ไข้หวัดใหญ่เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่วนโควิด-19 เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ที่พบในปี 2019 และเป็นที่ทราบกันดีอีกว่าโควิด-19 นั้น สามารถแพร่กระจายและติดต่อได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโควิดบางส่วนจะมากกว่าเยอะ และแน่นอนว่าการจะวินิจฉัยแยกโรคการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิดมีความจำเป็น
นพ.ณฐนัท ช่างเงินชญช์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลนวเวช ให้ข้อมูลไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไว้อย่างรอบด้าน ทั้งลักษณะการติดต่อ สาเหตุ อาการ กลุ่มเสี่ยง รวมไปถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ
ไข้หวัดใหญ่เป็นได้ตลอดปี
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่รู้จักกันดี และเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากสำหรับคนไทย เมื่อเป็นแล้วสามารถเป็นซ้ำได้อีก ติดต่อได้ง่าย จึงทำให้มีการระบาดของโรคเกิดขึ้น ถึงแม้ไข้หวัดใหญ่จะไม่มีความรุนแรงสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง แต่คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอาจจะเกิดความรุนแรงได้
สำหรับประเทศไทยสามารถพบไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งจะตรงกับการเปิดภาคเรียนแรก หลังจากนั้นจะพบมากอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวหลังปีใหม่จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่การระบาดในช่วงนี้ไม่สูงเท่ากับการระบาดในช่วงฤดูฝน
โดยในช่วง 2 ปีที่มีระบาดอย่างหนักของโรคโควิด-19 ทำให้พบว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่ และโรคไวรัสก่อโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ลดลงอย่างมาก ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่สันนิษฐานว่า น่าจะมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คน
ไข้หวัดใหญ่ติดต่อผ่านละอองฝอย
การติดต่อโรคของไข้หวัดใหญ่ จะเป็นการติดต่อจากละอองฝอยขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็กจากผู้ที่ติดเชื้อแล้ว และมีการไปสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ แล้วไปสัมผัสโดนเนื้อเยื่อบุตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ตา จมูก ปาก หรือการหายใจเข้าไป
โดยระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อไวรัสอยู่ที่ 1-4 วัน หลังจากสัมผัสโรค (โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน) เชื้ออาจจะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น และสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่วันแรกก่อนมีอาการ จนถึงช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ หลังจากนั้นประมาณ 5-10 วัน ปริมาณเชื้อจะลดลงจนไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้
แต่ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่อ้วน หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจตรวจพบเชื้อได้นานเป็นหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
สาเหตุการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ก่อนที่จะกลายมาเป็นโรคในคน มีสาเหตุมาจากเชื้อ Human Influenza Virus A, B, C โดยชนิด C พบได้น้อยจึงไม่ได้กล่าวถึง
เริ่มต้นจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะพบอยู่ 2 ชนิดย่อยที่สำคัญคือ ชนิด H1N1 และอีกชนิดคือ H2N3 ที่ยังวนเวียนก่อโรคไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์มาตลอด
ส่วนที่เหลือมากกว่า 130 สายพันธุ์ จะก่อโรคในสัตว์ เช่น นก หมู และอื่น ๆ ในอนาคตยังพยากรณ์ไม่ได้ว่าจะมีการติดต่อมาแพร่ระบาดสู่คนได้เมื่อไหร่ โดยจากประวัติการระบาดในอดีตที่ผ่านมาพบว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นั้น ได้มีการระบาดใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง
ล่าสุด เมื่อปี ค.ศ. 2009 เป็นที่รู้จักกันดีคือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 2009 ซึ่งสายพันธุ์นี้ยังคงมีการระบาดมาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถกลายพันธุ์ได้ทีละเล็กทีละน้อย จึงทำให้สามารถหลบหลีกภูมิต้านทานที่มีอยู่ได้ เป็นที่มาของการทำให้ติดเชื้อซ้ำ
ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นสายพันธุ์ที่มีอยู่ในคนเท่านั้น และยังไม่พบการระบาดใหญ่ โดยมี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Victoria และสายพันธุ์ Yamagata
อาการไข้หวัดใหญ่
ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการจับไข้เฉียบพลัน วัดไข้ได้ตั้งแต่ 37.8 จนสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอแห้ง ๆ และอาจพบอาการร่วมอื่น ๆ เพิ่ม เช่น อาการอ่อนเพลีย คัดจมูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ
ในผู้ป่วยเด็กบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ค่อยพบในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ โดยอาการและความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ยกอย่างเช่น ในผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี หรือ ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจจะตามมาด้วยอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกโคลงเคลง โดยมีอาการทางระบบทางเดินหายใจเล็กน้อย ไม่มีไข้ แต่จะมีอาการเซื่องซึมลงได้
กลุ่มเสี่ยงสูงจากไข้หวัดใหญ่
-เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี
-อายุมากกว่า 65 ปี
-สตรีตั้งครรภ์
-ผู้ที่มีภาวะอ้วน ดัชนีมวลกายมากกว่า 30 kg/m2
-ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหืด โรคถุงลมอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน
-ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น กินยากดภูมิต้านทาน เคมีบำบัด รังสีบำบัด หรือโรคที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคมะเร็ง และ โรคติดเชื้อเอชไอวี
หากสงสัยว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและตรวจ swab เข้าทางจมูก หรือโพรงจมูกด้านหลัง เพื่อยืนยันการวินิจฉัย หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา
โดยทั่วไปถ้าเป็นผู้ป่วยที่สุขภาพแข็งแรงดี แพทย์จะให้รักษาตามอาการ ประคับประคองรอเวลาให้ร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสให้หมด ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน
สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง การดูแลจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน โดยเฉพาะภาวะปอดอักเสบ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ หากมีความจำเป็นในกรณีที่เข้าสู่วันที่ 2-3 แล้วอาการไม่ดีขึ้น ไข้ ไอหอบ ที่จะบ่งบอกถึงอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
ในบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพื่อลดจำนวนของไวรัสในการที่จะเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจภายใน 48 ชั่วโมงแรก
การป้องกันไข้หวัดใหญ่
-ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่จะต้องดูแลสุขอนามัย หมั่นล้างมือก่อนสัมผัสใบหน้า รับประทานอาหารที่สะอาด หรือที่เรียกว่า กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ โดยล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ในกรณีที่ไม่มีน้ำ เพราะแอลกอฮอล์สามารถทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้
-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง สำหรับประเทศไทยควรให้วัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ประมาณช่วงปลายเดือนเมษายน จนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยสายพันธุ์ของไวรัสที่อยู่ในวัคซีนจะใช้สายพันธุ์ของวัคซีนซีกโลกใต้เป็นหลัก
"ไข้หวัดใหญ่"ตามฤดูกาล เหมือนและต่างจาก"โควิด"อย่างไร - กรุงเทพธุรกิจ
Read More
No comments:
Post a Comment