Rechercher dans ce blog

Wednesday, August 31, 2022

รู้จัก "โรคแพนิก" อาการเป็นอย่างไร พร้อมวิธีรับมือที่ควรรู้ - ไทยรัฐ

โรคแพนิก” เป็นหนึ่งในโรคใกล้ตัวที่พบได้บ่อยมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์รอบตัว ความเครียด ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ล้วนส่งผลให้เกิดอาการแพนิกและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น หากรู้ถึงสาเหตุว่าโรคแพนิกเกิดจากอะไร ลักษณะอาการเป็นอย่างไร ตลอดจนวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ก็จะช่วยบรรเทาตลอดจนรักษาให้หายขาดได้

ทำความรู้จัก “โรคแพนิก” คืออะไร?

โรคแพนิก (Panic Disorder) หรือโรคตื่นตระหนก คือ โรคที่ทำให้รู้สึกตื่นตระหนก หวาดกลัว อึดอัด ตลอดจนเกิดความกังวลต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งผู้ป่วยบางรายมีอาการโรคแพนิก 2-3 ครั้งต่อปี แต่บางรายก็มีอาการ 2-3 ครั้งต่อวัน ส่งผลกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการเรียนโดยตรง

ลักษณะอาการโรคแพนิกเป็นอย่างไร?

เนื่องจากลักษณะอาการโรคแพนิกจะคล้ายกับโรคหัวใจ จนทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง แต่หากพิจารณาอาการอื่นๆ ร่วมด้วย จะพบว่าอาการดังต่อไปนี้เป็นอาการของโรคแพนิก

  • หัวใจเต้นแรง ใจสั่น หรือใจเต้นเร็วกว่าปกติ
  • เหงื่อออกทั้งตัว
  • มือ เท้า หรือตัวสั่นและเย็น
  • ท้องไส้ปั่นป่วน
  • หายใจไม่เต็มอิ่ม แน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ
  • เวียนศีรษะ ตาพร่ามัว คล้ายจะเป็นลม
  • รู้สึกเหมือนควบคุมตนเองไม่ได้
  • รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวเปลี่ยนแปลงไป
  • กลัวและกังวลว่ามีคนจะทำร้าย 
  • กลัวและกังวลว่าตนเองจะเสียชีวิต

อย่างไรก็ดี อาการโรคแพนิกเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 10-20 นาที แต่ในผู้ป่วยบางรายก็พบว่าอาการเหล่านี้จะคงอยู่นานถึงชั่วโมง

สาเหตุโรคแพนิกที่ไม่ควรมองข้าม

โรคแพนิกเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานผิดปกติ ซึ่งปัจจัยที่เป็นสาเหตุโรคแพนิกนั้นแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

1. ปัจจัยด้านกายภาพ เช่น พันธุกรรมจากคนในครอบครัว ระดับฮอร์โมนในร่างกาย การรับสารเคมีจากยาหรือการทำงาน ความผิดปกติของสมอง
2. ปัจจัยด้านจิตใจ เช่น เหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เหตุการณ์อุบัติเหตุ เหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเผชิญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจ
3. ปัจจัยภายนอก เช่น ความเครียดสะสม การนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน การพักผ่อนน้อย การใช้คอมพิวเตอร์หรือการจ้องจอโทรศัพท์ติดต่อกันหลายชั่วโมง เป็นต้น

โรคแพนิกห้ามกินอะไร?

แม้ว่าโรคแพนิกจะมีอาการไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ เข้ารับการรักษา ตลอดจนปรับพฤติกรรมของตนเองร่วมด้วย เริ่มตั้งแต่การพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย ตลอดจนการปรับพฤติกรรมการกิน

ทั้งนี้ ผู้ป่วยเป็นโรคแพนิกห้ามกินอาหารที่มีส่วนประกอบของโมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส อาหารที่มีน้ำตาลสูง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาเฟอีน ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังชนิดต่างๆ ตลอดจนน้ำอัดลม เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นร่างกายและอารมณ์ให้เปลี่ยนแปลง

โรคแพนิกวิธีรักษาทางการแพทย์ทำได้อย่างไร?

วิธีรักษาโรคแพนิกทางการแพทย์จะพิจารณาอาการและจ่ายยารักษาตามระดับความรุนแรงหรือตามกลุ่มอาการ เช่น ยาคลายเครียด ยานอนหลับ สำหรับควบคุมและดูแลอาการในช่วงแรก แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้หากกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดอาการติดยาได้ แพทย์จึงอาจจะปรับเป็นยากลุ่มออกฤทธิ์ช้าแทน ทั้งนี้จะต้องรักษาควบคู่กับการปรับวิธีคิด การดูแลบำบัดจิตใจ ตลอดจนการฝึกหายใจ

ยาที่ใช้รักษาโรคแพนิกอาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาการง่วง ซึม วิงเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว อาเจียน หรือคลื่นไส้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนกินยาเสมอ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

5 วิธีรับมือโรคแพนิก เมื่อเกิดอาการฉับพลัน

1. หายใจเข้าออกช้าๆ 
2. ตั้งสติอยู่เสมอ 
3. เผชิญหน้ากับอาการหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้น
4. สังเกตอาการตนเองและเผชิญหน้ากับความกลัวนั้นๆ 
5. ปล่อยใจให้สบาย หากทำแบบนี้บ่อยครั้ง อาการ ความกลัว หรือความรุนแรงจะค่อยๆ บรรเทาลง

