำนวนมากไม่ได้มีหลักฐานสนับสนุนที่แน่ชัด วอสฮอลล์ (Vosshall) กล่าว เพื่อทดสอบแม่เหล็กของยุง นักวิจัยได้ออกแบบการทดลองที่ดักกลิ่นของผู้คนเข้าหากัน มาเรีย เอเลนา ดี โอบาลเดีย (Maria Elena De Obaldia) ผู้เขียนการศึกษาอธิบาย

Adblock test (Why?)


กลิ่นตัวเรา ทำให้เราเป็น “แม่เหล็กดูดยุง” หรือเปล่า? - อีจัน Ejan
Read More

Wednesday, October 19, 2022

เตรียมพร้อมอย่างไร? เมื่อเข้าสู่วัยทอง - กรุงเทพธุรกิจ

ครบรอบ 30 ปี "คลินิกวัยทอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย" ได้จัดงานเสวนาเรื่อง "มุมใหม่วัยทอง..มุมมองแห่งคามสำคัญ" 

  • สังเกตตัวเอง..เข้าสู่วัยทองแล้วหรือยัง?

โดยมี รศ.นพ.อรรณพ ใจสำราญ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้หญิงวัยทองมากกว่า 30 ปี แพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และนายกสมาคมวัยหมดระดูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้หญิงจะเข้าสู่วัยทอง เมื่ออายุเฉลี่ยประมาณ 49- 50 ปี แต่ทั้งนี้ ผู้หญิงแต่ละคนเข้าสู่วัยทองแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ดังนั้น การเตรียมตัวเมื่อก้าวสู่วัยทอง คือ ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองและเก็บสุขภาพที่ดีก่อนจะหมดประจำเดือน และอายุ 45 ปี ขึ้นไปควรจะพบแพทย์

สำหรับอาการที่สังเกตได้ง่าย คือ

  • หมดประจำเดือน หรือการเปลี่ยนแปลงของรอบประจำเดือน  เช่น คนที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอทุกเดือนก็อาจจะมาถี่ขึ้น ถี่ขึ้น และห่างออกไปหลายเดือน จนหมดประจำเดือนไปเลย 
  • มีอาการร้อนวูบวาบ  เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • ผิวหนังแห้ง บาง ผมแห้งและหลุดร่วงง่าย
  • ช่องคลอดแห้ง ทำให้มีอาการแสบ คัน และติดเชื้อได้ง่าย
  • นอนหลับยาก ตื่นเร็ว
  • อารมณ์ผันผวน อาทิ หงุดหงิดง่าย และเครียด
  • ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ยาก  เบื่อหน่าย  ซึมเศร้า
  • ระบบทางเดินปัสสาวะ ไอ จามปัสสาวะเล็ด เป็นต้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

เปิดตำราสมุนไพร ตัวช่วย-แก้ 10ปัญหาระบบภายใน​ กวนใจ สตรี

เตรียมความพร้อม ก่อนมีบุตรช่วงวัย 35 อัพ

รู้ทัน "วัยทองก่อนวัย" ภาวะรังไข่เสื่อม เสี่ยง ท้องยาก

แนะผู้หญิงอายุ 45 เตรียมพร้อมสุขภาพก่อนเข้าวัยทอง

  • เมื่อเข้าสู่วัยทอง ..ต้องดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง

30 ปีก่อน พอหมดการเจริญพันธุ์ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ดูแลตัวเอง และจะไปดูแลตัวเองอีกทีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ดังนั้น ในช่วง 15 ปีที่ถูกละเลยเป็นวันของผู้หญิงที่กำลังทำหน้าที่ได้อย่างดี และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่พวกเขาต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิต 

รศ.นพ.อรรณพ  กล่าวต่อว่า หากพบว่ามีอาการข้างต้น แม้จะยังไม่อายุ 49-60 ปี ก็ควรจะมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฉะนั้น

  • ผู้หญิงเมื่ออายุเกิน 45 ปีต้องมาพบแพทย์ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกาย เช่น ตรวจเช็กมะร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ระดับไขมันในเลือด และความหนาแน่นกระดูก
  • ควรเตรียมประวัติการรักษาก่อนไปพบแพทย์ เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัย และการจัดยาหรือฮอร์โมนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น อาหารไขมันต่ำ อาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูกหรืออาหารที่กากใยสูง เพื่อช่วยระบบขับถ่ายที่มักแย่ลงในวัยทอง
  • ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันกระดูกพรุน อีกทั้งทำให้ปอดกับหัวใจแข็งแรง แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาหรือกิจกรรมที่มีความรุนแรง
  • การรักษาด้วยฮอร์โมน ในบางรายแพทย์อาจทำการให้ฮอร์โมนรักษาอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นตามข้อบ่งชี้และข้อห้ามใช้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยา หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกฮออร์ เป็นต้น
  • ต้องมีการติดตามดูแลอาการ เพื่อปรับการดูแลให้เหมาะสมแต่ละคน
  • เฝ้าระวัง..โรคที่มาพร้อมกับวัยทอง 

"คลินิกวัยหมดระดู หรือคลินิกวัยทอง" เกิดขึ้นเพื่อดูแลผู้หญิงวัย 45-60 ปี ที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเปลี่ยนแปลง และลดลงอย่างมาก สิ่งสำคัญในคลินิกวัยทอง คือ ทีมพยาบาลจะรับฟังปัญหาให้คำปรึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้ผู้หญิงวัยทองเป็นกลุ่ม และให้แต่ละคนแบ่งปันประสบการณ์ ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน 

ทว่าวัยทอง ไม่ใช่มีเพียงอาการข้างต้น แต่ยังนำมาซึ่งโรคอื่นๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ อาทิ โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความจำเสื่อม ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและลดความเสี่ยงลงได้ หรือรักษาโรคได้ในระยะแรกที่ไม่มีอาการ  การมาพบแพทย์เพื่อตรวจจึงมีความสำคัญมากขึ้น

รศ.นพ.อรรณพ กล่าวต่อไปว่าผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองจะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่ง 1-2 ปี แรก จะมีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตก หงุดหงิด ซึมเศร้า แต่พอผ่านไป 1-2 ปีแรก จะมีอาการอื่นๆ และเป็นโรคอื่นๆ เช่น มีอาการฝ่อลีบของผิวหนังต่างๆ ระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์มีแสบ มีเจ็บ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ด มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อที่ลีบลง และการสูญเสียของกระดูก กระดูกบาง กระดูกพรุน และไขมันในเลือดสูงขึ้น มีโอกาสเป็นเบาหวานมากขึ้น ขณะที่สมอง ความจำ สมาธิก็มีภาวะที่เกิดจากวัยทอง 

