Rechercher dans ce blog

Thursday, October 27, 2022

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย 

ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตรงเวลา จริงหรือไม่ที่ว่า กินข้าวไม่ตรงเวลา จะทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร กรณีนี้ ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม ศิรินธรปัญญา หัวหน้างานโรคทางเดินอาหาร กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวกับ Hfocus ว่า การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาจะทำให้เกิดอาการได้ เพราะร่างกายจะมีกรดที่หลั่งตามเวลา ถ้ารับประทานอาหารไม่ตรงเวลาจะเกิดอาการ อืด แน่นท้อง มีลมได้ แต่ถามว่า จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือไม่นั้น อาจไม่ทำให้เกิดแผล เพราะแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร หรือการกินยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดอย่างแอสไพริน ยาแก้ปวดเข่า ส่วนสาเหตุอื่น คือ ยากดภูมิที่ป้องกันการติดเชื้อบางตัวก็ทำให้เกิดแผลได้ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและอันตรายมีได้หลายอย่าง อาทิ กระเพาะทะลุ เลือดออกในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอุดตันหรือกระเพาะอาหารตีบ ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือน ได้แก่ น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด หรืออาเจียนรุนแรง ต้องรีบมาพบแพทย์ แต่ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หากมีอาการแม้เพียงเล็กน้อย แนะนำให้มาตรวจอย่างละเอียดด้วยการส่องกล้อง 

"ต้องแยกโรคกระเพาะอาหารออกจากการเกิดแผลในกระเพาะอาหารตามที่คนทั่วไปเข้าใจ สำหรับโรคกระเพาะทั่วไป ผู้ป่วยมักจะมีอาการจุกแน่น ตึง ๆ ในกระเพาะ อาจมีกรดเยอะ จึงเกิดอาการไม่สบายท้อง ลักษณะอาการอาหารไม่ย่อยเป็นอาการบ่งชี้ว่ามีปัญหาในกระเพาะอาหาร ต้องมีการตรวจละเอียดอีกครั้งถึงความรุนแรง" ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม กล่าวและว่า สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น 1.การติดเชื้อ 2.การกินยาบางชนิด 3.อาหารการกิน มีความมัน รสเผ็ด 4.ของหมักดอง และ 5.การดื่มเหล้า รวมถึงการติดเชื้อบางอย่างที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ 

สำหรับความแตกต่างของโรคกระเพาะอาหารและโรคกรดไหลย้อน ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม เปิดเผยว่า ทั้ง 2 โรค เกิดจากกรดเช่นกัน สังเกตจากบริเวณที่เกิดอาการ หากเป็นโรคกระเพาะอาหารจะเกิดในบริเวณลิ้นปี่ลงมา อืดท้อง แน่นท้อง ปวดท้อง บางรายมีแสบท้องคล้ายกับกรดไหลย้อนได้ แสบในท้องไม่ใช่แสบที่หน้าอก แต่กรดไหลย้อนจะเป็นอาการของกรดที่มีต่อหลอดอาหาร แสบหน้าอก เปรี้ยวคอ เจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง หอบหืด หรือฟันผุ เป็นต้น 

ผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม ยังแนะนำวิธีป้องกันทั้ง 2 โรค โดยปรับพฤติกรรมการกิน 1.งดอาหารที่กระตุ้นให้มีอาการ เช่น รสเผ็ดและเปรี้ยว มีความมัน หรือย่อยยาก  2.เคี้ยวอาหารให้ละเอียด 3.กินแล้วอย่าเพิ่งไปนอน ควรเดินให้อาหารย่อยเสียก่อน 4.หากมีอาการมากขึ้น หรืออาการไม่ดีขึ้น กินยาลดกรดเบื้องต้นได้ เช่น ยาเคลือบกระเพาะทั่วไป เพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น แต่จะดีกว่า หากมาพบแพทย์ 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

Adblock test (Why?)


ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus
Read More

"วัคซีน" ยังมีความเป็น ก่อนไปต่างประเทศ ต้องรับให้ครบ ไม่ใช่แค่ วัคซีนโควิด - คมชัดลึก

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แนะนำก่อนเดินทางไป ต่างประเทศ ต้องรับ "วัคซีน" ที่จำเป็นให้ครบก่อน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงติด โรคระบาด หรือ โรคประจำถิ่น และลดความเสี่ยงนำเชื้อต่างถิ่นกลับมา ที่สำคัญ เป็นการปฏิบัติตามกฎของบางประเทศที่กำหนดให้รับ "วัคซีน" ก่อนเดินทางเข้าประเทศ อย่างเช่น วัคซีนโควิด ซึ่งปัจจุบันเป็นวัคซีนอีก 1 ชนิด ที่หลายประเทศกำหนดให้ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องมีประวัติการได้รับ "วัคซีน" มาก่อน โดยข้อกำหนดแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน

สำหรับ 3 กลุ่ม "วัคซีน" ที่ผู้เดินทางไปทางต่างประเทศควรได้รับ ประกอบด้วย

1. วัคซีนที่ควรได้รับทุกราย (Routine Recommended Vaccine) ซึ่งเป็น "วัคซีน" ตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข และคำแนะนำการให้วัคซีนในผู้ใหญ่ทั่วไป ได้แก่ วัคซีนวัณโรค (BCG) วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (HB) วัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) วัคซีนโปลิโอ (OPV, IPV) และ วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE)

2. วัคซีนที่แนะนำให้รับก่อนเดินทาง เลือกใช้ตามความเสี่ยง (Routine Recommended Vaccine for Travelers) โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของผู้เดินทางแต่ละคน ซึ่งแพทย์จะคอยให้คำปรึกษาและพิจารณาตามปัจจัยต่างๆ เช่น ภาวะสุขภาพของผู้เดินทาง ความเสี่ยงที่จะสัมผัสโรค ประสิทธิภาพของ "วัคซีน" ข้อบ่งชี้/ข้อห้าม ผลข้างเคียงของ "วัคซีน" สำหรับตัวอย่างวัคซีนในกลุ่มนี้ เช่น วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนโรคไข้ไทฟอยด์

3. วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับก่อนเข้าบางประเทศ (Routine/Mandatory Vaccine) ซึ่งตามกฎอนามัยระหว่างประเทศกำหนดให้ฉีด "วัคซีนป้องกันโรคไข้เหลือง" และ "วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น" ก่อนเข้าบางประเทศ ด้วย 2 เหตุผล คือ

1) ป้องกันบุคคลที่จำเป็นต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไข้เหลือง 

2) ป้องกันไม่ให้โรคไข้เหลืองแพร่ระบาดจากพื้นที่เสี่ยงเข้าไปในประเทศอื่น

ทั้งนี้ ผู้เดินทางควรปรึกษาแพทย์อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ก่อนการเดินทางต่างประเทศ และควรตรวจสอบข้อกำหนดการรับ "วัคซีน" ของประเทศปลายทางด้วย

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่
Facebook : https://www.facebook.com/komchadluek/
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w

Adblock test (Why?)


"วัคซีน" ยังมีความเป็น ก่อนไปต่างประเทศ ต้องรับให้ครบ ไม่ใช่แค่ วัคซีนโควิด - คมชัดลึก
Read More

Tuesday, October 25, 2022

อย่าชะล่าใจ! ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกสัญญาณเตือน “โรคติกส์” - ข่าวไทยพีบีเอส

กรมการแพทย์เตือนสัญญาณ “โรคติกส์” เป็นโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติของกล้ามเนื้อ มีอาการกระตุกตามส่วนๆ ของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ และอาจทำให้เกิดความผิดปกติอื่นตาม พร้อมแนะพบแพทย์

วันนี้ (25 ต.ค.2565) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า “โรคติกส์” เป็นโรคในกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติ (movement disorders) มักพบในเด็กวัยเรียน (5-7 ปี) โดยมาในรูปแบบของการเคลื่อนไหวซ้ำรูปแบบเดิมที่ไม่มีจุดประสงค์ เช่น กระพริบตา ยักคิ้ว แสยะยิ้ม พยักหน้า ยักไหล่ กระโดด หรือมีอาการกระตุกตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้

ส่วนมากผู้ป่วยมักมีความรู้สึกภายในบางอย่างนำมาก่อนที่จะเกิดอาการเคลื่อนไหว และเมื่อเคลื่อนไหวแล้วจะทำให้ความรู้สึกนั้นหายไปเหมือนได้รับการปลดปล่อย หากผู้ป่วยพยายามบังคับไม่เคลื่อนไหวจะทำให้รู้สึกอัดอั้นไม่สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถที่จะอดกลั้นต่อความต้องการที่จะเคลื่อนไหวผิดปกติได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคติกส์ ซึ่งโรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียบุคลิก ขาดความมั่นใจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเกิดความผิดปกติอื่นตามมา ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง"

ขณะที่ นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผอ.สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยบางคนอาจมาในรูปแบบการส่งเสียงที่ผิดปกติ เช่น กระแอม เสียงกลืนน้ำลาย หรือกรณีที่มีอาการมากอาจเป็นลักษณะการพูดซ้ำ พูดเลียนแบบ หรือพูดคำหยาบคาย เป็นต้น แต่หากผู้ป่วยมีอาการแสดงทั้งการเคลื่อนไหวและการส่งสียงผิดปกติ จะเรียกว่า “โรคทูเร็ตต์” ในโรคกลุ่มนี้อาจมีอาการของกลุ่มโรคจิตเวชนำมาก่อน เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคสมาธิสั้น เป็นต้น

ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคติกส์ อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือเกิดจากโรคเฉพาะตัวบุคคลที่เกิดภายหลัง เช่น เกิดจากการติดเชื้อในสมองตอนเด็ก หรือเป็นโรคออทิสติก เป็นต้น โรคติกส์ที่เกิดในผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคติกส์ตอนเด็ก หรือผู้ป่วยบางคนมีรายงานว่าเกิดจากรอยโรค หรือเนื้องอกบางตำแหน่งในสมองได้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาภายหลัง

การรักษาที่ดีที่สุดคือการปรับพฤติกรรม เพื่อลดอาการที่นำมาก่อนการเคลื่อนไหวและเพิ่มระยะเวลาที่สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหว หากยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ การใช้ยากลุ่มจิตเวช เพื่อช่วยระงับการเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ แต่ต้องติดตามผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มนี้ เช่น กลุ่มอาการพาร์กินสันเทียม กลุ่มอาการบิดเกร็ง เป็นต้น และควรรักษากลุ่มโรคจิตเวช ที่มาพร้อมโรคติกส์ด้วย

Adblock test (Why?)


อย่าชะล่าใจ! ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกสัญญาณเตือน “โรคติกส์” - ข่าวไทยพีบีเอส
Read More

ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไรให้แข็งแรงและห่างไกลโรค? - Hello Thailand

หนึ่งในโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยมากที่สุดก็คือ “โรคหัวใจ” วันนี้เราจึงชวน คุณหมอจิ๊ก – นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย อายุรแพทย์โรคหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มาร่วมพูดคุยถึงถึงวิธีการ ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรค วิธีคัดกรองเบื้องต้นว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ไปจนถึงสัญญาณที่ร่างกายกำลังร้องเตือนว่าควรปรึกษาแพทย์และตรวจเช็กสุขภาพ

รู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ?

นอกจากผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว อย่าง เบาหวาน และ ความดัน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจแล้ว ในบุคคลทั่วไป ที่มีพฤติกรรมกินอาหารหวาน-เค็ม-มัน เป็นประจำ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน พฤติกรรมการกินเหล่านี้จะทำร้ายสุขภาพ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด จนเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ตามมาด้วยภาวะหัวใจขาดเลือด และท้ายสุดจะตามมาด้วยภาวะหัวใจวายได้

อีกหนึ่งผู้ที่มีความเสี่ยงและควรไปตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ คือคนที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าว แม้จะยังอายุไม่มากหรือไม่ได้มีโรคประจำตัวอื่นๆ เข้ามา กลุ่มคนเหล่านี้ถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน

กลุ่มสุดท้ายที่ควรใส่ใจกับเรื่องสุขภาพหัวใจ และเริ่มต้นค้นคว้าวิธี ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรค ก็คือผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ และมักตกอยู่ในภาวะเครียด เนื่องจากสองพฤติกรรมนี้เป็นหนึ่งใน 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจได้เลย

ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร
ควรตรวจเช็กตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงผู้เป็นโรคหัวใจหรือไม่ และสังเกตอาการร่างกายตัวเองว่ามีสัญญาณเตือนหรือไม่ เพื่อให้เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

2 สัญญาณเตือนที่บอกว่าควรเข้าพบแพทย์

อาการที่เป็นสัญญาณของ “โรคหัวใจ” นั้น สามารถสังเกตได้ง่ายๆ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณกลางหน้าอก ปวดร้าวลามไปจนถึงบริเวณไหล่ หรือมักมี อาการเหนื่อย ที่เกิดขึ้นง่ายกว่าปกติ อย่างเช่น แม้ในขณะนอนพักนิ่งๆ ก็ยังคงรู้สึกเหนื่อย

สัญญาณที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งที่ร่างกายกำลังร้องเตือนว่าคุณอาจกำลังเป็นโรคหัวใจ คุณหมอจิ๊ก ได้ให้คำแนะนำว่า ผู้ที่มีอาการดังกล่าว ควรเข้าพบแพทย์เฉพาะทาง และ รับการรักษา โดยเร็วที่สุด

ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรค ?