แต่หากพบว่าคนรู้จักหรือคนใกล้ตัวเป็นผู้ป่วยโรคแพนิก อาการกำเริบ ก็สามารถปฐมพยาบาลง่ายๆ เริ่มจากตั้งสติและประเมินระดับความรุนแรงของอาการ รับฟังปัญหาหรือความกลัว พยายามทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย ให้คำแนะนำเรื่องการกำหนดลมหายใจช้าๆ และหากอาการดังกล่าวยังไม่รุนแรง อาจจะแนะนำให้เข้าพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคแพนิกก่อนอาการรุนแรงขึ้น

โรคแพนิก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถึงแม้ว่าจะไม่อันตราย แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเข้ารักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ นอกจากนี้ โรคแพนิกไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากพบว่าคนใกล้ตัวหรือคนรู้จักมีอาการโรคแพนิก เพียงแค่ทำความเข้าใจและให้กำลังใจก็จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นได้

Adblock test (Why?)


รู้จัก "โรคแพนิก" อาการเป็นอย่างไร พร้อมวิธีรับมือที่ควรรู้ - ไทยรัฐ
Read More

"โรคกินไม่หยุด" คืออะไร ไม่หิวก็กิน เช็ค อาการ แบบไหนเข้าข่าย ต้องรักษา - คมชัดลึก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"โรคกินไม่หยุด" คืออะไร ไม่หิวก็กินตลอดเวลา ไม่รู้สึกอิ่ม เช็ค อาการ แบบไหนเข้าข่าย เป็นแล้ว รักษาหาย หรือไม่

มีใครเคยเจอกับปัญหา กินไม่หยุด บ้าง แม้จะไม่รู้สึกหิวก็ยังกิน อยู่ตลอดเวลา แบบชนิดที่เรียกว่าหยุดไม่ได้ พอน้ำหนักขึ้นก็รู้สึกแย่กับตัวเอง หากใครเจออาการในลักษณะนี้ พึงตระหนักไว้ได้เลยว่า คุณไม่ได้แค่จะอ้วน แต่เป็นอาการผิดปกติ ที่เรียกกันว่า "โรคกินไม่หยุด" ซึ่งนักร้องหนุ่ม "ไอซ์ ศรัณยู" เคยเผชิญกับโรคนี้มาแล้ว ถึงขั้นต้องพบกับจิตแพทย์ และนักโภชนาการ โดยสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคนี้เกิดจากการโดนทักบ่อยว่า "อ้วน" เช็คอาการเสี่ยง แบบไหนเข้าข่าย และหากเป็นแล้วรักษาได้หรือไม่ คมชัดลึกออนไลน์ รวบรวมคำตอบมาให้แล้ว

โรคกินไม่หยุดคืออะไร?

โรคกินไม่หยุด  หรือ Binge Eating Disorder (BED) คือ อาการรับประทานอาหารปริมาณมากผิดปกติ โดยที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ผู้ที่มีอาการโรคกินไม่หยุดนี้ มักมีการรับประทานอาหารปริมาณมากกว่าปกติแม้ไม่รู้สึกหิว และไม่สามารถควบคุมการรับประทานของตนเองได้ เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้มากในเพศหญิง ช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป สาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดโรคยังไม่ชัดเจน อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการทานอาหารไม่หยุดแม้จะไม่รู้สึกหิว และจะหยุดก็ต่อเมื่อไม่สามารถทานต่อได้แล้วโดยจะส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง

สาเหตุของโรคกินไม่หยุด

สาเหตุของอาการโรคกินไม่หยุด ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด แต่คาดว่าอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยเป็นตัวกระตุ้น และปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดโรคนี้ เช่น

โรคกินไม่หยุด

  • โรคอ้วน โดยพบว่าผู้ที่มีอาการโรคกินไม่หยุด มักมีโรคอ้วนเป็นโรคประจำตัว
  • ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ขาดความมั่นใจในรูปร่าง และมีความพึงพอใจในรูปร่างของตนเองต่ำ
  • เสพติดการลดน้ำหนัก เครียดกับการลดน้ำหนัก หรือเคยล้มเหลวในการลดน้ำหนัก
  • เคยผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจ
  • มีประวัติคนในครอบครัวมีความเกี่ยวข้องกับโรคการกินผิดปกติ
  • มีภาวะทางจิต อาทิ โรคซึมเศร้า โรคเครียด โรคไบโพลาร์ โรคกลัว (Phobias) และภาวะป่วยทางจิตหลังเหตุการณ์รุนแรง (Post-traumatic Stress Disorder: PTSD)

