ปัสสาวะเล็ด เป็นอาการที่พบได้ตั้งแต่วัย 30 ปี ขึ้นไป เกิดได้จากหลายสาเหตุ โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้
“ปัสสาวะเล็ด” หรือเรียกโรคนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า “อาการช้ำรั่ว” (Urinary Incontinence) เป็นภาวะที่ทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดที่เกิดได้กับทุกเพศ เริ่มจากวัยทำงานไปจนถึงเริ่มเข้าวัยทอง สาเหตุจากความผิดปกติของระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ และความอ่อนแอของอุ้งเชิงกราน ซึ่งอย่างหลังมักเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น และในบางกรณีก็เกิดจากนิ่วหรือเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะได้ ทั้งนี้จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงจะดีที่สุด
"ปวดฉี่บ่อย" โรคกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน รีบรักษาก่อนส่งผลระยะยาว
สีปัสสาวะบอกสุขภาพ รู้ทันสัญญาณเตือนโรค ไม่ตื่นตระหนก รักษาได้ทัน
อาการปัสสาวะเล็ด
พฤติกรรมง่ายๆ ที่ทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ด ได้แก่ ไอ จาม หัวเราะ ซึ่งทำให้เกิดความดันในช่องท้องจนเกิดปัสสาวะเล็ดออกมาได้ แต่ระดับความรุนแรงอาจแตกต่างกัน หากไม่รุนแรงมากอาจจะใช้เวลาไม่นานก็สามารถรักษาให้หายได้ ระหว่างนั้นอาจจะใช้แผ่นซับปัสสาวะไปพลางๆ ก่อน แต่บางกรณีอาจจะต้องพบแพทย์เพื่อปรึกษาหารือวิธีรักษากันต่อไป
อย่างไรก็ตาม อาการปัสสาวะเล็ด ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะสามารถรักษาหายหรือช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้ แต่หากละเลยหรือปล่อยทิ้งไว้ ปัสสาวะซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ อาจจะกัดเนื้อเยื่อจนเป็นแผล มีกลิ่นเหม็น คัน และอาจเป็นที่เจริญเติบโตของเชื้อโรคได้
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคใกล้ตัวของคนวัยทำงานที่ต้องระวัง
ปัสสาวะเล็ดรักษาอย่างไร
1.การขมิบช่องคลอด
เพื่อให้กล้ามเนื้อช่องคลอดและท่อปัสสาวะแข็งแรงขึ้น แต่เห็นผลค่อนข้างช้าและต้องทำเป็นประจำ โดยวิธีการคือ สามารถขมิบช่องคลอดได้ในทุกอิริยาบถ ซึ่งการขมิบที่ถูกต้องคือขมิบเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานเท่านั้น คล้ายกับเวลากลั้นอุจจาระ หรือปัสสาวะ โดยไม่เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องหรือต้นขาร่วมด้วย ขมิบแต่ละครั้งทำค้างไว้ 10-20 วินาที แล้วคลายออกในเวลาเท่ากันแล้วจึงเริ่มขมิบใหม่ สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยระยะแรกอาจทำเพียงน้อยครั้งแล้วจึงเพิ่มขึ้นทั้งระยะเวลาและความถี่เมื่อชำนาญมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากท่านไม่แน่ใจว่าจะขมิบได้ถูกต้องหรือไม่ สามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้
“มะเร็งกระเพาะอาหาร” โรคร้ายแฝงตัวเงียบ แนะเลี่ยง 5 พฤติกรรมเสี่ยง
2.การรับประทานยา
การกินยาแอนติโคลิเนอร์จิก ช่วยในการบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณท่อปัสสาวะ ยาลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหูรูดที่ช่วยสนับสนุนกระเพาะปัสสาวะอยู่ โดยช่วยลดอาการปวดปัสสาวะและความถี่ในการถ่ายปัสสาวะ อย่างไรก็ดี ยาชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้ปากแห้ง มองเห็นภาพเบลอ และมีอาการท้องผูก
3.ฉีดโบท็อกซ์
