Rechercher dans ce blog

Wednesday, June 8, 2022

"ฝีดาษลิง" แพร่พร้อมกัน 2 พันธุ์ WHO ชี้ระบาดใหญ่ผลจาก "ไนจีเรีย" ถูกละเลย - PPTVHD36

"ฝีดาษลิง" แพร่พร้อมกัน 2 พันธุ์ WHO ชี้ระบาดใหญ่ผลจาก "ไนจีเรีย" ถูกละเลย
ข่าว
เผยแพร่: 2.2k

ฝีดาษลิงระบาดอย่างน้อยสองสายพันธุ์ไปพร้อมกัน ห่วงการแยกกักตัวจะส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าโรคโควิด-19

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง ทั้งการกลับมาระบาด สายพันธุ์ของไวรัส และการพัฒนาชุดตรวจ ดังนี้

  • WHO แจงว่าเกิดการระบาดใหญ่ที่ผิดปรกติของไวรัสฝีดาษลิงนอกทวีปแอฟริกาอย่างรวดเร็วภายใน 3 อาทิตย์ ส่งสัญญาณอันตรายว่าไวรัสได้เปลี่ยนไป ทั่วโลกต้องช่วยกันยุติการระบาดก่อนจะสายกลายเป็นโรคประจำถิ่น
  • สาเหตุหลักน่าจะมาจากการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงเมื่อ 5 ปีก่อนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันใน “ไนจีเรีย” ที่ถูกละเลย

ไทยเพิ่ม “ฝีดาษวานร” เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังลำดับที่ 56

เผยข้อแตกต่างการระบาด "ฝีดาษลิง" ในแอฟริกาและยุโรป

"ฝีดาษลิง" แพร่พร้อมกัน 2 พันธุ์ WHO ชี้ระบาดใหญ่ผลจาก "ไนจีเรีย" ถูกละเลย
  • WHO ย้ำว่าไวรัสฝีดาษลิงไม่ใช่เชื้อไวรัสที่ติดต่อ "ผ่านสารคัดหลั่งในช่องคลอดและอสุจิขณะมีเพศสัมพันธ์" เหมือนเชื้อไวรัสเอชไอวี  แต่สามารถติดต่อกันได้ "ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์" เช่นเดียวกับหวัด หรือโควิด และไม่ใช่โรคเฉพาะเกย์ 
  • บางประเทศเริ่มพบการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงอย่างน้อยสองสายพันธุ์ (clade) ไปพร้อมกัน เช่นที่สหรัฐอเมริกา ยังไม่ทราบความแตกต่างของการระบาดและความรุนแรงของอาการระหว่าง 2 สายพันธุ์
  • นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเริ่มระดมถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม จำนวน 2 สองแสนตำแหน่งของไวรัสฝีดาษลิงขึ้นแบ่งปันบนฐานข้อมูลโลก "GISAID"
  • WHO แถลงล่าสุดมีผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงแล้วอย่างรวดเร็วกว่า 800 ราย (6 มิ.ย. 2565) ในช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่ที่ WHO คาดว่าจะเกิดตามมาคือการแยกกักตัว
  • ไวรัสฝีดาษลิงมีการแยกกักตัวตั้งแต่ขึ้นตุ่มจนตกสะเก็ด (infectious period) กินเวลานานถึง 2-4 สัปดาห์ ซึ่งยาวนานกว่าไวรัสโคโรนา 2019 มาก อันน่าจะส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าโรคโควิด-19 ที่ระยะแยกตัวสั้นกว่า ทั้งด้านเศรษฐกิจ (ปัญหาการต้องหยุดประกอบอาชีพนานร่วมเดือน) สังคม และสาธารณสุข (ค่าใช้จ่ายในระหว่างการกักแยกตัวเอง นานร่วมเดือน)  หากมีการระบาดใหญ่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย 

