Rechercher dans ce blog

Tuesday, August 30, 2022

ลองโควิดในเด็ก บั่นทอนชีวิตซ้ำภาระจ่าย - ไทยรัฐ

เปิดบันทึกสถานการณ์การระบาด “โควิด-19” วันที่ 25 สิงหาคม 2565...ทั่วโลกติดเพิ่ม 656,108 คน ตายเพิ่ม 1,746 คน รวมแล้วติดไป 602,985,345 คน เสียชีวิตรวม 6,478,268 คน...5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และไต้หวัน

จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรปรวมกันคิดเป็นร้อยละ 82.49 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 62.77 สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวานสูงเป็นอันดับ 14 ของโลก และอันดับ 5 ของเอเชีย

ข้อมูลอัปเดต “ลองโควิด” ในเด็ก รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ บอกว่า Dumont R และคณะจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้เผยแพร่ผลการวิจัยใน medRxiv (24 สิงหาคม 2565) โดยศึกษาความชุกของลองโควิดในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เคยติดเชื้อโรคโควิด-19 เปรียบเทียบกับคนที่ไม่ติดเชื้อ

สาระสำคัญที่พบคือ เด็กที่ติดเชื้อโรคโควิด–19 มีปัญหาลองโควิด ที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆราว 9.1%...ทั้งนี้ เด็กวัยรุ่น 12-17 ปี จะพบว่าประสบปัญหาลองโควิดมากกว่าเด็กเล็ก อาการผิดปกติที่พบบ่อย ได้แก่ ปัญหาด้านการดมกลิ่น การไม่มีสมาธิ และอาการปวดท้อง

ผลการศึกษานี้สะท้อนให้ผู้ปกครองและคุณครูเห็นถึงความสำคัญในการดูแลเด็ก ให้ความรู้ ฝึกทักษะในการป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ ปรับสภาพแวดล้อมให้มีการถ่ายเทอากาศที่ดี

หากเด็กๆเคยติดเชื้อมาก่อน ผู้ปกครองก็ควรสังเกต ประเมินสุขภาพของเด็กทั้งด้านกาย อารมณ์ สมาธิ ฯลฯ ถ้าพบสิ่งผิดปกติ จะได้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และให้การดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที

“สถานการณ์ไทยเรานั้น การที่จะประคับประคองให้เรามีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต จำเป็นต้องมีความใส่ใจด้านสุขภาพ...สภาพแวดล้อมในสังคมระหว่างที่ใช้ชีวิตประจำวันนั้นมีความเสี่ยงมากกว่าในอดีต การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”

เน้นย้ำว่า...ไม่ว่าจะทำงาน พบปะ ศึกษาเล่าเรียน และอื่นๆ พยายามเว้นระยะจากกันไว้บ้าง ใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง...พกสเปรย์แอลกอฮอล์ไว้ล้างมือหลังหยิบจับสิ่งของสาธารณะ

“ใครที่มีอาการไม่สบาย ควรแจ้งให้คนใกล้ชิดทราบ เลี่ยงการพบปะกับผู้อื่นไปก่อน ก็จะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมด้วย...

โควิด–19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ติดแล้วป่วยรุนแรงได้ ตายได้ แม้ฉีดวัคซีนมาแล้วหรือเคยติดเชื้อมาก่อนแล้วก็ตาม การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญ”

ปัญหาอาการผิดปกติระยะยาว “ลองโควิด” เป็นเรื่องที่ควรตระหนักไว้เสมอ เพราะจะบั่นทอนคุณภาพชีวิต สมรรถนะการใช้ชีวิต...การทำงาน รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัว ประเทศ

ที่ผ่านมาก็มีข่าวดีให้ใจชื้นกันอีกนิดเกี่ยวกับ “วัคซีน” ใน “วัยรุ่น” ของสหรัฐอเมริกา เมื่อ US CDC ได้อนุมัติให้สามารถใช้วัคซีน Novavax ในเด็กวัยรุ่นอายุ 12-17 ปีได้แล้ว...ถือเป็นวัคซีนตัวล่าสุดที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในเด็กวัยรุ่นได้ ต่อจาก Pfizer/Biontech และ Moderna

“Novavax”...เป็นวัคซีนประเภท Protein subunit ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับวัคซีนโรคอื่นๆที่เราใช้ในปัจจุบัน เช่น วัคซีนตับอักเสบบี

ถึงตรงนี้ขอ...ย้ำเตือนอีกครั้งว่า สถานการณ์ปัจจุบันของไทยนั้น แม้จะมีการรายงานตัวเลขเสียชีวิตเฉพาะคนที่ไม่มีโรคร่วม ก็พบว่าจำนวนเสียชีวิตเฉลี่ยรอบ 7 วัน ต่อประชากรล้านคนนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ของเอเชีย และของกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงมาอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญคือ การเสียชีวิตจริงย่อมมากกว่าที่รายงานในแต่ละวัน และสะท้อนถึงสถานการณ์การระบาดที่ยังรุนแรง การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องที่จำเป็น

โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ ไม่ชิลๆแค่ติดแล้วหาย แต่ป่วยรุนแรงได้ ตายได้ การฉีดวัคซีนนั้นช่วยลดโอกาสที่จะป่วยรุนแรงและเสียชีวิต แต่หากไม่ป้องกันตัวให้ดี ก็จะป่วยได้ตายได้เช่นกัน ที่สำคัญคือ ปัญหาลองโควิดระยะยาว ซึ่งยังไม่มีวิธีรักษาจำเพาะเจาะจง และ...บั่นทอนคุณภาพชีวิต

อีกทั้ง...แม้ติดเชื้อมาก่อน ก็ติดเชื้อซ้ำได้ หากไม่ป้องกันตัวย่อมเสี่ยงที่จะป่วย ตายและลองโควิดเป็นเงาตามตัว

หากติดเชื้อควรแยกตัวจากผู้อื่นในระยะเวลาที่เพียงพอ ยืนยันความรู้จากการวิจัยทางการแพทย์ชี้ให้เห็นว่า 5 วันไม่เพียงพอ...แนวทางที่ควรทำคือ แยกตัวจากคนอื่น 7-10 วัน และก่อนออกไปใช้ชีวิตควรตรวจ ATK เป็นลบ และเช็กให้แน่ใจว่าไม่มีอาการป่วย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อไปได้มาก

การใส่ “หน้ากาก” อย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ถือเป็นหัวใจสำคัญ

เสริมเติมเต็มความรู้ความเข้าใจในประเด็น “กักตัวแค่ไหนถึงพอ?”

รศ.นพ.ธีระ ยืนยันอีกครั้งว่า ความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบัน จากอเมริกาและสหราชอาณาจักร หากกักตัว 5 วัน โอกาสหลุดมีสูง 50-75%

“อย่าเสพข่าวที่ให้ข้อมูลแบบตีมึน โดยอ้างถึงเรื่องการแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ก่อนจะเกิดอาการ (pre-symptomatictransmission) บอกดังๆ...ว่าโควิด-19 นั้น คนที่ติดเชื้อสามารถแพร่ได้ตั้งแต่ก่อนจะมีอาการ 2-3 วัน”

นี่คือความรู้ที่มีมานานแล้วและตอกย้ำให้ทราบว่าจำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เพราะอาจรับเชื้อ ติดเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว และแพร่ให้คนอื่นได้ตั้งแต่ตอนไม่มีอาการ

แต่ข้อมูลข้างต้นไม่ได้หักล้างความรู้เกี่ยวกับระยะเวลาของคนที่ติดเชื้อแล้วจะสามารถแพร่เชื้อไปได้อีกนานเพียงใด นี่เป็น “คนละเรื่อง” กัน

ดังการวิจัยของ Imperial College London ที่เคยเล่าให้ฟังไว้ว่า...หากกักตัว 5 วันนับจากวันที่ตรวจพบว่าติดเชื้อ...ซึ่งอาจมีหรือยังไม่มีอาการก็ได้ จะมีโอกาสที่คนคนนั้นยังสามารถแพร่เชื้อได้สูงถึง 75%

แต่หากนับจาก “วันที่เริ่มมีอาการ” การกักตัว 5 วัน จะยังคงมีโอกาสหลุดได้สูงถึง 67%...สูงถึงสองในสาม!

นี่จึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจน ตอกย้ำถึงคำแนะนำที่ให้ไว้ว่า...ในทางปฏิบัติแล้ว เราควรลดความเสี่ยง ด้วยการกักตัว 7-10 วัน และควรตรวจ ATK ซ้ำว่าได้ผลลบ โดยที่ไม่มีอาการป่วยแล้ว จึงจะออกมาใช้ชีวิต โดยป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดต่อจนถึงอย่างน้อยสองสัปดาห์

ข้อมูลจากการวิจัยทั้งจากอเมริกาและสหราชอาณาจักรข้างต้นนี้ ชี้ให้เห็นระยะเวลาและความเสี่ยงแต่ละระดับ ยิ่งกักตัวสั้น ความเสี่ยงก็สูงเป็นเงาตามตัว

“ขอให้เสพข่าวอย่างรู้เท่าทัน มีความรู้ และประยุกต์ใช้ความรู้ให้ถูกต้องเหมาะสมครับ การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก”

ตื่นตัวอย่าตื่นตูม...ป้องกันตัว การ์ดอย่าตก “โควิด–19” ยังคงอยู่กับเราทุกคน.

Adblock test (Why?)


ลองโควิดในเด็ก บั่นทอนชีวิตซ้ำภาระจ่าย - ไทยรัฐ
Read More

No comments:

Post a Comment

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...