การใช้โบท็อกซ์จำนวนเล็กน้อยที่กระเพาะปัสสาวะ โดยโบท็อกซ์ช่วยทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่หดหรือบีบตัวมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องรีบถ่ายปัสสาวะทันที
อย่างไรก็ตาม การรักษาโดยการฉีดโบท็อกซ์ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้จะพบปัญหาปัสสาวะลำบาก จนต้องใช้สายสวนปัสสาวะ นอกจากนี้คือต้องเข้ารับการฉีดอยู่เสมอเนื่องจากโบท๊อกซ์อยู่ได้เพียงประมาณแค่ 6 เดือนเท่านั้น จึงต้องฉีดใหม่ทุกๆ 6 - 12 เดือน
อาการ "ปวดท้อง" อย่าปล่อยไว้ รีบตรวจเช็ก บางโรคอาจต้องผ่าตัด
4.การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า
ในผู้ป่วยบางรายไม่สามารถบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือทำได้แต่ไม่ดีพอ การใช้กระแสไฟฟ้าขนาดต่ำไปกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานโดยตรงพบว่าสามารถทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวมีความแข็งแรงขึ้นได้เช่นเดียวกับการให้ผู้ป่วยบริหารอุ้งเชิงกรานด้วยตัวเอง นอกจากนี้การกระตุ้นด้วยไฟฟ้ายังมีผลโดยตรงให้กระเพาะปัสสาวะมีการคลายตัวได้ด้วย
5.การผ่าตัดแก้ไขปัสสาวะเล็ดด้วยสายคล้อง (Incontinence Sling)
ในอดีตการรักษาภาวะปัสสาวะเล็ดมักเป็นการผ่าตัดใหญ่ผ่านแผลเปิดหน้าท้อง แต่ปัจจุบันรักษาด้วยการผ่าตัดที่เรียกว่า Sling Procedure
"กลืนอาหารลำบาก - ปวดท้องบ่อย" ควรตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหาร
ทำความรู้จักการผ่าตัดแก้ไขปัสสาวะเล็ดด้วยสายคล้อง
การผ่าตัดปัสสาวะเล็ดด้วยสายคล้องแบบ Stress incontinence ในผู้หญิงคือ การใช้เชือก (Sling) ที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่อยู่ในรูปของโบว์เส้นเล็ก หรือจากเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ท่อปัสสาวะของผู้ป่วยเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมาใช้ทดแทนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่เสื่อมไป และช่วยพยุงท่อปัสสาวะโดยสายเชือกนี้จะทำหน้าที่พยุงท่อปัสสาวะไว้ขณะที่ผู้ป่วยไอ จาม หรือออกกำลังกาย เป็นการผ่าตัดทางช่องคลอดโดยการกรีดแผลเล็กๆ ที่ผิวช่องคลอดแล้วสอดสายเทปเข้าไปคล้องใต้ท่อปัสสาวะในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
- สายคล้องสอดหลังกระดูกหัวหน่าว (Retropubic Slings) วิธีนี้สายเชือกจะวิ่งอยู่ด้านหลังของกระดูกหัวหน่าว และทะลุผิวหนัง 2 ตำแหน่งเหนือกระดูกหัวหน่าว
- สายคล้องสอดผ่านขาหนีบ (Transobturator Slings) วิธีนี้สายเชือกจะผ่านออกทางผิวหนัง 2 ตำแหน่งบริเวณขาหนีบ
- สายคล้องสอดแผลเดียว (Single Incision Sling) วิธีนี้สายเชือกฝังอยู่ภายในเนื้อเยื่อ โดยไม่ผ่านออกมาที่ผิวหนัง
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใส่สายคล้องใต้ท่อปัสสาวะส่วนกลางแบบสอดอยู่หลังกระดูกหัวหน่าว หรือแบบสอดผ่านขาหนีบ พบว่าร้อยละ 80-90 จะมีอาการปัสสาวะเล็ดขณะออกแรงหายขาดหรือดีขึ้นหลังผ่าตัดส่วนใหญ่สตรีที่ได้รับการผ่าตัดใส่สายคล้องใต้ท่อปัสสาวะส่วนกลางจะฟื้นตัวกลับเป็นปกติภายใน 2 - 4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด บางรายอาจมีอาการเจ็บหรือเคืองๆ ที่บริเวณขาหนีบใน 2 สัปดาห์แรก มีน้อยรายอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดได้ในระยะ 7 - 10 วันหลังผ่าตัดได้
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน
ไอ จาม หัวเราะแล้ว "ปัสสาวะเล็ด" โรคนี้รักษาได้ ทวงคืนคุณภาพชีวิตดี - PPTVHD36
Read More







No comments:
Post a Comment