จุดกำเนิดการระบาดใหญ่

เกือบห้าปีก่อน (พ.ศ. 2560) ได้เกิดการระบาดของโรคฝีดาษลิงอย่างไม่ปรกติในไนจีเรีย ซึ่งอยู่ห่างไกลไปทางตะวันตกของแอฟริกา โดยพบเด็กชายอายุ 11 ขวบเกิดแผลที่บริเวณผิวหนังในเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 จากการสืบสวนโรคเป็นการระบาดจากสัตว์สู่คน เดิมแพทย์ผู้รักษาสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสสุกใสแต่จากการทดสอบทางห้องปฏิบัติการบ่งชี้ว่าเป็นโรคฝีดาษลิง โดยมีการแพร่ไปยังผู้อื่นอีก 12 คน โรคจึงถูกควบคุมสงบลง และที่ผิดปกติมากกว่านั้นคือตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันปี 2565  

"หมอแล็บ" เผยข้อมูลจาก CDC ใส่หน้ากากอนามัยช่วยป้องกัน "ฝีดาษลิง" ได้

ในไนจีเรียยังพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติมาอย่างต่อเนื่องจำนวนมากกว่า 500 ราย อันอาจเนื่องมาจากไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ ผู้ป่วยจำนวนมากเป็นผู้ชาย และหลายคนมีรอยโรคที่อวัยวะเพศ ทำให้ตรวจคัดกรองได้ยากเนื่องจากตุ่มแผลอยู่ใต้ร่มผ้าซึ่งบ่งชี้ว่ามีการติดต่อระหว่างมีเพศสัมพันธ์ซึ่งดูจะแตกต่างจากการแพร่ติดต่อของไวรัสฝีดาษลิงในอดีตซึ่งติดต่อจากสัตว์สู่คนด้วยการสัมผัสสัตว์ป่วย ถูกสัตว์กัดหรือข่วน กินเนื้อสัตว์ที่ไม่สุก โดยจะมีตุ่มแผลเกิดขึ้นตามหน้าและตัว 

แต่เนื่องจากโรคฝีดาษลิงเกิดขึ้นในประเทศที่ยากจนและอยู่ห่างไกลจากประเทศที่พัฒนาแล้ว  ปัญหาจึงไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไขเท่าที่ควร แม้ว่าสาธารณสุขไนจีเรียได้ร้องขอความช่วยเหลือเรื่องการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงจากประชาคมโลกมาโดยตลอดก็ตาม ในปี 2560 ได้เกิดการระบาดของโรคฝีดาษลิงอย่างไม่ปรกติในยุโรป สหราชอาณาจักร และอิสราเอล จากผู้ที่เดินทางมาจากไนจีเรีย แต่โรคก็ถูกควบคุมให้สงบลงได้

ฝีดาษไม่ได้แพร่เชื้อเหมือน HIV

WHO แถลงว่าไวรัสฝีดาษลิงไม่ใช่เชื้อไวรัสที่ติดต่อ "ผ่านสารคัดหลั่งในช่องคลอดและอสุจิขณะการมีเพศสัมพันธ์" เหมือนเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ C ซึ่งจะสามารถแพร่กระจายผ่านทางน้ำอสุจิและของเหลวในช่องคลอด (ยังไม่มีข้อมูลว่าพบไวรัสฝีดาษลิงในน้ำอสุจิและของเหลวในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ) แต่สามารถติดต่อได้ "ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์" ได้เช่นเดียวกับโรคหวัด และโควิด-19 เพราะเป็นโรคติดต่อจากการสัมผัสใกล้ชิด

แม้ว่าในการระบาดล่าสุดของไวรัสฝีดาษลิงจะแพร่กระจายในหมู่ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายหรือเกย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคติดต่อเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย  ทุกคนไม่ว่าเพศใด  อายุใด มีโอกาสติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงได้เช่นกัน 

"ฝีดาษลิง" แพร่พร้อมกัน 2 พันธุ์ WHO ชี้ระบาดใหญ่ผลจาก "ไนจีเรีย" ถูกละเลย

ทำไมไวรัสฝีดาษลิงถึงกลับมาระบาดใหญ่

ผู้เชี่ยวชาญกำลังหาคำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดว่าเหตุใดไวรัสฝีดาษลิงสามารถหลบเรดาร์การตรวจจับมาตั้งแต่ พ.ศ. 2560 จนกลับมาระบาดใหญ่ในประเทศนอกทวีปแอฟริกาในปี พ.ศ. 2565 จากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีประวัติเดินทางไปยังประเทศในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไนจีเรียโดยอาจเป็นไปได้ว่า