โรคกระดูกพรุนในวัยทอง มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมาก ต้องมีการดูแลสตรีวัยทองให้ครอบครัวทั้งในแง่ป้องกัน ชะลอการเสื่อมถอย และส่งเสริมสุขภาพให้กับสตรีในวัยนี้ โดยทีมแพทย์ต้องมีบทบาทในการคัดกรอง ป้องกันและรักษาการสูญเสียมวลกระดูก รวมถึงป้องกันกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนร่วมด้วย 

  • วัยทองปัจจัยเสี่ยง ทำให้เกิด"โรคกระดูกพรุน"

นพ.โชติตะวันณ ตนาวลี ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่าโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างกระดูก โดยเมื่ออายุมากขึ้น มวลกระดูกจะเริ่มบางลงตามธรรมชาติ และมีรูพรุนมากขึ้น ความแข็งแรงลดลง เมื่อเจอแรกกระทบก็จะทำให้หักได้ง่าย ซึ่งโรคกระดูกพรุนจะเป็นที่เนื้อกระดูก ผิวข้อกับเนื้อกระดูกจะอยู่ใกล้กัน  เวลาเดินและใช้งานในชีวิตประจำวัน ถ้ากระดูกพรุนมากๆ ทำให้ข้อหักได้

พญ.นลินา ออประยูร สูตินรีแพทย์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ธรรมชาติของกระดูก เป็นอวัยวะที่สลายของเก่าออกและสร้างของใหม่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้กระดูกมีความแข็งแรง โดยในผู้หญิงและผู้ชายจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่ได้ต่างกัน แต่ในกลุ่มผู้หญิงช่วงวัยทอง ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่จะลดลง เมื่อไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งทำหน้าที่ปกป้อง ก็จะเกิดการสลายมากกว่าการสร้าง และหากไม่ได้รับการดูแลรักษาจะทำให้กระดูกที่แข็งแรงสู่กระดูกบาง และกระดูกพรุนได้ 

"ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดระดู ก็จะสูญเสียมวลกระดูกได้อย่างรวดเร็ว 1-2 ปี ก่อนจะหมดประจำเดือน และกระดูกจะสลายไปอย่างรวดเร็วในช่วง 10ปี หลังจากหมดประจำเดือน เพราะฉะนั้น ช่วงก่อนวัยทอง เป็นช่วงเวลาสำคัญปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือดูแลชะลอการสลายกระดูก เพื่อป้องกันกระดูกบางหรือกระดูกพรุนในอนาคต"พญ.นลินา กล่าว

สำหรับใครที่หมดระดูก่อนอายุ 49-50 ปี หรือต้องไปผ่าตัดรังไข่ ทำให้การทำงานของรังไข่ลดลงและเอสโตรเจนก็จะลดลงด้วย มีความเสี่ยงโรคกระดูกมากขึ้น 

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงเกิดโรคกระดูกพรุน

รศ.พญ.ลลิตา วัฒนะจรรยา อายุรแพทย์ต่อมไร้ท่อ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โรคกระดูกพรุนและกระดูกบางเป็นได้ทุกช่วงอายุ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น กลุ่มวัยทอง ผู้สูงอายุเป็นโรคกระดูกพรุนตามธรรมชาติ แต่ยังมีโรคกระดูกพรุนแบบมีสาเหตุ เช่น  มีโรคประจำตัว ได้รับยาบางอย่าง อาทิ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์  โรคเบาหวาน หรือโรคไทรอยด์ที่ไม่ได้รับการรักษา  หรือคนผอมมากการดูดซึมอาหารไม่ได้ โรคต่อมไร้ท่อ  หรือได้รับยาสเตีย รอยด์ หรือเป็นมะเร็งเต้านม และต้องได้รับยาลดฮอร์โมน เป็นต้น 

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ได้แก่ 

  1. สมาชิกในครอบครัวมีประวัติกระดูกหักง่าย หรือ หักบ่อยเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน
  2. ประวัติของตัวเราเองว่าเคยเกิดอุบัติเหตุไม่รุนแรงแล้วกระดูกหักง่าย เช่น หกล้มแล้วเอามือยันแล้วกระดูกข้อมือหักถือว่าเป็นภาวะไม่ปกติ อุบัติเหตุรุนแรงคือ รถชน ตกจากที่สูง ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะกระดูกหักได้เพราะมีความรุนแรง กระดูกหักจากอุบัติเหตุรุนแรงถือว่าเป็นภาวะปกติ
  3. ขาดฮอร์โมนเพศหญิง หากใครมีประวัติการตัดรังไข่และหรือมดลูกก่อนวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ มวลกระดูกจะตกลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้
  4. ประวัติการใช้ยาต่างๆ เช่น ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่า
  5. คนที่ผอมมากๆ น้ำหนักตัวน้อย ค่า BMI ต่ำ ถือว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะโรคกระดูกพรุน
  6. ผู้ที่สูบบุหรี่ และ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นผู้มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
  7. การออกกำลัง ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนน้อยกว่า
  • วิธีการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน

สำหรัลวิธีป้องกันและการรักษาโรคกระดูกพรุนโดยไม่ต้องใช้ยา

  • ได้รับแคลเซียมเพียงพอ (1,000 มก./วัน) แคลเซียมจากธรรมชาติคือ ปลาตัวเล็กที่สามารถกินได้ทั้งกระดูก, นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ในผู้สูงอายุควรเลือกนมไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ, เต้าหู้, ผักใบเขียว, ถั่วและธัญพืช
  • ได้รับ Vit D เพียงพอ ร่างกายสามารถสร้างวิตามิน D ได้เองตามธรรมชาติผ่านแสงแดดที่มีรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตที่ทำปฎิกริยากับไขมัน Cholesterol ที่อยู่ในผิวหนังของเราและผลิตเป็น Vit D ที่มีประโยชน์ต่อกระดูกของเรา
  • หยุดเหล้า หยุดบุหรี่
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • สำคัญที่สุดคือ การป้องกันระวังอย่าให้หกล้ม ไม่ว่ากระดูกจะบางแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหกล้มเมื่อไหร่ปัญหาจะตามมามากมาย ควรระวังท่าทาง ไม่เอี้ยวตัวกดชักโครก ไม่นั่งยองๆ

