
วันที่ 22 ก.พ.65 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุข้อความว่า...
ทะลุ 426 ล้านแล้ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,244,281 คน ตายเพิ่ม 6,097 คน รวมแล้วติดไปรวม 426,229,273 คน เสียชีวิตรวม 5,908,832 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ รัสเซีย เยอรมัน เกาหลีใต้ ตุรกี และญี่ปุ่น
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ/ใต้ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 97.38 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 94.16
ล่าสุดจำนวนติดเชื้อใหม่จากทวีปยุโรปนั้นคิดเป็นร้อยละ 48.01 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 44
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 9 ใน 10 อันดับแรก และ 17 ใน 20 อันดับแรกของโลก
...สถานการณ์ไทยเรา
เอาแค่ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยัน (RT-PCR) เมื่อวาน ถือว่าสูงเป็นอันดับ 18 ของโลก และอันดับ 8 ของเอเชีย
แต่ถ้ารวม ATK ไปด้วย จะขึ้นมาเป็นอันดับ 11 ของโลก และอันดับ 6 ของเอเชีย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ติดเชื้อจริงจะมากกว่าที่เห็นจากตัวเลขที่รายงาน เพราะปัญหาในการเข้าถึงบริการตรวจ ไม่ว่าจะ RT-PCR หรือ ATK ก็ตาม ยังไม่นับเรื่องโอกาสเกิดผลลบลวงจากการตรวจด้วย ATK ซึ่งมีสูงกว่าวิธี RT-PCR เนื่องจากความไวต่ำกว่า
จากที่เคยวิเคราะห์ธรรมชาติการระบาดทั่วโลกในกลุ่มประเทศที่ผ่านพีคของ Omicron ไปแล้วนั้น ค่ามัธยฐานของจำนวนติดเชื้อสูงสุดต่อวันจะสูงกว่าพีคเดลต้าราว 3.65 เท่า ทั้งนี้ไทยเรามีปัญหาหลักอยู่ที่ข้อจำกัดเชิงระบบบริการตรวจ ทำให้ตรวจได้ไม่มาก
"ดังนั้นภาพรวมสุดท้ายในอนาคตอันใกล้นั้น น่าจะเห็นพีคไทยได้เท่าที่ตรวจ"
แต่ขอให้เราตระหนักไว้ว่าธรรมชาติการระบาดของต่างประเทศเป็นดังที่กล่าวมา และต้องป้องกันตัวให้เคร่งครัด
...เรื่องสำคัญที่ขอเน้นย้ำอีกครั้ง
ที่ต้องทำตอนนี้มีอยู่เรื่องเดียวจริงๆ คือ "เปิดโหมด survival" สำหรับตนเองและสมาชิกในครอบครัวให้ได้
มุ่งเป้า"ไม่ติดเชื้อ" เพื่อที่จะไม่ต้องไปลุ้นเรื่องภาวะอาการคงค้างเรื้อรังหรือ Long COVID ซึ่งเสี่ยงต่อการเสื่อมสมรรถนะร่างกายและจิตใจในระยะยาว ทำให้ความสามารถในการดูแลตนเองลดลง ต้องพึ่งพิงคนอื่น หรือทุพพลภาพ
จะทำเช่นนั้นได้ ไม่มีทางอื่นนอกจาก"การป้องกันตัว"
หนึ่ง ใส่หน้ากากเสมอ เจอใครไม่ใส่ ก็"ชั่งหัวมัน"ครับ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเอาตัวรอด
ใครรักชีวิตเสี่ยงก็เสี่ยงไป แจ็คพอตก็หวังว่าจะกล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายในอนาคต
สอง เว้นระยะห่างจากคนอื่น
ชีวิตจริงเวลาไปทำธุระ ไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวัน แม้เราจะระวัง แต่จะเจอเสมอที่คนอื่นๆ ที่เราพบปะนั้นจะเข้ามาคลุกคลีใกล้ชิดปานจะกลืนกิน ดังนั้นพอเห็นใครมาใกล้กว่าหนึ่งเมตร ขอให้ก้าวกระเถิบออกมาให้ห่างจากเค้า
การทำเช่นนี้ ไม่ได้เสียมารยาท แต่เป็นการช่วยรักษาความปลอดภัยทั้งเราและเค้า เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าใครจะติดจากใคร นอกจากนี้พอเราทำเป็นตัวอย่างให้เห็น ก็จะเป็นการกระตุ้นให้คนอื่นเกิดการเรียนรู้ และเป็นบรรทัดฐานเวลาเจอกันยามระบาด
สาม งดกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น
ติดกันมานักต่อนัก มากมายรอบตัว ทั้งจากการกินข้าวในที่ทำงาน การนัดพบปะสังสรรค์ระหว่างเพื่อนฝูง หรืออื่นๆ หลายที่ก็มีนโยบายห้ามหรืองดกินข้าวร่วมกันในที่ทำงาน ให้แยกไปต่างคนต่างกิน
ส่วนที่ไหนที่ทำไม่ได้ หรือใครทำไม่ได้ ก็ขอให้ตระหนักไว้ว่าเสี่ยงแน่นอน รอแจ็คพอตว่าจะเมื่อใดก็เท่านั้น จึงต้องอ่านข้อสุดท้ายคือข้อสี่ต่อไป
สี่ หมั่นตรวจตราตนเองและสมาชิกในครอบครัว หากไม่สบายคล้ายหวัด ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหัว ไอ เจ็บคอ คัดจมูกน้ำมูกไหล แม้เล็กน้อย ก็จงตระหนักไว้ว่ามีโอกาสเป็นโควิด-19 และจะนำพาไปสู่การระบาดในครอบครัว และที่ทำงานได้
ดังนั้นหากไม่สบาย ควรหยุดเรียนหยุดงาน แยกตัวจากคนใกล้ชิด ป้องกันตัว 100% และไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน เป็นความรับผิดชอบทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม
...หากท่าน และครอบครัวป้องกันตัวเต็มที่ดังที่กล่าวมาข้างต้น ความเสี่ยงจะลดลงไปมาก และเป็นหนทางสู่โหมด survival ครับ
ย้ำอีกครั้งว่า Long COVID จะเป็นปัญหาหลักในอนาคต ตัวเลขแต่ละวันที่เห็นนั้นอาจไม่สะท้อนสถานการณ์จริงเพราะมีข้อจำกัดในเรื่องศักยภาพของระบบการตรวจ การติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันจึงน่าจะมากกว่าที่เห็น
Long COVID ป้องกันได้ หากเราป้องกันตัว...
"หมอธีระ" เน้นย้ำ "เปิดโหมด survival" สำหรับตนเอง - สมาชิกในครอบครัวให้ได้ มุ่งเป้า "ไม่ติดเชื้อโควิด" - สยามรัฐ
Read More
No comments:
Post a Comment