1. มีเหตุการณ์บางอย่าง เช่น งานชุมนุมใหญ่ที่มีคนจำนวนมากมาเข้าร่วม เช่น งานชุมนุมชายรักชาย (Gay pride) ที่สเปน ทำให้ไวรัสฝีดาษลิงบางคนมีโอกาสได้แพร่กระจายระหว่างคนสู่คนได้มากยิ่งขึ้น เมื่อผู้เข้าร่วมงานที่มีการติดเชื้อระหว่างการชุมนุมได้เดินทางกลับไปยังประเทศที่ตนพำนักอยู่ก็เกิดการระบาดใหญ่ติดตามมา

2. ไวรัสฝีดาษลิงซึ่งเป็นโรคประจำถิ่นเดิมมีการระบาดจากสัตว์สู่คนเป็นระยะๆ ได้มีวิวัฒนาการกลายพันธุ์มาเป็นลำดับจนสามารถระบาดติดต่อระหว่างคนสู่คนได้ดีขึ้น 

3. ไวรัสฝีดาษลิงอาจมีแพร่ระบาดระหว่างคนสู่คนมาระยะหนึ่งแล้วแต่เราตรวจไม่พบ

มีการระบาดสองสายพันธุ์ควบคู่กันไป

การระบาดของไวรัสฝีดาษลิงแตกต่างจากไวรัสโคโรนา 2019  ที่เราคุ้นเคย เช่น แต่ละสายพันธุ์ (clade) ของไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์หลักหรือสายพันธุ์ย่อย จะทยอยระบาดออกมาแทนที่กัน เช่น เดลต้าระบาดมาแทนที่ อัลฟา และ เบตา ในขณะที่โอไมครอนระบาดมาแทนที่เดลตา เป็นต้น  แต่ลักษณะการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงดูเหมือนหลายสายพันธุ์จะสามารถระบาดไปพร้อมกันได้  

ตั้งแต่พฤษภาคม พ.ศ.2565 ได้มีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสฝีดาษลิงที่พบการระบาดในทวีปยุโรป อเมริกา และ ออสเตรเลีย ในประเทศ สเปน, เนเธอร์แลนด์, ฟินแลนด์, ออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์, สโลวีเนีย, อิตาลี, อิสราเอล, ฝรั่งเศส, เบลเยียม,  เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส พบว่าเป็นไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ดั้งเดิมที่ระบาดเป็นโรคประจำถิ่นในแอฟริกามากกว่า 40 ตำแหน่ง 

อย่างไรก็ตามในหลายประเทศ เช่น ในกรณีศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (US CDC) ได้สุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั่วสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2565 พบว่ามีการระบาดไวรัสฝีดาษลิงไม่น้อยกว่าสองสายพันธุ์ควบคู่กันไป สายพันธุ์แรกมีพันธุกรรมคล้ายคลึงกับบรรดาสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในยุโรปในขณะนี้ (ปี 2565) ซึ่งผู้ติดเชื้อไม่ได้มีประวัติการเดินทางไปไนจีเรีย  ส่วนสายพันธุ์ที่สองพบว่ามีพันธุกรรมคล้ายคลึงกับสายพันธุ์จากผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับมาจากไนจีเรียเมื่อปี 2564 US 

CDC คาดคะเนว่าได้มีไวรัสฝีดาษลิงเข้ามาระบาดในสหรัฐอเมริกาแบบเงียบๆ มาระยะหนึ่ง  โดยกำลังสอบสวนจากการถอดรหัสพันธุกรรมว่าได้เข้ามาระบาดแล้วกี่ระลอก และแต่ละระลอกมีอาการการติดเชื้อแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร

หากมีการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงเกิดขึ้นในประเทศซึ่งไม่เคยมีการระบาดมาก่อน เช่น ประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีบสืบสวนถอดรหัสพันธุกรรมอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งอาทิตย์ เพื่อให้ทราบว่าเป็นการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ไหนเพื่อสามารถจัดการป้องกัน ดูแล และรักษาให้สอดคล้องกับแต่ละสายพันธุ์ที่เข้ามาระบาดและแพร่จำนวนในประเทศไทย