อาการของโรคกินไม่หยุด

  • กินอาหารมากกว่าปกติ และทุกครั้งที่เริ่มกินอาหาร ก็เหมือนจะควบคุมปริมาณอาหารที่กินเข้าไปไม่ได้
  • กินอาหารด้วยความรวดเร็วเสมอ ยังคงกินอีกได้เรื่อยๆ แม้จะรู้สึกอิ่มจนแน่นท้องแล้วก็ตาม
  • สามารถกินอาหารในปริมาณมาก ๆ ได้ แม้จะไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด
  • ทุกครั้งที่เกิดอาการก็มักจะหลบไปกินคนเดียว เพราะอายที่จะให้ใครรู้ว่าตัวเองกินอาหารได้เยอะขนาดไหน
  • ยิ่งเครียด ยิ่งอารมณ์เสีย ยิ่งกินมากขึ้นๆ แต่จะรู้สึกผิดและรู้สึกแย่ทุกครั้ง หลังกินอาหารมื้อใหญ่เข้าไปแล้ว
  • มีพฤติกรรมแปลก ๆ คือกังวลกับน้ำหนักตัวและรูปร่าง แต่กลับกินไม่หยุด พยายามอย่างมากที่จะควบคุมตัวเอง หรือพยายามลดน้ำหนักอย่างหักโหมเกินพอดี แต่ก็เหมือนเอาชนะใจตัวเองไม่สำเร็จเท่าไร  รู้สึกเกลียดตัวเองทุกครั้งที่กินอาหาร

โรคกินไม่หยุด

หากตัวคุณเองหรือคนใกล้ชิดมีพฤติกรรม หรือเกิดอาการแบบนี้เกิน 3 ข้อขึ้นไป อาจจะต้องได้เวลาไปพบแพทย์เพื่อหาวิธีรักษา เพราะอาจส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพ หรือเป็นโรคร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น

  • โรคความดันโลหิตสูง 
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง
  • ภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน 
  • เบาหวานชนิดที่ 2 
  • ภาวะทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล 
  • ภาวะคอเลสเตอรอลสูง ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
  • ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อไทรอยด์
  • อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไข่ไม่ตก จึงทำให้ตั้งครรภ์ได้ยากขึ้นด้วย

โรคกินไม่หยุดแก้ยังไง

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : ออกกำลังกาย ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และไม่ปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะความเครียด
  • การใช้ยา : เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมีจุดประสงค์เพื่อจัดการสมดุลภายในสมอง และลดโอกาสเกิดอาการของโรคกินไม่หยุด แต่ด้วยผลข้างเคียงจากการใช้ยาจึงต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • การทำจิตบำบัด : มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยเรียนรู้สาเหตุ และอาการของโรคเพื่อรับมืออาการและสามารถจัดการกับความคิดด้านลบต่อร่างกายของตนเองได้

โรคกินไม่หยุดต้องใช้ความอดทน และความมีวินัยในการรักษา การได้รับกำลังใจ และความเข้าใจจากคนรอบข้างจึงเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จ และสิ่งสำคัญก็คือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ต้องเข้าใจในพฤติกรรม หรืออาการป่วยของตัวเองก่อน ว่าตัวเราเองตอนนี้เป็นผู้ป่วย ต้องใช้การบำบัด และต้องเชื่อฟังหมอ เพื่อรักษาอาการของโรคนี้ให้หาย เพื่อที่จะกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก  รพ.รามคำแหง , รพ.พระราม 9

เพื่อไม่พลาด ข่าวสารต่างๆ คมชัดลึก ไปที่
Youtube - https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w
LineToday - https://today.line.me/th/v2/publisher/100057

เช็กรายชื่อศิลปินเข้าชิง "คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565" ใครคือ 6 Candidate กับ 8  สาขา Popular Vote 

https://www.komchadluek.net/entertainment/524524

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

Adblock test (Why?)


"โรคกินไม่หยุด" คืออะไร ไม่หิวก็กิน เช็ค อาการ แบบไหนเข้าข่าย ต้องรักษา - คมชัดลึก
Read More

'อาจารย์หมอมหิดล' ชงเก็บฟาวิพิราเวียร์เข้ากรุหายาตัวใหม่ใช้แทนได้แล้ว - ไทยโพสต์

'หมอนิธิพัฒน์' เผยตัวเลขโควิดเริ่มดีขึ้น เชื่อหาลดต่อเนื่องจะเดินหน้าประเทศเต็มที่ได้ ชี้ยุคโอไมครอนฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้อยู่ถึงเวลาเก็บเข้ากรุ หายาต้านไวรัสอื่นได้แล้ว

01 ก.ย.2565 - รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า สถิติโควิดวันนี้ ร้อยละการตรวจพบเชื้อในรอบเจ็ดวันที่ผ่านมาลดลงต่อเนื่องเหลือ 5.79% ถึงน้อยกว่า 5% เมื่อไรจะได้อุ่นใจเดินหน้าประเทศกันเต็มสูบ

ความมั่นคงทางยาและเครื่องมือแพทย์ เป็นหลักประกันหนึ่งของประเทศในยุคเปลี่ยนผ่านสำหรับโควิด ลองมาสำรวจดูว่าอาวุธที่เรามีใช้งานอยู่ ทั้งผลิตได้เองในประเทศและที่ต้องนำเข้า ยังมีประสิทธิผลดีเพียงพอหรือไม่ ในการรับมือกับโอไมครอน BA.5 ซึ่งยังเป็นขาใหญ่ครองตลาดอยู่ในขณะนี้

เริ่มจากการป้องกันก่อนติดเชื้อ สำหรับคนที่แนวโน้มภูมิคุ้มกันจะขึ้นไม่ดีหลังฉีดวัคซีน บ้านเราได้จัดเตรียมแอนติบอดี้ออกฤทธิ์นาน ยี่ห้อ Evusheld ไว้ในปริมาณเพียงพอระดับหนึ่ง แม้จะมีข่าวว่ารัฐบาลอังกฤษชะลอการจัดซื้อยานี้ออกไป แต่ประเทศอื่นส่วนใหญ่ยังไว้ใจในอาวุธสำคัญชิ้นนี้ และมีการสั่งซื้อเตรียมพร้อมไว้ใช้งานได้เพียงพอในประเทศ