โดยวิธีป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ คุณหมอจิ๊กได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดการกินอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และ ออกกำลังกายให้หัวใจมีอัตราการเต้นเร็วขึ้น เป็นประจำ

“ในทางการแพทย์ การออกกำลังกายสามารถทำได้ด้วยกันสองวิธี ทั้งการออกกำลังกายวันละ 30 นาที เป็นประจำ 5 วันต่อสัปดาห์ หรือ เลือกออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 วัน ครั้งละ 70 นาที ทั้งสองแบบนี้ต่างให้ผลดีต่อร่างกายเช่นกัน” 

คุณหมอจิ๊ก – นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย
คุณหมอจิ๊ก – นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลรามาธิบดี

อาหารบำรุงหัวใจ

ว่ากันว่าหากเลือกรับประทานได้ถูก “อาหารคือยา” แทนที่จะปล่อยให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมจนต้องรับประทานยาแทนอาหาร สู้เลือกกินแต่ของที่ดีต่อสุขภาพจะดีกว่า

อันดับแรกในการ ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ให้แข็งแรงและห่างไกลโรคด้วยตนเอง คือควรลดการกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวเลว (Low Density Lipoprotein หรือ LDL) ควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ไขมันดี (High Density Lipoprotein หรือ HDL) แก่ร่างกาย อย่างเช่น อะโวคาโด หรือน้ำมันมะกอก ซึ่งนอกจากอะโวคาโดจะให้ไขมันดีแล้ว ยังมีโพแทสเซียมสูงถึง 975 มิลลิกรัมต่อ 1 ลูก ดีต่อสุขภาพหัวใจอย่างยิ่ง

ถัดมาคือเมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี อาทิ ถั่วเหลือง และที่ขาดไม่ได้คือโปรตีนจากปลาทะเล ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทู ซึ่งมีโอเมก้า 3 สูง มีคุณสมบัติลดการอักเสบของหลอดเลือดแดง ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง

อีกสิ่งที่รับประทานแล้วดีไม่แพ้กันคือ ผักหลากสี และ กระเทียม เพราะในกระเทียมมี สารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การลดการสะสมของคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยลดภาวะการแข็งตัวของโรคเส้นเลือดอุดตันได้อีกด้วย จึงเป็นที่มาว่ากระเทียมคืออาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ดี โดยวิธีการทานที่ถูกต้องจะต้องทานแบบสดๆ ควรสับหรือบดเพื่อให้ทำปฏิกิริยากับอากาศก่อน ไม่ควรผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างนำไปผัดหรือทอด

ขณะที่ผลไม้ควรเลือกรับประทานประเภทที่ให้น้ำตาลไม่สูงเกิน ไม่ว่าจะเป็น บลูเบอร์รี่ ฝรั่ง หรือแอปเปิ้ล และท้ายที่สุดสำหรับคนติดกินของหวานและไม่รู้จะเริ่มต้น ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไร ขอให้ลองเปลี่ยนมารับประทานเป็น ดาร์กช็อกโกแลต จะดีต่อสุขภาพหัวใจมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคหัวใจให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด คือ การเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรค ดังนั้นการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ถือเป็นหนึ่งวิธีสำคัญที่จะช่วยให้เราตรวจพบโรคหัวใจได้อย่างรวดเร็ว และรักษาได้อย่างทันท่วงที ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไป และ ในผู้ที่ถูกจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง

เครดิตข้อมูลเพิ่มเติม : ศูนย์หัวใจ Safe Heart , โรงพยาบาลเพชรเวช และ โรงพยาบาลเปาโล

Adblock test (Why?)


ดูแลสุขภาพหัวใจอย่างไรให้แข็งแรงและห่างไกลโรค? - Hello Thailand
Read More

คนเป็นโรคหัวใจ ออกกำลังกายได้หรือไม่? ผลเสียเมื่อออกกำลังกายหนักเกินไป - Hfocus

ความเสี่ยงต่อโรคร้าย หลอดเลือดสมอง-หลอดเลือดหัวใจ วิธีดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ หากป่วยเป็นโรคหัวใจออกกำลังกายไม่ได้จริงหรือ

การใช้ชีวิตของคนในยุคนี้ เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งการใช้ชีวิตที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย รับประทานอาหารที่เน้นเร่งรีบ เลือกกินอาหารง่าย ๆ อย่างรวดเร็วในแต่ละวัน พฤติกรรมที่นั่งติดโต๊ะ แทบไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ล้วนแล้วแต่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว

นพ.ธนบูรณ์ วรกิจธำรงค์ชัย นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ อายุรกรรมประสาท เชี่ยวชาญด้านโรคหลอดเลือดสมองและการรักษาโรคหลอดเลือดสมองอุดตันด้วยสายสวนหลอดเลือดสมอง กล่าวกับ Hfocus ว่า อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายจะเริ่มเสื่อมลงตามวัยเช่นเดียวกับหลอดเลือด อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นที่ควบคุมไม่ได้อย่างกรรมพันธุ์ โดยเฉพาะประวัติครอบครัวมีโรคหลอดเลือด หรือพันธุกรรมที่ทำให้เกิดหลอดเลือดสมอง ประกอบกับพฤติกรรมที่ทำลายหลอดเลือด เช่น การสูบบุหรี่ที่ทำลายหลอดเลือดทุกอย่างทั้งร่างกาย หลอดเลือดปลายมือปลายเท้า การดื่มสุรา ที่กระตุ้นให้ความดันสูง เพราะความดันโลหิตสูงทำให้เกิดโรคทั้งโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจ และที่สำคัญคือ ยาเสพติดต่าง ๆ

สำหรับวิธีดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคร้าย นพ.ธนบูรณ์ ย้ำว่า ต้องใส่ใจในปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ เช่น โรคประจำตัว อย่างคนที่เป็นโรคเบาหวาน เวลาที่มีน้ำตาลที่ควบคุมไม่ได้ จะทำให้เซลล์หรือหลอดเลือดเสื่อมเร็ว โอกาสเกิดการยืดหยุ่นจะน้อยลง เสี่ยงต่อทั้งโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงต้องควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์โดยดูจากน้ำตาลสะสม อย่างน้อย HB1AC (Hemoglobin A1c) น้ำตาลสะสมในเลือดควรน้อยกว่า 7 จะลดความเสี่ยงของทั้ง 2 โรค ความดันโลหิตสูงที่จะเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดสมองแตกต้องควบคุมความดันให้ปกติ หากมีอายุมากก็จะอนุโลมให้ความดันตัวบนไม่เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท ถ้าความดันดีจะอยู่ในช่วง 120/80 นอกจากนี้ ยังต้องป้องกันไม่ให้ไขมันในเลือดสูง ค่าโคเลสเตอรอลรวมต้องน้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอไรด์ต้องน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร LDL-cholesterol ต้องไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนไขมันดี HDL-C ยิ่งมากยิ่งดี 45-50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป จะช่วยเรื่องผนังเซลล์ ผนังหลอดเลือดให้ดีขึ้นได้

"การดูแลตัวเองอื่น ๆ ต้องทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำเยอะ ๆ โดนแสงแดดรับวิตามินดีบ้าง และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ มากกว่านั้นก็ดี ครั้งละมากกว่า 30 นาที หรือออก 1-2 ชั่วโมงต่อวัน แต่ต้องออกกำลังกายให้ปลอดภัย หัวใจเต้นขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของการเต้นหัวใจปกติ จะช่วยให้ร่างกายดี แข็งแรง หลอดเลือดดีด้วย" นพ.ธนบูรณ์ กล่าว

ส่วนความเชื่อที่ว่า คนเป็นโรคหัวใจไม่ควรออกกำลังกายนั้น นพ.ธนบูรณ์ ให้ข้อมูลว่า สามารถออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ได้ แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ คนที่มีปัญหาส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คนที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นโรคหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ กลุ่มคนเหล่านี้จะตรวจ รักษา กินยา ใส่สายหลอดเลือดหัวใจ ใส่ตะข่ายขดลวด ขยายบอลลูน หรือผ่าตัดแล้ว ซึ่งต้องพบแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณหมอแนะนำวิธีออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เริ่มจากเบา ๆ ตามภาวะหัวใจของแต่ละคน บางคนที่มีอาการป่วยรุนแรงจะทำได้แค่เดิน ออกกำลังกายหนักไม่ได้เลย ยิ่งถ้ามีโรคประจำตัวควรได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ 

"ที่สำคัญคือ คนไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยมาตรวจ อาจมีอาการแน่นหน้าอกแล้วเข้าใจว่า เป็นโรคกระเพาะหรือเปล่า คนที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ยกน้ำหนัก เล่นฟิตเนสหักโหม หรือวิ่งมาราธอน ต้องระวังว่า หัวใจทำงานหนัก อาจเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ จากข่าวที่พบเป็นประจำว่า นักกีฬาหรือนักวิ่ง เกิดเป็นลม หมดสติ และหัวใจหยุดเต้น เป็นไปได้ว่า หลอดเลือดอาจตีบบางส่วนแล้วไม่ทราบ ออกกำลังกายหรือวิ่งหนักจนกล้ามเนื้อไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย การสูบโลหิตทำไม่ได้ สุดท้ายก็หัวใจหยุดเต้น จึงควรเข้ารับการตรวจร่างกายเป็นประจำ หรือหากมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์" นพ.ธนบูรณ์ กล่าว

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

Adblock test (Why?)