กระดูกของคนเราจะเติบโตขึ้นตามวัยจนถึงช่วงอายุ 20-30 ก็จะหยุด (ยกเว้นคนที่มีภาวะผิดปกติกระดูกจะไม่หยุดโต) เพราะฉะนั้นในวัยเด็กหากได้กินอาหารอย่างเต็มที่และถูกสุขลักษณะก็จะทำให้กระดูกของคนๆ นั้นเติบโตได้อย่างเต็มที่ หลังจากกระดูกหยุดเติบโตก็จะนิ่งจนถึงวัย 40 หลังจากนั้นมวลกระดูกจะเริ่มบางลงตามธรรมชาติ

ถ้ากระดูกพรุนแบบรุนแรง ต้องระวังการก้ม การบิดตัว หรือน้ำหนักห้ามมากเกินไป  และระวังล้ม เวลายกของจากพื้น ควรย่อตัวลงไป รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆ ดังนั้น หากใครที่มีอาการและกำลังเข้าสู่วัยทอง ขอให้ไปพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษา เพื่อให้ผ่านช่วงวัยทองได้อย่างสมดุล  

Adblock test (Why?)


เตรียมพร้อมอย่างไร? เมื่อเข้าสู่วัยทอง - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Tuesday, October 18, 2022

"มะเร็งเต้านม" ตรวจพบเร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายขาดสูง - กรุงเทพธุรกิจ

มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย ปัจจุบันพบผู้ป่วยรายใหม่วันละ 30-40 คน และมีผู้เสียชีวิตวันละ 10 คน ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวล กล่าวคือจำนวนผู้เสียชีวิตคิดเป็น 25% ของจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในทุกๆ วัน แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยส่วนหนึ่งรู้ช้า และหรือรักษาช้า 

และแม้ว่าสถิติผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ คือ เพศหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเริ่มมีอายุลดลง บางรายตรวจพบทั้ง ๆ ที่มีอายุเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น ทั้งนี้ ตุลาคม เป็นเดือนแห่งการ รณรงค์ต่อต้านมะเร็งเต้านมสากล ซึ่งองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกจะร่วมใจกันออกมากระตุ้นเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงภัยร้ายของ มะเร็งเต้านม

วิธีที่จะลดการสูญเสียชีวิตจาก โรคมะเร็งเต้านม คือ การตรวจคัดกรอง ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพที่จะทำให้เราตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะต้น ๆ แต่ถ้าใครตรวจพบว่าเป็นมะเร็งก็ไม่ต้องเสียกำลังใจ เพราะปัจจุบันมี ทางเลือกในการรักษา ที่ช่วยให้ผลการรักษาดีกว่าเดิม ตอบโจทย์ความต้องการของคนไข้มากขึ้น ซึ่งแพทย์เฉพาะทางจาก โรงพยาบาลนวเวช ได้มาบอกเล่ารายละเอียดในเรื่องนี้ เป็นข้อมูลดี ๆ ที่นำมาฝากกันในเดือนแห่งการรณรงค์ต่อต้านมะเร็งเต้านม

"มะเร็งเต้านม" ตรวจพบเร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายขาดสูง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

"มะเร็งเต้านม" อันดับ 1 ในหญิงไทย คัดกรอง รู้เร็ว รักษาทัน

‘มะเร็งเต้านม’ มากกว่ารักษาคือป้องกัน แล้วจะป้องกันอย่างไร

ผู้หญิงควรตรวจมะเร็งเต้านมทุกปี

พญ.ชุตินันท์ วัชรกุล แพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาวินิจฉัย และรังสีร่วมรักษาของเต้านม ศูนย์รังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลนวเวช กล่าวว่า ผู้หญิงควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมทุกปี ซึ่งแพทย์จะตรวจด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมตามอายุ โดยแนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ตรวจด้วยแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์คู่กัน เนื่องจากแมมโมแกรมใช้ดูหินปูน ลักษณะการดึงรั้งของเต้านม ส่วนอัลตราซาวด์ใช้ดูถุงน้ำ และก้อนเนื้อ การตรวจคู่กันทั้ง 2 วิธี จะทำให้ได้ผลแม่นยำมากยิ่งขึ้น ส่วนคนอายุน้อยกว่า 35 ปี และไม่มีอาการ แนะนำให้ตรวจด้วยอัลตราซาวด์ก่อน

“สิ่งสำคัญ คือ ควรตรวจกับแพทย์เฉพาะทาง โดยเฉพาะอัลตราซาวด์ที่ต้องอาศัยความชำนาญการในการแปลผล ซึ่งที่นวเวชมีแพทย์รังสีด้านเต้านมโดยเฉพาะ และใช้เครื่องมือที่ทันสมัย โดยการตรวจแมมโมแกรมจะใช้เครื่อง Tomosynthesis ซึ่งสามารถถ่ายภาพเอกซเรย์เต้านมได้ทั้ง 2 มิติและ 3 มิติ พร้อมกันในครั้งเดียว โดยใช้เวลาประมาณ 10 วินาทีต่อการถ่าย 1 ภาพ ให้ภาพคมชัดกว่า"

"ให้ผลการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียด แม่นยำ เพราะสามารถตรวจรายละเอียดภายในเนื้อเต้านมได้ทั้งหมด แยกก้อนเนื้องอกธรรมดาและก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็งเต้านมได้อย่างชัดเจน และยังแยกความแตกต่างของไขมัน เนื้อเยื่ออื่น ๆ รวมทั้งท่อ และต่อมต่าง ๆ ในเต้านม เพื่อค้นหาการจับตัวของแคลเซียมที่มีขนาดเล็กมากที่คาดว่าจะผิดปกติอาจกลายเป็นมะเร็งในอนาคต ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จึงมีโอกาสรักษาหายขาดสูงมาก”

"มะเร็งเต้านม" ตรวจพบเร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายขาดสูง

นอกจากนี้ การทำงานของ Tomosynthesis ใช้แรงบีบไม่มากจึงลดความเจ็บปวดขณะตรวจ และได้รับรังสีในปริมาณที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งหากพบชิ้นเนื้อที่สงสัยยังสามารถเจาะชิ้นเนื้อได้ภายในวันเดียวกับที่ตรวจพบ ถ้ามีเซลล์ผิดปกติก็สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อ หรือติดตามต่อได้ทันที

‘การผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม กับทางเลือกที่มากขึ้น’