ในบทความตามลิงค์ https://ift.tt/OZgwCv4... กล่าวถึงผลการใช้ยานี้ในโลกแห่งความเป็นจริงจากหลายภูมิภาค โดยคณะผู้นิพนธ์ได้ทำการทบทวนวรรณกรรมจาก 5 การศึกษา ส่วนใหญ่ทำในช่วงที่มีการระบาดของโอไมครอนแล้ว ครอบคลุมประชากรราวเกือบหนึ่งหมื่นห้าพันคน เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับและไม่ได้รับยานี้ซึ่งมีอย่างละครึ่งใกล้เคียงกัน พบว่า Evusheld สามารถช่วยลดอัตราตายลงได้ราวครึ่งหนึ่ง แต่อาจมีข้อจำกัดบ้างที่ประชากรที่ทำการศึกษาได้รับวัคซีนโควิดมาแตกต่างกัน และขนาดยาที่ใช้ในแต่ละการศึกษายังมีความแตกต่างกันไปบ้าง สำหรับในบ้านเราเองกำลังติดตามผลการใช้รักษาจริงหน้างาน และถ้าเป็นได้ผมกำลังชักชวนนักวิจัยในประเทศที่สนใจด้านเภสัชวิทยา เพื่อทำการศึกษาถึงขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับคนไทย

ถัดมาเป็นยาที่ใช้เมื่อเราติดเชื้อแล้วไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยเหมือนไข้หวัด ฟ้าทะลายโจรช่วยบรรเทาอาการได้เร็ว และอาจช่วยป้องกันโรคลุกลามได้ ทีมนักวิจัยจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำการสร้างแบบจำลองเพื่อหาขนาดยาที่เหมาะสม พบว่าถ้าจะให้ได้ผลดี วันแรกควรกินยาฟ้าทะลายโจร ในขนาดที่เพิ่มเป็นสองเท่าจากขนาดซึ่งแนะนำกันอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ได้ปริมาณสารออกฤทธิ์คือ andrographolide (APE) เป็น 360 มิลลิกรัมในวันแรก คือ จากเดิมที่ให้กินวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 3 เม็ดถ้าเป็นยาที่มี APE เม็ดละ 20 มิลลิกรัม หรือ ครั้งละ 5 เม็ดถ้าเป็นชนิดมี 12 มิลลิกรัม ก็ต้องเพิ่มเป็นครั้งละ 6 หรือ 10 เม็ดแล้วแต่ปริมาณ APE ส่วนอีกสี่วันที่เหลือจึงค่อยกินยาต่อในขนาดซึ่งแนะนำในปัจจุบัน แต่ต้องเน้นกันไว้ก่อนว่า ขนาดยาที่สูงขึ้นสองเท่าในวันแรกนี้ ยังไม่มีการศึกษาในการใช้งานจริงว่ามีความปลอดภัย โดยเฉพาะในคนที่มีโรคตับอยู่ก่อน หรือกินยาอื่นที่มีผลต่อตับร่วมด้วย https://ift.tt/HLQ7VX1

อีกหัวข้อที่เป็นที่ถกเถียงในแวดวงวิชาการกันมาก คือยาฟาวิพิราเวียร์ จากประสบการณ์ของแพทย์ไทยดูจะได้ประโยชน์ดีในยุคแรกๆ จนมาถึงช่วงกึ่งกลางของระลอกเดลตา ที่ชักพบว่าถึงแม้ให้ยานี้เร็วก็รับมือกับโรคไม่ค่อยอยู่ คณะนักวิจัยจากหลายสถาบันในบ้านเราเอง ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยจำนวน 93 คน ที่ติดเชื้อมาไม่เกิน 10 วันและยังไม่มีปอดอักเสบ โดย 62 คนได้รับยาอีก 31 คนไม่ได้รับ พบว่าค่ามัธยฐานของการมีอาการของโรคโดยรวมดีขึ้นต่างกันชัดเจน คือ 2 วันในกลุ่มได้รับยาและ 14 วันในกลุ่มได้รับยา โดยกลุ่มที่ได้รับยาเกิดปอดอักเสบภายหลังน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหนึ่งเท่าตัว แต่ปอดอักเสบทั้งสองกลุ่มก็ไม่รุนแรงและหายได้ดี https://ift.tt/N6A8SDI...

ข้อสังเกตคือการศึกษานี้ทำในช่วงก่อนเดลตาระบาดเป็นส่วนใหญ่ โดยประชากรทั้งหมดไม่ได้รับวัคซีนโควิดมาเลย สำหรับเครื่องมือที่ใช้วัดอาการของโรคโดยรวมคือ NEWS นั้น นิยมใช้ในการจำแนกผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงว่าควรให้การรักษาเร่งด่วนหรือไม่ แต่การนำมาใช้ติดตามผู้ป่วยว่าอาการดีขึ้นยังไม่มีการศึกษาแพร่หลายว่าใช้งานได้ดี (NEWS ประกอบด้วยการให้คะแนนโดยดูจาก 6 องค์ประกอบ คือ อุณหภูมิ ชีพจร อัตราการหายใจ ความดันโลหิต ระดับความอิ่มตัวออกซิเจนปลายนิ้ว และระดับการรู้ตัว) นอกจากนี้เมื่อดูผลการกำจัดไวรัสไปจากร่างกายเร็วหรือช้า พบว่าทั้งสองกลุ่มไม่ต่างกัน