คนเป็นโรคหัวใจ ออกกำลังกายได้หรือไม่? ผลเสียเมื่อออกกำลังกายหนักเกินไป - Hfocus
Read More

มาทำความรู้จัก 'โรคติกส์' อาการ 'กระตุก' แบบฝืนไม่ได้ ข่มใจรู้สึกอึดอัด ขยับรู้สึกปลดปล่อย | TheCoverage.info - The Coverage

ทำความรู้จัก “โรคติกส์” การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นเอง หรืออาการกล้ามเนื้อกระตุกที่เกิดขึ้นทันทีทันใด


นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคติกส์ เป็นโรคในกลุ่มการเคลื่อนไหวผิดปกติ (movement disorders) มักพบในเด็กวัยเรียน (5-7ปี) โดยจะมาในรูปแบบของการเคลื่อนไหวซ้ำรูปแบบเดิมที่ไม่มีจุดประสงค์ เช่น กระพริบตา ยักคิ้ว แสยะยิ้ม พยักหน้า ยักไหล่ กระโดดหรือมีอาการกระตุกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้

ทั้งนี้ โดยส่วนมากผู้ป่วยมักมีความรู้สึกภายในบางอย่างนำมาก่อนที่จะเกิดอาการเคลื่อนไหว และเมื่อเคลื่อนไหวแล้วจะทำให้ความรู้สึกนั้นหายไปเหมือนได้รับการปลดปล่อย หากผู้ป่วยพยายามบังคับไม่เคลื่อนไหวจะทำให้รู้สึกอัดอั้นไม่สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถที่จะอดกลั้นต่อความต้องการที่จะเคลื่อนไหวผิดปกติได้ในระยะเวลาสั้นๆ (temporary suppression) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคติกส์ โรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสียบุคลิก ขาดความมั่นใจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเกิดความผิดปกติอื่นตามมา ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

1

2

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า ในผู้ป่วยบางรายอาจมา           ในรูปแบบการส่งเสียงที่ผิดปกติ เช่น กระแอม เสียงกลืนน้ำลาย หรือกรณีที่มีอาการมากอาจเป็นลักษณะการพูดซ้ำ พูดเลียนแบบ หรือพูดคำหยาบคาย เป็นต้น แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการแสดงทั้งการเคลื่อนไหว และการส่งสียงผิดปกติ จะเรียกว่าโรคทูเร็ตต์

สำหรับโรคกลุ่มนี้ อาจมีอาการของกลุ่มโรคจิตเวชนำมาก่อน เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคสมาธิสั้น เป็นต้น ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคติกส์ อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือเกิดจากโรคเฉพาะตัวบุคคลที่เกิดภายหลัง เช่น เกิดจากการติดเชื้อในสมองตอนเด็กหรือเป็นโรคออทิสติก เป็นต้น

นพ.ธนินทร์ กล่าวว่า โรคติกส์ที่เกิดในผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากการเป็นโรคติกส์ตอนเด็ก หรือผู้ป่วยบางคนมีรายงานว่าเกิดจากรอยโรค หรือเนื้องอกบางตำแหน่งในสมองได้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาในภายหลังได้

สำหรับการรักษาที่ดีที่สุดคือการปรับพฤติกรรม เพื่อลดอาการที่นำมาก่อนการเคลื่อนไหว และเพิ่มระยะเวลาที่สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวหากยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ การใช้ยากลุ่มจิตเวช (anti-psychotics) เพื่อช่วยระงับการเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ แต่ต้องติดตามผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยากลุ่มนี้ด้วย เช่น กลุ่มอาการพาร์กินสันเทียม กลุ่มอาการบิดเกร็ง เป็นต้น และควรรักษากลุ่มโรคจิตเวช (OCD,ADHA) ที่มาพร้อมโรคติกส์ด้วย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย

3

Adblock test (Why?)


มาทำความรู้จัก 'โรคติกส์' อาการ 'กระตุก' แบบฝืนไม่ได้ ข่มใจรู้สึกอึดอัด ขยับรู้สึกปลดปล่อย | TheCoverage.info - The Coverage
Read More

Monday, October 24, 2022

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี - ไทยรัฐ

“...When health is at risk, everything is at risk...” ประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้งและชัดเจนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ใดที่มีการนำนโยบายสุขภาพไปผิดทิศผิดทาง นำสุขภาพไปหากิน หรือบริหารจนนำไปสู่สาธารณะเสี่ยงและสาธารณทุกข์

ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ยาเสพติด เสรีสิ่งเสพติด อาชญากรรม อุบัติเหตุและอื่นๆ ย่อมทำให้สุขภาพของคนในสังคมเผชิญกับความเสี่ยงมากมายตามมาและส่งผลกระทบกับทุกมิติในระยะยาว ยากที่จะแก้ไขเยียวยา...ทุกสังคมจึงต้องเห็นความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ สวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

17 ตุลาคม 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat” บอกว่า ควบคุม มิใช่ติดตาม...สุขภาพมิอาจต้านทาน...มัวเมา โง่เขลา มิอาจรู้...ประเทศชาติ มิอาจละเลย

“ฤดูหนาวจะหนาว...จิตสำนึกด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ...”

