Rechercher dans ce blog

Tuesday, December 21, 2021

ศ.นพ.มานพ เจาะลึกวัคซีน mRNA ความหวังป้องกัน "โอไมครอน" - Tnews - ทีนิวส์

ในขณะนี้ บริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่างก็กำลังค้นคว้าอย่างเร่งด่วนเพื่อที่จะได้รู้จักและเข้าใจเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนวัคซีนโควิด-19 ที่ทันต่อการกลายพันธุ์  เช่น บริษัทโมเดอร์นากำลังดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ของวัคซีนโมเดอร์น่าทั้ง 3 สูตร ได้แก่

1) วัคซีนเข็มกระตุ้นสูตร mRNA-1273 ในขนาด 100 ไมโครกรัม

2) วัคซีนสูตรผสมที่รวมสายพันธุ์เบต้าและเดลต้า ซึ่งมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งเหมือนกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน

และ3) จะเร่งดำเนินการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 สูตรใหม่ที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน

เจาะลึกวัคซีน mRNA ความหวังป้องกัน "โอไมครอน"

ในระหว่างที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนยังไม่แพร่กระจายมากจนเข้ามาแทนที่สายพันธุ์อัลฟ่า เบต้า และเดลต้า ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไทยขณะนี้  วัคซีนชนิด mRNA ทั้งสองยี่ห้อที่มีอยู่ในประเทศไทยยังคงมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดี  แม้จะใช้หลักการและเทคโนโลยีเดียวกันในการผลิต วัคซีนทั้งสองยี่ห้อก็มีส่วนปลีกย่อยที่ส่งผลให้มีประสิทธิผลที่แตกต่างกัน

สิ่งที่ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 มีความแตกต่างกันนั้นศ.นพ.มานพอธิบายว่า ข้อแรก คือ ตัวห่อหุ้ม หรือ Lipid nanoparticles ที่ใช้หุ้มmRNA เพื่อป้องกันไม่ให้สลายตัวก่อนฉีดเข้าไปในร่างกาย ที่วัคซีนแต่ละยี่ห้อใช้นั้นไม่เหมือนกัน  ส่วนข้อสอง ซึ่งมีความสำคัญมาก คือ ปริมาณ mRNA ในวัคซีนที่ต่างกันซึ่งปริมาณที่เหมาะสมนี้ได้จากการศึกษาในอาสาสมัครที่พบว่ามีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี และไม่มีผลข้างเคียงมากเกินไป ก่อนนำมาศึกษาทางคลินิกเพื่อทดสอบประสิทธิภาพเทียบกับยาหลอก แล้วจึงนำมาใช้จริง

จากผลการศึกษาทางคลินิกเฟสสามวัคซีนชนิด mRNA ทั้งสองยี่ห้อมีประสิทธิภาพสูงเกิน 95%  ในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดิมโดยผลการติดตามการใช้จริงในประเทศกาตาร์เมื่อต้นปี 2564 แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีนโมเดอร์น่าเข็มแรกต่อเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่าสูงถึง 88.1% และถ้าได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มจะได้สูงถึง 100% ในขณะที่ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อต่อเชื้อสายพันธุ์เบต้า สูงถึง 96.4% เมื่อได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม

การศึกษาเปรียบเทียบวัคซีนทั้งสองชนิดในรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนธันวาคม 2563 - กรกฎาคม 2564 โดยใช้อาสาสมัครกลุ่มละกว่า 25,000 คน ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวของการระบาดทั้งสายพันธุ์อัลฟ่าและเดลต้า พบว่าจำนวนอาสาสมัครที่ติดเชื้อภายหลังได้รับวัคซีนโมเดอร์น่ามีน้อยกว่าวัคซีนไฟเซอร์เกือบ 2 เท่า (38:72 คนตามลำดับ) โดยในเดือนสุดท้ายของการศึกษาพบว่าประสิทธิผลในการป้องกันอาการหนักต้องเข้ารพ. ยังดีมาก โดยวัคซีนโมเดอร์น่ายังคงมีประสิทธิผลที่81% (ลดลงจาก 91.6%) ขณะที่วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิผลที่ 75% (ลดลงจาก 85%)

ด้านผลข้างเคียงของวัคซีนmRNA มี 2 เรื่องหลัก เรื่องแรก คือ การแพ้รุนแรง ซึ่งวัคซีนทั้งสองยี่ห้อมีอุบัติการณ์ใกล้เคียงกัน  คือ พบในอัตราประมาณ 1 ต่อ 300,000 คน  

ส่วนเรื่องที่สอง คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รายงานจากบริษัทโมเดอร์น่าระบุว่า ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์น่า มีโอกาสที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากประเทศฝรั่งเศสในชายวัย 12-29 ปี โดยข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พบผู้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 13.3 รายจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนโมเดอร์น่าทั้งหมด 100,000 ราย เมื่อเทียบอุบัติการณ์2.7 ต่อ 100,000 รายในผู้ที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับผลดีในการป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว การฉีดวัคซีนถือได้ว่ามีประโยชน์มากกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการไม่ฉีดวัคซีนและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ รวมถึงองค์การอนามัยโลกยังคงเน้นย้ำว่า วัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับมือกับโรคโควิด-19 และเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
 

Adblock test (Why?)


ศ.นพ.มานพ เจาะลึกวัคซีน mRNA ความหวังป้องกัน "โอไมครอน" - Tnews - ทีนิวส์
Read More

No comments:

Post a Comment

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...