อีกการศึกษาหนึ่งจากมาเลเซียเพื่อนบ้านทางใต้ของเรา ที่คล้ายกันและทำในช่วงเวลาเดียวกัน เพียงแต่มีผู้เข้าร่วมถึง 500 คน โดยมีอาการปานกลางและฉีดวัคซีนไม่ถึง 5% จุดสนใจหลักคือการลุกลามของโรคจนเกิดภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด (hypoxemia) จุดสนใจรองคือ อัตราการต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อัตราต้องนอนไอซียู และอัตราการเสียชีวิต พบว่ากลุ่มที่ให้ยาเกิดจุดสนใจทั้งสี่คิดเป็น 18.4%, 2.4%, 5.2%, และ 2.0% ตามลำดับ เทียบกับในกลุ่มที่ไม่ได้ยาฟาวิพิราเวียร์เกิด 14.8%, 2.0%, 4.8%, และ 0% ตามลำดับ ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ข้อสรุปสำหรับผม ในยุคโอไมครอนที่คนไทยฉีดวัคซีนกันได้มากแล้ว ยาฟาวิพิราเวียร์ที่รับใช้เราในการต่อสู้กับโควิดมายาวนาน ได้เวลาเก็บเข้ากรุแห่งความทรงจำแล้ว มียาต้านไวรัสอื่นที่ได้ผลดีกว่าในราคาที่ไม่แตกต่างกัน #เตรียมพร้อมยุคหลังโควิด

Adblock test (Why?)


'อาจารย์หมอมหิดล' ชงเก็บฟาวิพิราเวียร์เข้ากรุหายาตัวใหม่ใช้แทนได้แล้ว - ไทยโพสต์
Read More

แพทย์ ย้ำเตือน ติดเชื้ออีสุกอีใส ไม่ใช้ แอสไพริน อาจถึงตาย - MCOT Plc

สถาบันสุขภาพเด็กฯ เตือนโรคอีสุกอีใส เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิดเดียวกับ งูสวัด แพร่กระจายได้ง่ายมาก เชื้ออยู่ในอากาศได้นาน การป้องกันเป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่ ผื่นจะขึ้นที่ลำตัว และใบหน้า ผู้ป่วยเด็กโต และผู้ใหญ่ พบติดเชื้อแทรกซ้อนได้บ่อย อาจติดเชื้อในกระแสเลือด ย้ำ..มีไข้ ไม่ควรใช้ แอสไพริน เพราะอาจเกิดอาการกับ สมองและตับ ทำให้ถึงตายได้

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 กรมการแพทย์ แนะโรคอีสุกอีใส เป็นโรคไข้ออกผื่น จะมีอาการไข้ และผื่นตุ่มน้ำใสที่ผิวหนังทั่วร่างกาย มักพบที่ลำตัว และใบหน้ามากกว่า บริเวณแขนขา บางราย อาจมีอาการทาง ระบบทางเดินหายใจ และระบบอื่น ๆ ร่วมด้วย พบได้บ่อยในเด็ก บางครั้ง อาจพบภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า สาเหตุของโรคอีสุกอีใส เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) เป็นเชื้อไวรัส ชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิด งูสวัด

โรคอีสุกอีใส จะมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คล้ายไข้หวัด และผื่นตุ่มน้ำใสที่ผิวหนัง ไข้จะสูง หรือน้อย และตุ่ม จะมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอายุ เด็กจะมีเพียงไข้ต่ำ ๆ และมีตุ่มจำนวนน้อย ในขณะที่เด็กโต และผู้ใหญ่ มักมีไข้สูง และตุ่มจำนวนมาก ผื่นในโรคอีสุกอีใส มีลักษณะเฉพาะ คือ ผื่นจะเริ่มจากตุ่มแดง กลายเป็นตุ่มใส และแตกออก เป็นสะเก็ด เมื่อผื่นขึ้นแล้ว 2 - 3 วัน จะเห็นตุ่มหลายชนิด ในเวลาเดียวกัน

ส่วนใหญ่ ผื่นจะขึ้นที่ลำตัว และใบหน้า มากกว่าแขนขา เด็กที่ป่วยเป็น อีสุกอีใส จะมีอาการ ไม่รุนแรง และพบภาวะแทรกซ้อน ทางปอด และทางสมอง ได้น้อยกว่า ผู้ป่วยเด็กโต อายุมากกว่า หรือเท่ากับ 13 ปี และผู้ใหญ่ แต่พบการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อนที่ผิวหนังได้บ่อย ทำให้เกิดแผลเป็นที่ผิวหนัง และอาจถึงขั้น ทำให้เกิดการติดเชื้อ ในกระแสเลือดตามมา

โรคอีสุกอีใส สามารถแพร่กระจาย ไปยังผู้อื่นได้ง่ายมาก เพราะเชื้ออยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน และผู้ป่วยอีสุกอีใส สามารถแพร่กระจายเชื้อไปยัง คนอื่นได้หลายวัน ตั้งแต่ 1 - 2 วัน ก่อนมีไข้ และผื่น จนถึงเมื่อตุ่มสุดท้าย ตกสะเก็ด หรือประมาณ 7 วัน หลังจากผู้ป่วย เริ่มมีอาการ

นายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่หายเองได้ อาจจะมีไข้เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่ม จะตกสะเก็ด และค่อย ๆ หายใน 1 - 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ ถ้ามีไข้สูง ใช้ยา เพื่อลดไข้ได้ ไม่ควรใช้ แอสไพริน เพราะอาจทำให้เกิดอาการ ทางสมอง และตับ ทำให้ถึงตายได้

ควรอาบน้ำ และใช้สบู่ ฟอกผิวหนังให้สะอาด ควรตัดเล็บให้สั้น และหลีกเลี่ยงการแกะเกา เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ ในรายที่คันมาก ๆ อาจให้ยาแก้คัน ช่วยลดอาการคัน

การป้องกันโรคอีสุกอีใส เป็นเรื่องยาก เพราะผู้ป่วย สามารถแพร่เชื้อ ไวรัสอีสุกอีใส ให้ผู้อื่นได้ ตั้งแต่ช่วงออกอาการไข้ ไปจนถึงช่วงแผลแห้ง ตกสะเก็ด

ดังนั้นทางป้องกัน คือ ถ้าบุตรหลานป่วยเป็น อีสุกอีใส ต้องงดไปโรงเรียน ป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้คนอื่น และการฉีดวัคซีน อีสุกอีใส ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือก สำหรับเด็ก 1 ปีขึ้นไป

#กรมการแพทย์ #สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี #อีสุกอีใส

#BackboneMCOT
อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :

เว็บไซต์ : กรมการแพทย์
https://www.dms.go.th

เฟซบุ๊ก : กรมการแพทย์
https://www.facebook.com/100069182200543

เฟซบุ๊ก : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/Mordekchannel

เว็บไซต์ : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
https://pr.moph.go.th

Adblock test (Why?)


แพทย์ ย้ำเตือน ติดเชื้ออีสุกอีใส ไม่ใช้ แอสไพริน อาจถึงตาย - MCOT Plc
Read More

"เป็นเบาหวานควรกินอะไร" เปิดเมนู อาหาร ที่คนเป็น เบาหวาน กินได้ - คมชัดลึก

"เป็นเบาหวานควรกินอะไร" เมื่อคุณต้องป่วยด้วยโรคเบาหวาน คำถามนี้จึงถูกค้นหาบ่อยครั้ง พอ ๆกับ เป็นเบาหวานห้ามกินอะไรบ้าง เนื่องจาก "เบาหวาน" เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตา โรคของระบบประสาท เป็นต้น รวมทั้งข้อมูลในปัจจุบันยังพบว่า คนที่ติดเชื้อโควิด มีสิทธิป่วยเป็นโรคเบาหวานได้สูง กว่าคนที่ไม่เคยติดเชื้ออีกด้วย เมื่อไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เราจึงควบคุมเบาหวานได้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต (Lifestyle modification) จากการกินอาหาร

โรคเบาหวาน คืออะไร

เบาหวาน คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ซึ่งไม่สามารถหลั่งอินซูลิน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้

โรคเบาหวานมี 2 ชนิดคือ

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่พึ่งพาอินซูลินส่วนมากเกิดในเด็ก
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ต้องพึ่งพาอินซูลิน เกิดจากกรรมพันธุ์ ความอ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุงจากพฤติกรรมการกิน และสาเหตุอื่นๆ

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเบาหวาน

  • มีอาการกินจุ หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผู้หญิงมักมีอาการคันบริเวณช่องคลอดหรือขาหนีบ
  • โดยการตรวจเลือด (หลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง) สูงเกิน 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

ตรวจโรคเบาหวาน

"เป็นเบาหวานควรกินอะไร" อาหารเบาหวานเป็นอาหารปกติสำหรับคนทั่วไป แต่อาจต้องเลือกชนิดของอาหารให้มีคุณภาพและควบคุมปริมาณในการรับประทานที่เหมาะสม เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูง หรือต่ำจนเกินไป ซึ่งแต่ละสารอาหารควรมีข้อจำกัดดังนี้

1. คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารหลักที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากที่สุด

  • ข้าว แป้ง ควรรับประทาน ข้าวกล้องหรือข้าวไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีท ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย เนื่องจากมีใยอาหารสูง ช่วยในการชะลอระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • ผัก สามารถรับประทานได้ไม่จำกัด เนื่องจากให้พลังงานต่ำใยอาหารสูง ควรเน้นผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง ผักกาดขาว ผักบุ้งแต่อาจมีบางผักบางประเภทที่ควรจำกัดปริมาณการรับประทาน เช่น มันเทศ เผือก ฟักทอง แครอท เพราะมีปริมาณแป้งที่สูงมาก
  • ผลไม้ สามารถทานได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index)เช่น แอปเปิ้ล1ผลเล็ก ,ส้ม 1 ผลเล็ก,ฝรั่ง1ผลเล็ก,กล้วยหอม 1/2ผล,มะละกอ 6-8 ชิ้น/คำ,แก้วมังกร 1/2 ผล เป็นต้น ซึ่งในแต่ละวันอาจทานได้ 2-3 ครั้ง/วัน ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงน้ำผักผลไม้ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