ท่ามกลางที่เรายังต้องอยู่กับ “โควิด–19” แนะนำว่า ผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด...รวมถึงญาติที่มาเยี่ยมหรือเฝ้าไข้...ควรได้รับการคัดกรองโรคจากประวัติ อาการ และตรวจ ATK เพื่อป้องกันทั้งตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยเดียวกัน ญาติและบุคลากรทางการแพทย์

“หากหน่วยงานไม่มีกฎระเบียบดังกล่าว ผู้ป่วย ญาติ บุคลากรทางการแพทย์ในหน่วยงานควรเรียกร้องสิทธิ เพื่อปกป้องสวัสดิภาพ ความปลอดภัยในชีวิตของทุกคน”

วันนี้จะเห็นข้อมูลความรู้เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ว่าแตกหน่อต่อยอดไปมาก เกินกว่าสายพันธุ์ก่อนๆที่เคยระบาดมา

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

อัปเดต “ยา” ที่ใช้รักษา “โควิด–19” Murakami N และคณะ ได้ทบทวนข้อมูลวิชาการแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 ทั้งยาต้านไวรัส ยาต้านการอักเสบ ยาแอนติบอดีชนิดต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ยาต้านไวรัสมาตรฐานที่ใช้รักษาโรคโควิด–19 ได้แก่ Paxlovid (เริ่มให้ยาภายใน 5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ), Remdesivir (เริ่มให้ยาภายใน 7 วันหลังจากเริ่มมีอาการ), และ Molnupiravir (เริ่มให้ยาภายใน 5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ)

ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับ “ลองโควิด” ในแคนาดา (17 ตุลาคม 2565) Statistics Canadaประเทศแคนาดาได้เผยแพร่ผลการสำรวจสถานการณ์ พบว่ามีประชากรราว 4.6% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในประเทศ จำนวนสูงถึง 1.4 ล้านคน ที่ประสบปัญหา “ลองโควิด”

โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในแคนาดาจะมีปัญหาลองโควิดราว 15% ทั้งนี้เพศหญิงมีอัตราการเกิดปัญหามากกว่าเพศชาย แม้แต่ละประเทศจะเอาสถิติมาเทียบกันตรงๆไม่ได้เนื่องจากมีความแตกต่างของปัจจัยแวดล้อมอยู่มาก แต่ด้วยข้อมูลปัจจุบัน อัตราความชุกของภาวะลองโควิดในแต่ละประเทศก็ตอกย้ำให้เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นระยะยาว

“...การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ หรือไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ ย่อมดีที่สุด ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ใส่ใจสุขภาพของตนเองและครอบครัว ใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง เป็นกิจวัตร จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

รศ.นพ.ธีระ บอกอีกว่า “สัจธรรมชีวิต” ฝึกคนที่ไม่เก่งให้เก่งขึ้นนั้น...ทำได้ไม่ยาก สอนพวกที่โกหกจนเป็นกิจวัตรให้ไม่โกหก...ทำได้ยากกว่า อบรมให้พวกที่ไม่ละอายและไม่เกรงกลัวต่อบาป ให้รู้ผิดชอบชั่วดี...ทำได้ยากขึ้นไปอีก และต้องใช้เวลาปลูกฝังยาวนาน แม้แต่เป็นบิดามารดายังทำได้ยาก

แต่การจะเปลี่ยนแปลงพวกที่มีปัญหาทั้งสามเรื่องพร้อมกันนั้น... แทบเป็นไปไม่ได้เลย สามปัญหาที่หากมีพร้อมกัน จะเป็นภาวะคุกคามที่อันตรายยิ่งต่อคนในสังคม ไม่ว่าจะที่ใดในโลก

ฉันใดก็ฉันนั้น ให้นึกถึงถ้อยคำอันฉ่ำหวานราวน้ำผึ้งอาบยาพิษที่เคยได้ยินกับผลแห่งความจริงที่ปรากฏ อาทิ “กระจอก”...เท่ากับร้ายกาจ “เอาอยู่”...เท่ากับตัวใครตัวมัน “ธรรมดา”...เท่ากับเละเทะ “เพียงพอ”...เท่ากับสำหรับใครบางคนบางพวก “ไม่มี”...เท่ากับมีดาษดื่นไปแล้วแต่ไม่บอก

