Rechercher dans ce blog

Sunday, April 24, 2022

ภาคใต้ "โควิด" เข้าขาลงเพียบ ยันไม่ได้ตรวจน้อย จ่อร่วมแซนด์บ็อกซ์สู่โรคประจำถิ่น - ผู้จัดการออนไลน์



โควิดภาคใต้ขาลง ย้ำไม่ได้ตรวจน้อย เหตุตัวเลขสอดคล้องอัตราครองเตียงและป่วยหนักที่ลดลง เตรียมลุยทำโรคประจำถิ่น สธ.เผย 15 จังหวัดสนใจทำเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ เช่น สงขลา ย้ำโรคประจำถิ่นต้องดูอัตราติดเชื้อ ป่วยรุนแรง อัตราตาย และวัคซีน

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เขตสุขภาพที่ 12 ซึ่งดูแลจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง กล่าวถึงกรณี 12 จังหวัดที่โควิด 19 อยู่ในช่วงขาลง ซึ่งอาจเตรียมทำเข้าสู่โรคประจำถิ่นได้ก่อน ได้แก่ เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี กระบี่ ระนอง ตรัง นครศรีธรรมราช ภูเก็ต สตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งส่วนใหญ่อยู่พื้นที่ภาคใต้ ว่า ข้อกังวลเรื่องการติดเชื้อโควิด 19 หลังสงกรานต์จะเพิ่มสูงขึ้น ปรากฏว่าจังหวัดภาคใต้ เช่น สงขลา ยะลา ปัตตานี ที่เคยติดเชื้อสูงตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ เฉลี่ยทั้งเขตสุขภาพที่ 12 วันละ 3 พันราย พอหลังสงกรานต์เริ่มเข้าสู่ระยะขาลง เฉลี่ยวันละ 1,100 ราย มีบางจังหวัดที่การติดเชื้อยังสูง เช่น พัทลุง วันละมากกว่า 100 ราย

นพ.สุเทพ กล่าวว่า การที่ตัวเลขติดเชื้อลดลง ไม่ได้เกิดจากการตรวจน้อยลง เพราะตัวเลขสอดคล้องกับผู้ป่วยครองเตียงในสถานพยาบาล ผู้ป่วยอาการรุนแรงลดลงเช่นกัน จากที่เคยเห็นว่าจังหวัดทางภาคใต้ติด 1 ใน 10 จังหวัดพบผู้ติดเชื้อสูงสุด ตอนนี้ก็ไปอยู่ในลำดับที่ 70 ขึ้นไปแล้ว

สำหรับแผนการทำโควิดให้เป็นโรคประจำถิ่น ปลัด สธ. แจ้งว่า ตอนนี้มี 15 จังหวัดที่สนใจและมีความพร้อมเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ เส้นทางกรมควบคุมโรคก็ได้ทำหลักเกณฑ์เสร็จแล้ว แต่ต้องหารือกันในที่ประชุม EOC สธ.อีกครั้งก่อน อย่างภาคใต้ก็จะมี จ.สงขลาที่มีความพร้อม เพราะมีอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 1 เกือบ 80% เข็มกระตุ้นอีกเกือบ 30% การกำหนดพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ก็เป็นการดึงความมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง เพราะประชาชนในพื้นที่ก็อยากทำมาหากินเปิดการค้า กลับมาใช้ชีวิตได้

นพ.สุเทพ กล่าวว่า หลักเกณฑ์สำหรับการเป็นโรคประจำถิ่น ดูจาก 1.จำนวนผู้ติดเชื้อต่อแสนประชากร 2.ผู้ป่วยรุนแรงและการรองรับในแต่ละจังหวัด 3.อัตราการเสียชีวิตต้องต่ำกว่า 0.1% และ 4.ถ้าฉีดวัคซีนต้องครอบคลุมอย่างน้อย 80% โดยเฉพาะกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงขึ้นก็คาดว่าวันที่ 1 ก.ค. จะสามารถทำได้ตามแผน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะเข็มกระตุ้นในกลุ่มเสี่ยงจะต้องมากกว่า 60% การฉีดวัคซีนสำหรับนักเรียนที่เริ่มฉีดเข็มแรกไปช่วง ส.ค.64 ขณะนี้ก็ต้องฉีดเข็มกระตุ้นก่อนเปิดเทอม และกลุ่มเด็กเล็ก 5-11 ปี ที่ฉีดเข็ม 1 ครอบคลุมแล้ว 50% ก็ต้องฉีดเข็ม 2 ตามด้วย

Adblock test (Why?)


ภาคใต้ "โควิด" เข้าขาลงเพียบ ยันไม่ได้ตรวจน้อย จ่อร่วมแซนด์บ็อกซ์สู่โรคประจำถิ่น - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

No comments:

Post a Comment

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...