นพ.ปิยศักดิ์ ทหราวานิช แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมเต้านมและเสริมสร้างเนื้อเต้านม ศูนย์ศัลยกรรม (เต้านม) โรงพยาบาลนวเวช กล่าวว่า อยากให้คนที่เป็นมะเร็งเต้านมมีกำลังใจและศรัทธาในการรักษา อยากให้มีมายด์เซ็ตว่ามะเร็งเต้านมรักษาได้ ซึ่งปัจจุบัน สถิติผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะ 0 มีโอกาสหายถึง 99% ระยะที่ 1 โอกาสหาย 90% ระยะที่ 2 โอกาสหาย 80-85%

แต่สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจากการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ซึ่งจำเป็นต้องมีแพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาวินิจฉัยเป็นผู้ตรวจ แปลผล และบ่งบอกว่ามีรอยโรคอยู่บริเวณใด เมื่อสรุปว่าเป็นเนื้อร้ายก็เข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งนวเวชมีทีมแพทย์สหสาขาที่จะมาพิจารณาร่วมกันว่าคนไข้ควรรักษาตามลำดับขั้นด้วยวิธีใด ผ่าตัด ใช้ยา ฉายแสง หรือเคมีบำบัด

“ในการผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม เดิมเราทราบว่ามี 2 วิธี คือ การผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้า และการผ่าตัดแบบสงวนเต้า สำหรับคนที่ไม่ต้องการสูญเสียเต้านม แต่วิธีนี้ต้องมั่นใจว่าเนื้อเต้านมที่เหลือไม่มีรอยโรคที่ต้องสงสัย และหลังผ่าตัดแล้วยังมีเนื้อเต้านมเป็นทรงอยู่ นอกจาก 2 วิธีนี้แล้ว ปัจจุบันมีทางเลือกในการผ่าตัดมากขึ้น เช่น ถ้าก้อนเนื้อใหญ่ ซึ่งควรตัดออกทั้งเต้า แต่คนไข้ต้องการสงวนเต้า ก็ทำได้ โดยให้ยาเพื่อลดขนาดก้อนลงก่อน เพื่อให้ผ่าตัดแล้วยังเหลือเนื้อเต้านมอยู่"

"หรือกรณีมีรอยโรคหลายจุดซึ่งจำเป็นต้องตัดทั้งเต้า แต่คนไข้ต้องการสงวนเต้า ก็จะคว้านเนื้อเต้านมข้างในออก เก็บผิวหนัง หัวนม ลานหัวนม แล้วนำเนื้อเยื่อของคนไข้ เช่น ไขมันหน้าท้อง ใส่เข้าไปแทน หรือใส่ซิลิโคนเข้าไปแทน นอกจากนี้ ยังมีการผ่าตัดเพื่อป้องกันมะเร็งเต้านม ซึ่งช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งเต้านมได้ถึง 95% ทำในกรณีที่ตรวจพันธุกรรมแล้วพบว่ามียีนที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งนวเวชสามารถรักษาได้ทุกวิธีที่กล่าวมา”

นพ.ปิยศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดประสงค์ในการรักษามะเร็งเต้านม คือ ทำให้คนไข้กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติให้มากที่สุด แต่สิ่งที่ควรทราบ คือ ไม่ว่าจะผ่าตัดเนื้อร้ายแบบสงวนเต้า หรือตัดออกทั้งเต้า ก็มีโอกาสที่มะเร็งจะกลับมาเป็นซ้ำได้ จึงต้องตรวจติดตามอยู่เสมอตามคำแนะนำของแพทย์

"มะเร็งเต้านม" ตรวจพบเร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายขาดสูง

‘แพทย์กับคนไข้วางแผนร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด’

นพ.วิกรม เจนเนติสิน อายุรศาสตร์มะเร็งวิทยาและเคมีบำบัด ศูนย์เมต้าเวิร์ส (มะเร็งและโรคเลือด) โรงพยาบาลนวเวช กล่าวว่า การใช้ยารักษามะเร็งจะมีความเฉพาะตัวในแต่ละคน บางคนผ่าตัดแล้วรับประทานยาอย่างเดียว บางคนไม่ต้องรับประทานยา บางคนต้องฉีดยาอีกเป็นปี แต่บางคนใช้ยาในช่วงสั้น ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งเต้านม

“คนไข้บางคนอาจจะบอกว่าไม่ต้องการรับยาเคมีบำบัด เราก็จะดูว่าสาเหตุของโรคของคนไข้คืออะไร สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้หรือไม่ บางเคส เคมีบำบัดอาจไม่จำเป็น ซึ่งปัจจุบัน เราสามารถประเมินได้โดยนำก้อนมะเร็ง และเลือด ไปตรวจ แล้วนำมาคำนวณเป็นคะแนน เพื่อดูว่าถ้าคนไข้ได้รับเคมีบำบัดแล้วมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำใน 10 ปีกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อพิจารณาว่าการได้รับเคมีบำบัดมีประโยชน์มากกว่าไม่ได้รับหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ศูนย์เมต้าเวิร์สที่โรงพยาบาลนวเวชมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สามารถวิเคราะห์ออกมาให้ทราบได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้เคมีบำบัด คนไข้ก็ไม่ต้องกังวล เพราะยาเคมีบำบัดในปัจจุบันมีผลข้างเคียงน้อย ช่วยลดการอาเจียน ลดการติดเชื้อ และลดอาการผมร่วงได้ดี”

นพ.วิกรม กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากยาเคมีบำบัดแล้ว ยังมียาที่ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านมอีกหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านมที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเพศจะใช้ยาต้านฮอร์โมน เพื่อยับยั้งไม่ให้มะเร็งจับกับฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเต้านมเติบโตอีก ส่วนกลุ่มที่มีสาเหตุจากยีน Her2 ที่มีอยู่บนเซลล์เต้านม ก็จะให้ยายับยั้งการทำงานของยีน Her2 เพื่อทำให้ก้อนยุบลง และมีโอกาสหายขาดมากขึ้น

"นอกจากนี้ ยังมียาพุ่งเป้า หรือยาภูมิคุ้มกันบำบัด ที่เริ่มมีบทบาทในการรักษามากขึ้น ซึ่งในอดีตใช้ยานี้ในระยะแพร่กระจายเพื่อควบคุมโรค แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้ในระยะต้นเพื่อเพิ่มโอกาสการหายขาด กล่าวได้ว่าที่โรงพยาบาลนวเวชมียารักษามะเร็งเต้านมทุกชนิดเทียบเท่าต่างประเทศ โดยแพทย์กับคนไข้และครอบครัวของคนไข้จะวางแผนการรักษาร่วมกัน คนไข้สามารถบอกประเด็นที่กังวล หรือต้องการหลีกเลี่ยงได้ แล้วจึงสรุปออกมาเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดของคนไข้แต่ละคน โดยค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่คนไข้เข้าถึงได้

