Rechercher dans ce blog

Thursday, October 13, 2022

“ภาวะเท้าแบน” คืออะไร? - ไทยรัฐ

“เท้าแบน” คือ ภาวะที่มีอุ้งเท้าน้อยหรือไม่มีเลย ขณะยืนลงน้ำหนัก เท้าจะราบไปกับพื้นทั้งหมด สามารถพบภาวะเท้าแบนได้ ทั้งแบบที่มีอาการและไม่มีอาการ รวมถึงภาวะเท้าแบนที่เป็นมาแต่กำเนิด หรือเป็นตอนที่เป็นผู้ใหญ่ (แต่เดิมไม่แบนแล้วแบนมากขึ้นเมื่อเทียบข้างตรงข้าม หรือแบนอยู่เดิมแล้วแบนมากขึ้น) ก็ได้

สาเหตุของภาวะเท้าแบนในเด็กเกิดจากโครงสร้างกระดูกหรือเส้นเอ็นมีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก ส่งผลให้เกิดภาวะเท้าแบนได้ ส่วนในผู้ใหญ่ ภาวะเท้าแบนอาจมีปัจจัยมาจากตัวผู้ป่วยเอง เช่น น้ำหนักตัวที่มากเกินไป อายุที่เพิ่มขึ้น การมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ส่งเสริมให้เกิดเท้าแบนเพิ่มขึ้น

ภาวะเท้าแบน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. เท้าแบนแบบยืดหยุ่น (flexible flat foot) เป็นเท้าแบนประเภทที่มีแนวโน้มที่ดีในการรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด เนื่องจากเส้นเอ็นและข้อมีความยืดหยุ่นซึ่งต้องอาศัยการตรวจร่างกาย การรักษาโดยการใส่อุปกรณ์พยุงอุ้งเท้ามักจะสามารถช่วยให้อาการจากภาวะเท้าแบนดีขึ้นได้

2. เท้าแบนแบบติดแข็ง (rigid flat foot) เท้าแบนประเภทนี้อาจใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเท้าในช่วงแรก แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเท้าและแก้ไขภาวะเท้าแบนให้ดีขึ้นอย่างถาวร การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดจึงเข้ามามีส่วนช่วยในผู้ป่วยกลุ่มนี้

อาการ

ภาวะเท้าแบนอาจทำให้มีอาการเจ็บบริเวณข้อเท้าด้านใน มีอาการเจ็บส้นเท้า ฝ่าเท้าหรือที่เรียกว่า “รองช้ำ” บางรายอาจคลำได้ก้อนนูนบริเวณด้านข้างข้อเท้า ค่อนไปด้านหน้า จะมีอาการเจ็บร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ เกิดจากการกดเบียดของเนื้อเยื่อบริเวณใต้ตาตุ่มด้านหน้าข้อเท้า

การวินิจฉัย

แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะเท้าแบนได้จากการซักประวัติอาการเจ็บตามตำแหน่งต่างๆ ที่กล่าวไป ร่วมกับการตรวจร่างกาย โดยหากมองจากด้านหน้า อาจพบว่ามีหัวแม่เท้าหรือนิ้วเท้าผิดรูปร่วม (หรือไม่ก็ได้) ช่วงกลางเท้าอาจไม่มีอุ้งเท้า คือเท้าติดกับพื้นเลย หรือมีความสูงอุ้งที่น้อยกว่าปกติ

มองส่วนหลังของส้นเท้า มักจะเห็นว่าส้นเท้าเฉียงชี้ออกทางด้านนอก ปลายเท้าแป ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้ารุนแรงมากก็จะเห็นนิ้วยื่นออกทางด้านข้างหลายนิ้ว นอกจากนี้ การส่งตรวจเอกซเรย์เพิ่มเติม ก็จะช่วยยืนยันการวินิจฉัย โดยดูจากกระดูกส่วนที่เป็นอุ้งเท้ามีการยุบตัวลงจากการที่เส้นเอ็นที่พยุงอุ้งเท้ามีการยืดออก ทำให้กระดูกยุบตัวลงตามไปด้วย

ภาวะเท้าแบน ไม่ใช่โรคที่มีอันตรายร้ายแรงอะไร แต่จะส่งผลให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตอย่างไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร เช่น ออกกำลังกายได้ลดลง การออกไปเดินทางท่องเที่ยวก็ไม่สนุกเท่าที่ควร เนื่องจากจะมีอาการปวดเวลาที่ต้องยืน หรือเดินนานๆ บางรายเดินเร็วไม่ได้เหมือนที่เคยทำได้ เป็นต้น

ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานแล้วมีอาการเท้าชาร่วมด้วย ก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับผู้ป่วยได้ เช่น หากเท้าผิดรูปแล้วเกิดแผลขึ้นตามตำแหน่งที่มีกระดูกนูน แต่เนื่องจากอาการชาทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าเป็นแผล ก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อและการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อันตรายตามมา

การรักษา แบ่งออกเป็น 2 วิธี ดังนี้

1. การรักษาเชิงอนุรักษ์ (ไม่ผ่าตัด) โดยการปรับพฤติกรรมการใช้งานให้น้อยลง หรือเหมาะสมกับสภาพความผิดรูป การให้ยาแก้ปวดรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวด การใช้อุปกรณ์เสริมอุ้งเท้าและส้นเท้า ก็จะช่วยแก้ไขความผิดปกติของรูปเท้าได้ในระดับหนึ่ง ทำให้เส้นเอ็นที่อักเสบทำงานลดลง

นอกจากนี้ แนะนำให้ฝึกยืดกล้ามเนื้อน่องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการติดยึดของเอ็นร้อยหวายและเอ็นน่อง หากรักษาด้วยวิธีนี้เป็นเวลาประมาณ 6 เดือนแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณารักษาโดยวิธีการผ่าตัด

2. การรักษาโดยการผ่าตัด เป็นการรักษาที่รวมหลายๆ หัตถการเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ถ้ามีการเสียหายหรือเสื่อมของเส้นเอ็นด้านในข้อเท้า หรือหากมีการฉีกขาดแล้วสามารถเย็บซ่อมได้ ก็จะเย็บซ่อมและตัดเส้นเอ็นที่มีความเสื่อมออกไป ซึ่งกรณีนี้ จะต้องนำเส้นเอ็นบริเวณใกล้เคียงมาช่วยเสริมแรงด้วย และจะต้องทำร่วมกับการตัดกระดูกบริเวณส้นเท้า เพื่อทำให้เส้นเอ็นที่ย้ายมาช่วยนั้นทำงานลดลง ไม่เช่นนั้น เวลาเดินลงน้ำหนักซ้ำๆ เส้นเอ็นก็จะกลับไปฉีกหรือยืดเหมือนเดิม เพราะโครงสร้างหลักคือกระดูกยังคงผิดรูป

หลังจากที่ผ่าตัดบริเวณส้นเท้าแล้ว หากเท้าส่วนหน้ายังมีความผิดรูปอยู่ ก็จะทำการปรับแก้ที่เท้าส่วนหน้าร่วมด้วย ซึ่งจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป

หลังการรักษาโดยการผ่าตัด อาการปวดก็จะดีขึ้น เนื่องจากเส้นเอ็นที่เสื่อมและอักเสบทำงานลดลง กระดูกส้นเท้ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปจากเดิม ทำให้เมื่อลงน้ำหนัก แรงกระแทกจะกระจายไปทางด้านนอกเพิ่มขึ้น

การป้องกัน

ภาวะเท้าแบนเป็นภาวะที่ไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากบางปัจจัยเกิดจากตัวผู้ป่วยเอง เช่น พันธุกรรม โรคประจำตัว น้ำหนักตัวเกิน ส่วนที่จะป้องกันได้ก็คือ การหาแผ่นรองอุ้งเท้ามาพยุงอุ้งเท้าไว้ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่สร้างการบาดเจ็บได้ง่าย ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เท้าแบนเพิ่มขึ้นหรือเกิดขึ้นช้าลง

หากใครที่มีภาวะเท้าแบน ร่วมกับมีอาการปวดส้นเท้า ปวดด้านหน้าเท้า แม้ว่าจะหาอุปกรณ์มาใส่หรือเปลี่ยนรองเท้าแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น การทำกิจกรรมบางอย่างที่เคยทำได้แล้วทำไม่ได้ หรือทำได้ลดลง มีอาการเท้าเอียง ท่าทางการเดินเปลี่ยนไป ก็ควรมาพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษา

-----------------------------------------------------

แหล่งข้อมูล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์จักรพงษ์ อรพินท์ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

Adblock test (Why?)


“ภาวะเท้าแบน” คืออะไร? - ไทยรัฐ
Read More

No comments:

Post a Comment

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...