“ไม่ปกปิด”...เท่ากับเปิดเท่าที่อยากเปิด เปิดยามที่อยากเปิด

ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องที่สังคมโลกไม่ควรยอมรับและต้องทำทุกทางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ สวัสดิภาพ ความปลอดภัยในชีวิตของคนในสังคม

อัปเดตสถานการณ์ระบาดในเยอรมนี สถานการณ์ไอซียู...ผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาตัวในไอซียู ครองเตียงไปแล้วมากถึง 19,232 เตียงจากจำนวนที่มีอยู่ 22,729 เตียง คิดเป็น 84.61% ทั้งนี้มีผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 30.21% ของจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคโควิดที่อยู่ในไอซียู

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

การระบาดในสิงคโปร์...Hartono S นำเสนอข้อมูลชี้ให้เห็นว่า XBB กำลังครองการระบาดระลอกที่สามของปีนี้ โดยมีสัดส่วนเกินครึ่ง และคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในระลอกนี้จะมากกว่าระลอกก่อนที่เกิดจาก BA.5 ...ทั้งนี้ระลอกก่อนมีอัตราการติดเชื้อซ้ำราว 5% แต่ระลอก XBB ขณะนี้มีอัตราติดเชื้อซ้ำมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า

และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่านี้ ซึ่งอาจมาจากหลายปัจจัย ทั้งสมรรถนะของไวรัสเอง รวมถึงระดับภูมิคุ้มกันในประชากรที่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นภูมิจากวัคซีนหรือจากการติดเชื้อมาก่อนก็ตาม

พุ่งเป้าไปที่ประเด็นสมรรถนะของ “ไวรัสกลายพันธุ์” ข้อมูลจาก Wenseleers T เบลเยียม ชี้ให้เห็นว่า สายพันธุ์ไวรัสที่กลายพันธุ์ ทั้ง XBB, BQ.1.1, BA.2.75.2, BA.4.6, BF.7 นั้น มีสมรรถนะในการขยายการระบาดสูงกว่าตระกูล BA.5.X เดิม ไม่ว่าจะทวีปใดก็ตาม ทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย โอเชียเนีย

พัฒนาการของไวรัสยามเปิดเสรีใช้ชีวิต Turville T (ออสเตรเลีย) วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจ อ้างอิงจากการวิจัยทีมงานเผยแพร่ในวารสาร Nature Microbiology (30 พ.ค.2565) โดยประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ทำให้ไวรัสมีการแพร่เชื้อจำนวนมาก อาจทำให้สมรรถนะของไวรัสโรคโควิด-19 หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม

...จากเดิมที่ไวรัสพยายามหลบหลีกภูมิคุ้มกันและเปลี่ยนแนวทางการจับกับตัวรับบนผิวเซลล์จนทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง แต่อิสระในการแพร่เชื้อที่มีในปัจจุบัน จะทำให้ไวรัสที่กลายพันธุ์อาจกลับไปใช้กระบวนการจับกับตัวรับ TMPRSS2 ที่พบมากในปอด และนำไปสู่การป่วยรุนแรงมากขึ้นได้

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี
โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานข้างต้นคงต้องรอการติดตามพิสูจน์ต่อไป ที่น่าจับตาดูคือสถิติหลายประเทศในยุโรปที่มีจำนวนผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลและไอซียูมากขึ้น

“มองโลก มองไทย” ด้วยข้อมูลเชิงนิเวศจะเห็นได้ว่าประเทศไทยย่อมมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากปัจจุบันเราเปิดเสรีการใช้ชีวิตและการท่องเที่ยวเดินทางจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ ตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมรับมือการระบาดซ้ำ และป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ

“การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องเป็นกิจวัตรเวลาออกนอกบ้าน จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”

บทเรียน “โรคระบาด” นั้น สรุปสั้นๆคือวิกฤติหนักหนาสาหัสจะไม่มีทางเกิดขึ้น หากวงการเมืองสุจริต วงนโยบายซื่อสัตย์และวงวิชาการมีจริยธรรม เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในสังคมโลก อนาคตน่าจะได้มีการตีแผ่ออกมาให้ทราบกันไม่ช้าก็เร็วผ่านช่องทางต่างๆ

แต่ “บุญ” หรือ “บาป” ที่เกิดขึ้นจากการกระทำแต่ละอย่างที่นำไปสู่ความสูญเสียนั้น รอตีตั๋วเช็กบิลกันตอนวาระสุดท้ายของชีวิตของแต่ละคน.

โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี

Adblock test (Why?)


โลกยังมีโควิด-19 "กระจอกเอาอยู่" ไม่มี - ไทยรัฐ
Read More

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...