แม้ว่าสถิติผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ คือ เพศหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเริ่มมีอายุลดลง บางรายตรวจพบทั้ง ๆ ที่มีอายุเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น การตรวจคัดกรองจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ หลายคนคิดว่ามะเร็งเต้านมจะเกิดกับเพศหญิงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพศชายก็เป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่สถิติยังอยู่ในระดับต่ำ คือ 1 ใน 100 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ดังนั้น หากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ควรต้องระวัง หรือควรมาตรวจพันธุกรรม เพื่อเช็คว่ามียีนถ่ายทอดการเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ รวมทั้งเพศชายกลุ่ม LGBT ที่ใช้ฮอร์โมนก็มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมด้วยเช่นกัน

Adblock test (Why?)


"มะเร็งเต้านม" ตรวจพบเร็ว รักษาทัน มีโอกาสหายขาดสูง - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

ไข้หวัดใหญ่ ภัยที่มากับลมหนาว - สสส.

ที่มา : กรมควบคุมโรค

                   เเฟ้มภาพ

                    ช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่มีแนวโน้มการระบาดเพิ่มมากขึ้น สคร.9 เตือนประชาชนป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ โดยใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ได้แก่ 1.ปิด คือปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ต้องใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้ง    2.ล้าง คือ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่เมื่อสัมผัสสิ่งของ เช่น กลอนประตู ลูกบิด ราวบันใด ราวจับบนรถโดยสาร 3.เลี่ยง คือหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย และ 4.หยุด เมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ

                    นายอภิรัตน์ โสกำปัง รองผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวถึงโรคไข้หวัดใหญ่ว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำให้โรคติดต่อทางเดินหายใจ คือ โรคไข้หวัดใหญ่มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถเกิดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ติดต่อกันได้ง่ายจากการสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ ดังนั้น สคร.9 นครราชสีมา ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ และป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงของโรค ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน) ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป  ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้  โรคธาลัสซีเมีย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคอ้วน เพราะหากกลุ่มนี้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่แล้ว อาจเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรง จนทำให้เสียชีวิตได้

                    สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 ตุลาคม 2565 พบผู้ป่วย 2,171 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้ จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วย 1,304 ราย จังหวัดบุรีรัมย์    มีผู้ป่วย 463 ราย จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 355 ราย จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 49 ราย

                    นายอภิรัตน์ โสกำปัง กล่าวต่อไปว่า ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ และป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ โดยใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ได้แก่ 1.ปิด คือปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ต้องใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้ง หากเจ็บป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่ ควรใส่หน้ากากอนามัย  2.ล้าง คือล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่เมื่อสัมผัสสิ่งของ เช่น กลอนประตู ลูกบิด ราวบันใด ราวบนรถโดยสาร ปุ่มกดลิฟต์ 3.เลี่ยง คือหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย  และ 4.หยุด คือเมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัด แม้ผู้ป่วยจะมีอาการไม่มากก็ควรหยุดพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

Adblock test (Why?)


ไข้หวัดใหญ่ ภัยที่มากับลมหนาว - สสส.
Read More

Monday, October 17, 2022

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน - กรุงเทพธุรกิจ

รู้จัก superfood และ superfruit

superfood (ซูเปอร์ฟู้ด) : อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เต็มไปด้วยส่วนประกอบที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ใยอาหาร กรดไขมันที่มีประโยชน์ เช่น ปลาทะเลน้ำลึกที่มีน้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ควินัว เมล็ดเจีย กรีกโยเกิร์ต มะเขือเทศ กระเทียม ขิง อบเชย ฯลฯ

superfruit (ซูเปอร์ฟรุต) เป็นส่วนหนึ่งของ superfood คือผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และสารไฟโตนิวเทรียนต์ ได้แก่ ผลไม้กลุ่มเบอร์รี เช่น โกจิเบอร์รี อาซาอิเบอร์รี เชอร์รี สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี แครนเบอร์รี ทับทิม พลัม กีวี เกรพฟรุต พีช กล้วย อโวคาโด ฯลฯ

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน     superfruit (Cr. thespruceeats.com)

ประโยชน์ของ superfruit ต่อสุขภาพ

ผลไม้ใดก็ตามที่ได้รับการขนานนามว่า superfruit จะมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมาก ซึ่งแฝงอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของผลไม้ ทั้งเปลือก เมล็ด และเนื้อของผลไม้ เมื่อรับประทานเข้าไปจะมีประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้

1  เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน จากสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และสารไฟโตนิวเทรียนต์ พบมากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี

จากงานวิจัยของ Food Sci Technol ปี 2018  รายงานว่า superfruit อย่าง อะเซโรล่าเชอร์รี ปริมาณ 100 กรัม มีวิตามินซี 1,500 – 4,500 มิลลิกรัม มากกว่ามะนาวถึง 50 – 100 เท่า ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเป็นปกติ

2   บำรุงสายตา สารต้านอนุมูลอิสระลูทีนและซีแซนทีนสูงใน superfruit ช่วยดูแลและปกป้องดวงตา สารสกัดจากโกจิเบอร์รีช่วยเพิ่มระดับซีแซนทีนและสารต้านอนุมูลอิสระในเลือดเพิ่มขึ้น ช่วยในการลดอัตราการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมลง

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน

      ผลไม้ช่วยควบคุมน้ำหนัก (Cr. cleanfoodcrush.com)

3   ช่วยควบคุมน้ำหนัก ซูเปอร์ฟรุตที่มีใยอาหารสูง เช่น โกจิเบอร์รี เกรพฟรุต อาซาอิเบอร์รี แอปเปิ้ล ลูกพรุน ลูกแพร์ ช่วยลดระดับความอยากอาหาร ทำให้ไม่หิวบ่อย และช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและการทำงานของลำไส้

4    ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น  มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน      กินปลาทุกสัปดาห์ (Cr. taste.com)

ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของซูเปอร์ฟรุต คือ บางชนิดมีใยอาหารชนิดที่เป็นเป็นพรีไบโอติก เช่น เพกติน อินนูลิน ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ใหญ่ หรือที่เรียกว่า โพรไบโอติก ช่วยในการขับถ่าย เป็น อาหารดูแลลำไส้ ความแข็งแรงของ "ลำไส้" เป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพดี

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน

    (Cr. honestyyummy.com)

เนื่องจากเราได้รับอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายทุกวัน จากกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย มลพิษทางอากาศ ควันพิษ สารเคมีต่าง ๆ จากภายนอก โดยอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะทำลายเซลล์ให้เสื่อมลง เกิดกระบวนการอักเสบ รวมถึงอาจเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้

ดังนั้น ร่างกายจึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี ฟลาโวนอยด์ โพลีฟีนอล ซึ่งหาได้จากซูเปอร์ฟรุต เช่น เช่น พลัม ทับทิม เกรพฟรุต พีช ราสพ์เบอร์รรี แบล็คเบอร์รี บลูเบอร์รี เพื่อต้านการอักเสบและควบคุมอนุมูลอิสระ

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน     จันทิมา เกยานนท์ นักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ

จันทิมา เกยานนท์ นักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด แนะนำ วิธีกิน superfood และ superfruit ว่า

“การเลือกรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มคุณประโยชน์ด้านสุขภาพ ที่มากกว่าการได้รับสารอาหารทั่วไปนั้น superfood และ superfruit เป็นทางเลือกที่ดี คือเหมือนกับการบอกรักตัวเองผ่านการกินอาหารที่มีประโยชน์

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน

      (Cr. eatthis.com)

เพราะอาหารประเภทนี้มีคุณค่าโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ที่ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้

การดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี นอกจากเพิ่มการกินซูเปอร์ฟู้ด และ ซูเปอร์ฟรุต ในแต่ละวันแล้ว สิ่งที่ทำได้ไม่ยากคือ แนะนำให้ดื่มน้ำและพักผ่อนที่เพียงพอ รวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออีกด้วย”

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน      กินผักผลไม้หลากสี (Cr. freepik.com)

กิน superfood และ superfruit แค่ไหนให้ได้ประโยชน์สูงสุด

1     กินผักและผลไม้ให้หลากหลาย ยิ่งมีหลายสียิ่งดี เพราะผักและผลไม้แต่ละสี จะบ่งบอกว่ามีสารไฟโตนิวเทรียนต์ (Phytonutrients) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระแตกต่างกันไป

2    เพิ่มผักและผลไม้ในทุกมื้ออาหาร กินตามหลัก 2:1:1  วิธีจำอย่างง่าย ๆ คือในแต่ละจานต้องมีผักผลไม้รวมกัน 50% หรือเทียบเท่ากับครึ่งจานในทุกมื้ออาหาร อีก 2 ส่วนเป็นข้าว แป้ง เส้น หรือขนมปัง 1 ส่วน และเนื้อสัตว์ เต้าหู้ ไข่หรือแหล่งโปรตีนอีก 1 ส่วน

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน        ซูเปอร์ฟู้ด (Cr. wallpaperabyss)

3    เลือกผลไม้ซูเปอร์ฟรุตหรือซูเปอร์ฟู้ด เป็นของว่าง ได้แก่ ธัญพืชและถั่วแทนขนมกรุบกรอบ จะทำให้ได้รับใยอาหารสูง และอุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุที่มีประโยชน์กับร่างกาย

อาจเลือกกินทั้งผล หรือหากนำมาปั่นเป็นน้ำผลไม้ แนะนำให้ปั่นแบบไม่แยกกากเพื่อให้ได้รับใยอาหาร และดื่มแต่พอเหมาะ เพื่อหลีกเลี่ยงปริมาณน้ำตาลจากผลไม้ที่มากเกินไป 

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน     healthy sandwiches (Cr. eatingwell.com)

หรือเลือกเครื่องดื่มธัญญาหารพร้อมดื่มที่มีส่วนผสมกลุ่ม superfood และ superfruit เช่น ข้าว ข้าวโอ๊ต โกจิเบอร์รี (gojiberry) และวัตถุดิบธรรมชาติอื่น ๆ ที่ช่วยให้อิ่มและอยู่ท้องกำลังดี

“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน     เกรพฟรุตและทับทิมเป็นซูเปอร์ฟรุต (Cr. realfood.tesco.com)

กินให้ถูกวิธีแล้ว เรายังควรดูแลร่างกายให้ครบทุกมิติตามหลัก 3 อ. ได้แก่

อ.อาหาร ใส่ใจด้านการกิน

อ.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อ.อารมณ์ บริหารจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ

อ้างอิง : เนสท์เล่ ไทย, สสส.

Adblock test (Why?)


“superfood” Vs “superfruit” ในแต่ละวันควรกินแค่ไหน - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Sunday, October 16, 2022

กรมควบคุมโรคเปิดชื่อ 8 จว.ระวังโควิด กทม.-ชลบุรี-เชียงใหม่ ยังห่วงสูงวัยไร้วัคซีนตายสูง - มติชน

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเฝ้าระวังการระบาดโควิด-19 หลังเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ว่า ขณะนี้ กรมควบคุมโรคและส่วนจังหวัดได้หารือกันจนได้ 8 จังหวัดในการเฝ้าระวังในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ หรือพื้นที่เฉพาะ (Sentinel Surveillance) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี เชียงใหม่ ตาก อุดรธานี สระแก้ว สงขลา และชลบุรี โดยจังหวัดเหล่านี้เคยมีความเสี่ยงสำคัญ เช่น จังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดชายแดน ฯลฯ ดังนั้น จึงมีความพร้อมรับมือระบาด มีวิธีรับมือ แต่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง

“ตามที่เฝ้าระวังใน 8 จังหวัดนี้มา 3 สัปดาห์ ยังไม่พบสัญญาณผิดปกติ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ได้เพิ่มขึ้นสูง โดยเราเฝ้าระวังเรื่องสายพันธุ์ด้วย ตอนนี้ที่พบยังเป็นสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.5 อยู่” นพ.โสภณกล่าวและว่า ส่วนภาพรวมประเทศไทย ยังอยู่ในขาลง ซึ่งจะต่างจากยุโรปที่เป็นขาขึ้น โดยช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยพบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตต่ำ โดยปกติจะมีการระบาดที่ยุโรปก่อนแล้วอีก 2-3 เดือน ก็จะมาถึงบ้านเราที่อาจเกิดปัญหารุนแรง ฉะนั้น เราต้องจับสัญญาณการระบาดให้ได้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายประเทศมองว่า 3 เดือนสุดท้ายของปี อาจยังไม่ปลอดภัย การระบาดใหญ่อาจกลับมาอีกครั้ง นพ.โสภณกล่าวว่า ตอนนี้กำลังจะครบ 3 ปีที่เราอยู่ร่วมกับโควิด-19 ดังนั้น ประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีประสบการณ์ในการจัดการมากขึ้น มีความพร้อมมากขึ้น เช่น มาตรการป้องกัน วัคซีนฉีดมากกว่าร้อยละ 80-90 รวมกับกลุ่มติดเชื้อตามธรรมชาติอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้น ป้องกันอาการป่วยหนักได้อย่างแน่นอน ลดการเสียชีวิตได้ดี แต่ยังป้องกันติดเชื้อไม่ได้ ซึ่งขณะนี้มีสายพันธุ์ใหม่ XBB ที่สิงคโปร์ก็ออกมายืนยันแล้วว่า จำนวนติดเชื้อเพิ่มจริง แต่ไม่มีนัยความรุนแรงที่มากขึ้น ฉะนั้น หากไวรัสไม่ได้ทำให้ป่วยหนักมากขึ้น เชื่อว่าการจัดการปัญหาไม่ได้เหนือกว่าการจัดการของเรา

“เรารู้วิธีจัดการความเสี่ยง สักพักเราก็จะเริ่มกลับมาสวมหน้ากากอนามัยสม่ำเสมอ ซึ่งตอนนี้เราเน้นในบางกลุ่ม เช่น ผู้ใช้รถสาธารณะ โรงพยาบาล สถานดูแลคนชรา/เด็กเล็ก ฉะนั้น ถ้าเกิดปัญหามากขึ้น เราก็แนะนำการปฏิบัติตัวที่เข้มขึ้น” นพ.โสภณกล่าว

รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ขณะนี้กลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยหนักเริ่มมีกลุ่มเล็กลง จากเดิมที่ไม่มีวัคซีน ต้องเฝ้าระวังทุกกลุ่มตอนนี้เหลืออยู่ในกลุ่มอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโดยเฉพาะคนที่อายุมากกว่า 60 ปี จากที่เคยมีรายงานยังไม่รับวัคซีนเข็มแรกเกือบ 2 ล้านคน ตอนนี้ก็ทยอยมาฉีดแต่ยังมีน้อยมาก สิ่งที่น่าห่วงคือ ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสัปดาห์ล่าสุด พบว่ารายใหม่ 53 ราย เป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน 28 ราย ดังนั้น คนทั่วไปที่รับวัคซีนแล้ว อยู่ในวัยทำงานก็ไม่มีความกังวลมากเท่ากลุ่มสูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

Adblock test (Why?)


กรมควบคุมโรคเปิดชื่อ 8 จว.ระวังโควิด กทม.-ชลบุรี-เชียงใหม่ ยังห่วงสูงวัยไร้วัคซีนตายสูง - มติชน
Read More

“สูงวัย” เนือยนิ่ง ทอดหุ่ยกับสมองเสื่อม - ไทยรัฐ

“สว.” คือ “สูงวัย” จะมีพฤติกรรมชอบเนือยนิ่ง (Sedentary behavior) และเป็นที่ทราบชัดเจนแล้วว่า การนั่งหรือเอน ทอดหุ่ย ขี้เกียจ ดูแต่ทีวี งีบหลับเป็นพักๆ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตในทุกสาเหตุ ทำให้โรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ ที่เราเรียกกันว่า NCD หรือโรคคาร์ดิโอเมตาบอลิก

อันได้แก่ อ้วนลงพุง ความดันสูง เบาหวาน ไขมันสูง ไม่มีตัวดีมีแต่ไขมันเลว อีกทั้งมีโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ กลับรุนแรงมหาศาลขึ้น

แต่ในทางกลับกัน การออกกำลังมีพฤติกรรมกระฉับกระเฉงกลับช่วยโรคเหล่านี้ทั้งหมด ตายก็น้อยกว่า อายุยืนยาวกว่า มิหนำซ้ำ สมองกลับดีอีกต่างหาก โอกาสที่จะพัฒนากลายเป็นสมองเอ๋อ กระทั่งถึงมีสมองเหี่ยวฝ่อ จนเข้าเกณฑ์สมองเสื่อมชัดเจน ช่วยตนเองไม่ได้ ขาดความมีเหตุมีผลในการตัดสินใจ เกิดคดีความฟ้องร้องในครอบครัว ลูกหลานจากการแย่งสมบัติและเกี่ยวเนื่องกับพินัยกรรมที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ

แต่กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะทั้งขู่ทั้งปลอบให้กระฉับกระเฉง (physical activity) เคลื่อนไหว ออกกำลัง แต่ประชากร สว. จะด้วยทั้งมีข้อจำกัดทางกายภาพ ปวดเอวสะโพก เข่า รวมทั้ง ความขี้เกียจ และอ้างว่าทำงานมาทั้งชีวิตแล้ว ขออยู่เฉยๆบ้าง

ปัญหานี้เกิดขึ้นทั่วโลกและพฤติกรรมทอดหุ่ยจะพบมากกว่าครึ่งในผู้ใหญ่ ทั้งในยุโรปและในสหรัฐฯ และอัตราส่วนดูจะสูงทะยานขึ้นเรื่อยๆในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

พฤติกรรม “เนือยนิ่งทอดหุ่ย” มีคำจำกัด ความชัดเจน คือมีการใช้พลังงานน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.5 METS  (Metabolic equivalent units หรือหน่วยในการใช้พลังงาน) ขณะที่กำลังนั่งหรือนอนเอนตัว ทั้งนี้ เมื่อดูย้อนหลังในวารสาร Clinical Cardiology ตั้งแต่ปี 1990

หนึ่ง MET เป็นอัตราของการเผาผลาญ เท่ากับปริมาณของออกซิเจนที่ใช้ในขณะอยู่นิ่งๆ เช่น นั่งเฉยๆอยู่บนเก้าอี้ จะอยู่ประมาณ 3.5 ซีซีของออกซิเจนต่อกิโลต่อนาที และจะเท่ากับพลังงานคือ 1.2 กิโลแคลอรีต่อนาที สำหรับคนที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม

และมีการประมาณว่า ทำสวน ตั้งแต่ถอนหญ้าหรือขุดดิน จะประเมินอยู่ที่ 3.5 ถึง 4.4 ทำงานบ้าน ล้างหน้าต่าง ถูพื้น ทาสี ทำงานไม้ จะสูงขึ้นเป็นประมาณห้าถึงเจ็ด แต่ถ้าเป็นงานบ้านเบาๆ เช่น ทำอาหาร ล้างจาน รีดผ้า ทำเตียง จะอยู่ประมาณสองถึงสาม เต้นแอโรบิกในระดับปานกลางสามารถขึ้นได้ถึงหก เล่นแบดมินตันคู่อยู่ประมาณสามถึงสี่ เล่นเดี่ยวคือสี่ถึงห้า และถ้าเล่นแข่งกันอยู่ที่หกถึงเจ็ด

เต้นรำบอลรูมอยู่ที่สามถึงห้า วิ่งจ๊อกกิ้งเก้ากิโลต่อชั่วโมงอยู่ที่ 8.8 และวิ่ง 11 กิโลต่อชั่วโมง จะขึ้นได้ถึง 11.2 วิ่งเร็วขึ้น 13 ถึง 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะได้ถึง 12.9 และ 14.6 ตามลำดับ เดินออกกำลังสามถึง 7 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะได้ 1.8 ถึง 5.3 เป็นต้น

แต่ในยุคปัจจุบันนี้ ชีวิตง่ายขึ้นเยอะที่มีสมาร์ทวอตช์ ก็สามารถที่จะวัดการใช้พลังงานได้แม่นยำและสามารถที่จะจำแนก แจกแจงว่าเป็นการเดินกี่ก้าว และขณะจ๊อกกิ้ง ตีแบดมินตัน เทนนิสหรือว่ายน้ำ เป็นต้น

คำถามก็คือ ถ้าคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเนือยนิ่งทอดหุ่ย จะมีอะไรที่ช่วยบรรเทาหรือลดความเสี่ยงของสมองเสื่อมไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ เป็นโจทย์ใหญ่โดยทำการเปรียบเทียบประชากรสูงวัยที่ใช้เวลาดูทีวีหรือในขณะที่นั่งนิ่งๆนั้น ทำคอมพิวเตอร์ไปด้วย

รายงานการศึกษานี้ ตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำ PNAS เดือนสิงหาคม 2022 จากคณะทำงานที่มหาวิทยาลัย USC UCSF และ U Arizona โดยใช้ข้อมูลจากคลัง UK Biobank ที่มีการรายงานด้วยตนเอง ถึงระดับพฤติกรรมทอดหุ่ย หรือกระฉับกระเฉง พร้อมกันนั้น ติดตามว่าเกิดสมองเสื่อมขึ้นมากน้อยเท่าใด โดยมีการพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องทางด้านสุขภาพทั้งหมด นิสัยการบริโภค ชนิดของอาหาร การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เชื้อชาติ ดัชนีมวลกาย โรคประจำตัวอย่างอื่น เป็นต้น

ในประชากรจำนวน 146,651 คนที่อายุ 60 ปีหรือมากกว่าโดยอายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ 64.59 ปีและไม่ได้มีสมองเสื่อมตั้งแต่เริ่มต้น ดูระยะเวลาที่เอาแต่ดูทีวีหรือระยะเวลาที่ใช้คอมพิวเตอร์ และเวลาที่มีการเคลื่อนไหว

ในการติดตามระยะยาวโดยเฉลี่ยถึง 11.87 ปี มีคนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นสมองเสื่อม 3,507 ราย โดยข้อมูลจากการวิเคราะห์ทางสถิติอย่างละเอียดจะพบว่ายิ่งใช้เวลาเนือยนิ่ง เอาแต่ดูทีวีมากเท่าไหร่ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นสมองเสื่อมมากเท่านั้น แต่กลับกันก็คือ ถ้าใช้เวลาในช่วงนั้นทำงานกับคอมพิวเตอร์จะลดโอกาสหรือความเสี่ยงที่สมองจะเสื่อมลงไปได้

ทั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณหรือระยะเวลาที่มีการเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง โดยสภาพที่จะมีการออกกำลังอยู่บ้างจะไม่ช่วยลดทอนหรือบรรเทาโอกาสที่จะเกิดสมองเสื่อมไปได้ ถ้ายังเอาแต่เฝ้าดูทีวีนานๆ โดยแทบไม่ได้กระดุกกระดิกเลย

บทสรุปของคณะผู้วิจัยให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ โดยการที่จะทำให้แข็งแรง สมองสดใสไปได้นานเท่านาน อยู่ที่การทำตนไม่เฉื่อยชา ต้องกระปรี้กระเปร่า มีการเคลื่อนไหวออกกำลัง และในขณะที่พักผ่อน ต้องไม่พยายามใช้เวลาในการเฝ้าดูแต่ทีวี ซึ่งไม่ได้เป็นการบริหารสมองใดๆทั้งสิ้น

การมีกิจกรรมด้วยการทำกับคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ที่ในปัจจุบัน คนไทยเล่นมือถือกันน่าจะเป็นการช่วยฝึกสมอง แต่ทั้งนี้กิจกรรมเหล่านี้ เป็นเพียงการชะลอเวลาที่ภาวะสมองเสื่อมจะปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น แต่พยาธิสภาพหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเนื้อสมองจะยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ถ้าไม่สามารถปรับปรุงตัวเอง คุมโรค NCD ให้ได้ ออกกำลังเหมือนอย่างที่หมอพูดทุกครั้ง เดิน 10,000 ก้าว เป็นเรื่องจริงไม่ใช่มั่วนิ่ม ตากแดดได้แสงยูวี และแสงในระดับคลื่นใกล้อินฟราเรด เข้าใกล้มังสวิรัติ

ไม่มีใครอยากเป็นสมองเสื่อม และถ้าเสื่อมไปแล้วก็ไม่รู้ตัว แต่รับทราบจากคนรอบข้าง กลายเป็นภาระให้คนอื่นดูแล และคนที่ดูแลก็จะถูกตัดโอกาสในการใช้ชีวิตที่ควรจะเป็น รวมกระทั่งถึงการทำงานหาเลี้ยงชีพด้วย

กลับตัวกลับใจแต่วันนี้นะครับ ถึงจะสายไปบ้าง ก็ยังชะลอได้อยู่ครับ.

หมอดื้อ

Adblock test (Why?)


“สูงวัย” เนือยนิ่ง ทอดหุ่ยกับสมองเสื่อม - ไทยรัฐ
Read More

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...