2. โปรตีน ควรบริโภคเนื้อปลาและหรือเนื้อไก่เป็นหลัก โดยการทานปลามากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ จะทำให้ได้รับโอเมก้า 3 ซึ่งมีอยู่ในปลาแซลมอน,ทูน่า,ปลาทู,ปลาช่อน เป็นต้น และควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปต่าง ๆ เช่น ไส้กรอก,เบคอน,แฮม,หมูยอ,หมูแผ่น และ หมูหยอง

3. โซเดียมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ควรจำกัดปริมาณโซเดียมในแต่ละวันไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน

  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 1,160-1,420 มิลลิกรัม
  • ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 960-1,420 มิลลิกรัม
  • ผงชูรส 1 ช้อนชา มีโซเดียม 497 มิลลิกรัม
  • เกลือ 1 ช้อนชา มีโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม

อาจใช้เครื่องสมุนไพร ในการชูรสอาหารให้มีกลิ่นหอมชวนรับประทานมากขึ้น เช่น ขิง,ข่า,ตะไคร้,ใบมะกรูด (เครื่องต้มยำต่าง ๆ)

อาหารสำหรับผู้ป่วย"เบาหวาน"

อาหารที่รับประทานได้ แต่จำกัดปริมาณ

  • กลุ่มนม ควรทาน นมรสจืด นมพร่องมันเนย นมขาดมันเนย นมถั่วเหลือง สูตรไม่มีน้ำตาล ปริมาณที่เหมาะสม 1-2 แก้ว/วัน(ปริมาณ 250 ซี ซี)
  • กลุ่มข้าว แป้ง และธัญพืช ควรทาน ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีท ปริมาณที่ เหมาะสม 8-9 ทัพพี/วัน
  • กลุ่มเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ควรทาน เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไม่ติดหนัง ไข่โดยเฉพาะไข่ขาว ปริมาณที่เหมาะสม 12 ช้อนทานข้าว/วัน (ไข่ทั้งฟอง สามารถทานได้ ในผู้มีโคเลสเตอรอลใน เลือดไม่สูง โดยทานได้ 2-3 ฟอง/วัน)
  • กลุ่มผลไม้ ควรทานผลไม้สด รสไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง มะละกอ แอ๊ปเปิ้ล ส้มเขียวหวาน ส้มโอ ชมพู่ เป็นต้น ปริมาณที่เหมาะสม 3-4 ส่วน/วัน (1 ส่วนผลไม้ เท่ากับ 6-8 ชิ้นคำ)
  • กลุ่มไขมัน ควรทาน น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด หลีกเลี่ยง น้ำมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ ครีมเทียม ปริมาณที่เหมาะสม 6-7 ช้อนชา/วัน
  • กลุ่มน้ำตาล เกลือ เครื่องปรุงรส ควรทาน โดยหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล เกลือ และเครื่อง ปรุงรสมากเกินความจำเป็น สำหรับผู้ที่ติดหวานอาจใช้น้ำตาลเทียมให้ความหวานแทน น้ำตาลทรายได้

  อาหารสำหรับผู้ป่วย "เบาหวาน"

อาหารที่รับประทานได้ ไม่จำกัดปริมาณ

กลุ่มพืชผักชนิดต่าง ๆ เนื่องจากกลุ่มผักให้สารประเภทแป้งน้ำตาลน้อยและมีเส้นใยสูง ช่วยในการขัดขวางการดูดซึมของน้ำตาลและไขมัน ควรทานผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ เช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักตระกลูผักกาด แตงกวา กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำมะระ ผักตระกลูถั่ว มะเขือเทศ มะเขือยาว เป็นต้น ปริมาณที่เหมาะสม 4-6 ทัพพี/วัน

เป็นเบาหวานควรกินอะไร เปิดเมนูอาหารแนะนำใน 1 วัน

อาหารเช้า (เลือกแบบใดแบบหนึ่ง หรือจัดสรรเมนูที่มีสารอาหารและปริมาณที่ใกล้เคียงแทนได้)

  • ข้าวต้มกุ้งหรือโจ๊กหมูสับ 1 ถ้วย, แคนตาลูป 1 จานเล็ก/ส้มเขียวหวาน 1 ผล
  • แซนด์วิชผักโขม ไข่ และชีส, แคนตาลูป 1 จานเล็ก, กาแฟดำ/กาแฟใส่นมไขมันต่ำ+น้ำตาล 1 ช้อนชา
  • ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่น,  ไข่ดาว/ไข่ต้ม 1 ฟอง, ผักสลัด 1 จาน, กาแฟดำ/กาแฟใส่นมไขมันต่ำ+น้ำตาล 1 ช้อนชา

อาหารว่างมื้อสาย 

  • ผลไม้ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง, แคนตาลูป, แอปเปิ้ล, ชมพู่ 1 จานเล็ก หรือกล้วยหอม 1 ผล
  • อาหารทดแทนชงดื่ม 1 แก้ว หรือนมพร่องมันเนย/นมไขมันต่ำ 1 แก้ว
  • โยเกิร์ตรสจืดไขมันต่ำ, สตรอว์เบอรี่ 3-4 ลูก

อาหารกลางวัน 

  • ก๋วยเตี๋ยวน้ำหรือแห้ง 1 ชาม, ผลไม้ไม่หวานจัด 1 จานเล็ก (1 ถ้วย) 
  • ส้มตำไทย 1 จาน, ไก่ย่างไม่ติดหนัง 1 ชิ้น, ข้าวเหนียว 1 จานเล็ก (1/2 ถ้วย)
  • ข้าวผัด 1 จาน, ผักสลัด 1 จาน