WHO เผยข้อเท็จจริง "ฝีดาษวานร" เมื่อติดเชื้อแล้วใช้ยาอะไรรักษา

กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาการต้องระวังจากภาวะ "ลองโควิด" (Long COVID)

"ฝีดาษลิง" แพร่พร้อมกัน 2 พันธุ์ WHO ชี้ระบาดใหญ่ผลจาก "ไนจีเรีย" ถูกละเลย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ พัฒนาการตรวจขึ้นสองแบบคือ 

1. พัฒนาการตรวจ Massarray genotyping อันเป็นการตรวจกรองเบื้องต้น หลังจากการตรวจ PCR ให้ผลบวก ที่สามารถตรวจกรองและคัดแยกไวรัสเหล่านี้ที่ก่อให้เกิดตุ่มน้ำบริเวณผิวหนังที่แยกยากจากตุ่มน้ำจากการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงในระยะแรก ไปพร้อมกันในการทดสอบเพียงครั้งเดียว (single tube reaction)  

  • a. Herpes Simplex virus type 1 หรือ เชื้อ HSV-1 ที่มักพบการติดเชื้อเป็นตุ่มน้ำบริเวณปากหรือรอบๆ ปาก 
  • b. Herpes Simplex virus type 2 หรือ เชื้อ HSV-2 เป็นการติดเชื้อในลักษณะตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ หรือ อวัยวะเพศ ช่องคลอด ปากมดลูก ทหารหนัก อวัยวะเพศชาย ถุงอัณฑะ ฯลฯ
  • c. Herpes Simplex virus type 3 หรือ HSV-3 ก่อให้เกิดสุกใส  chickenpox (varicella) และงูสวัด shingles (herpes zoster) เกิดตุ่มน้ำขึ้นเช่นเดียวกัน
  • d. ไวรัสฝีดาษลิงที่กำลังระบาดในทวีป ยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย อยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสฝีดาษลิงดั้งเดิม >40 ตำแหน่ง
  • e. ไวรัสฝีดาษลิงที่ระบาดในปี 2560 จากประเทศไนจีเรีย ทวีปแอฟริกา ซึ่งยังไม่มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ดั้งเดิม
  • f. ไวรัสฝีดาษคน (smallpox) ที่ผู้ติดเชื้อผู้ใหญ่มีอัตราการเสียชีวิต 30% และในเด็กสูงถึง 80% ปัจจุบันคาดว่าได้ถูกขจัดสูญพันธุ์ไปแล้ว

2. การถอดรหัสพันธุ์อย่างรวดเร็วในลักษณะของ “Metagenomic” ซึ่งสามารถบ่งชี้จุลชีพและไวรัสอาร์เอ็นเอหรือดีเอ็นเอ ทุกประเภท และทุกสายพันธุ์ จากสิ่งส่งตรวจ เพื่อให้ทราบว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับจุลชีพหรือไวรัสประเภทใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของไวรัสฝีดาษลิงซึ่งตอนนี้เรายังไม่มีข้อมูลมากพอเพียงที่จะระบุได้ว่าจะเป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ไหนและมีการกลายพันธุ์ไปอย่างไร เพื่อการดูแล ป้องกันและรักษา ได้ทันท่วงที รวมทั้งร่วมด้วยช่วยกันเร่งแชร์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมของไวรัสฝีดาษลิงที่ถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมขึ้นบนฐานข้อมูลโลก “GISAID” และ "Nextstrain"(ภาพ2-3,7) เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์จากทุกประเทศได้นำไปใช้ประโยชน์เพื่อร่วมด้วยช่วยกันยุติการแพร่ระบาดของไวรัสฝีดาษลิงลงโดยเร็วที่สุด เพื่อมิให้เกิดเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศที่ไม่เคยมีการระบาดมาก่อน

บทสัมภาษณ์ ดร.โรซามันด์ เลวิส (Rosamund Lewis)  หัวหน้าฝ่ายเทคนิคโรคฝีดาษลิง WHO
https://ift.tt/oFluAyG

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

PPSHOP

Adblock test (Why?)


"ฝีดาษลิง" แพร่พร้อมกัน 2 พันธุ์ WHO ชี้ระบาดใหญ่ผลจาก "ไนจีเรีย" ถูกละเลย - PPTVHD36
Read More

No comments:

Post a Comment

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...