อาหารว่างมื้อบ่าย 

  • อาหารทดแทนชงดื่ม 1 แก้ว, สตรอว์เบอรี่ 4-5 ผล
  • แครกเกอร์โฮลวีท 3-4 ชิ้น, น้ำผักผลไม้ปั่นไม่แยกกาก 1 แก้ว
  • ขนมจีบ 3 ลูก หรือซาลาเปา 1 ลูก, เก็กฮวยร้อน/ชาร้อนแบบไม่หวาน 1 แก้ว

อาหารเย็น

  • ข้าวกล้อง/ข้าวสวย 1 ทัพพี, แกงส้มผักรวม/ผัดผักรวมกุ้ง/แกงจืดตำลึงเต้าหู้หมูสับ, ปลานึ่งหรือปลาเผา 1 ชิ้น
  • ข้าวกล้อง/ข้าวสวย 1 ทัพพี, ปลาทูทอด 1 ตัว, น้ำพริก+ผักสดและผักลวก 1 จาน
  • สเต็กปลาหรือไก่ย่างไม่ติดมัน, สลัดผักน้ำใสหรือผักลวก 1 จาน

รายการอาหารที่นำเสนอเป็นเพียงตัวอย่าง ผู้ป่วยเบาหวานมีอิสระในการเลือกอาหารได้หลากหลายเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการเลือกชนิดอาหาร ปริมาณที่เหมาะสม การปรับใช้ รวมทั้งการเลือกรับประทานอาหารทดแทน เพื่อจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอได้

ขอบคุณข้อมูล โรงพยาบาลพญาไท,โรงพยาบาลศิริราช

เพื่อไม่พลาด ข่าวสารต่างๆ คมชัดลึก ไปที่
Youtube - https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w
LineToday - https://today.line.me/th/v2/publisher/100057

เช็กรายชื่อศิลปินเข้าชิง "คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565" ใครคือ 6 Candidate กับ 8  สาขา Popular Vote 

https://www.komchadluek.net/entertainment/524524

Adblock test (Why?)


"เป็นเบาหวานควรกินอะไร" เปิดเมนู อาหาร ที่คนเป็น เบาหวาน กินได้ - คมชัดลึก
Read More

การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์ เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ - มติชน

ในปัจจุบันประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากอายุไขเฉลี่ยของคนไทยเริ่มสูงขึ้น ดังนั้นคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยจึงมีความสำคัญ เช่นเดียวกับโรคมะเร็งต่อมลูกหมากมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น และในอดีตมะเร็งต่อมลูกหมากมักพบในระยะลุกลามแล้ว จนกระทั่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนามากขึ้น ทำให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากจากการตรวจเลือด (ค่า PSA) และตรวจร่างกาย ทำให้สามารถคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มแรกได้เพิ่มมากขึ้น อุบัติการณ์การตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากระยะลุกลามลดลง ส่งผลให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที และมีอัตรารอดชีวิตที่สูงกว่าระยะลุกลาม

แนวทางการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากในปัจจุบัน มีหลากหลายวิธีแต่การเลือกวิธีไหนต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับระยะของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วยด้วย โดยในวันนี้จะหยิบยกประเด็นเรื่องของการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก มาเล่าสู่กันฟังครับ หากกล่าวถึงการผ่าตัดทุกคนคงไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเจ็บปวดหลังผ่าตัด บาดแผลที่มีขนาดใหญ่ การพักฟื้นในโรงพยาบาล และการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด ที่ต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วย 1 คน อาจส่งผลกระทบในหลายส่วนไม่เพียงแค่ตัวผู้ป่วยเอง อาจส่งผลกับญาติที่ต้องสละเวลามาช่วยดูแลจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้นตัวอีกด้วย

แต่ปัจจุบันการผ่าตัดมีหลากหลายวิธี และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมาสู่วิธีผ่าตัดแผลเล็กขาดบาดเจ็บน้อย (Minimal invasive surgery) จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2000 ได้มีการพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดโดยอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือแขนกลขนาดเล็กเคลื่อนไหวได้ 7 ทิศทาง คล้ายมือมนุษย์หรือศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดสามารถเข้าไปในบริเวณที่แคบได้ดีอีกทั้งกล้องที่มีกำลังขยายสูง ระบบภาพ 3 มิติ ทำให้เกิดความแม่นยำในการผ่าตัดเพิ่มมากขึ้นลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อข้างเคียงและลดการเสียเลือดได้ ข้อทั้ง 2 ส่วนนี้มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวและการกลับบ้านได้เร็วขึ้นหลังผ่าตัด ในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา มีการใช้เครื่องมือนี้อย่างแพร่หลายและเป็นที่นิยมอย่างมาก มีการศึกษามากมายกว่า 3,800 งานวิจัย ในปัจจุบันมีการพัฒนาอุปกรณ์มาแล้วหลายรุ่นรวมถึงเทคนิคการผ่าตัดที่ดี โดยศัลยแพทย์พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากต้องอาศัยความสมดุลของ 3 ปัจจัย คือ 1.) ผลการรักษาด้านมะเร็งวิทยา 2.) การฟื้นตัวของการทำงานของร่างกายและระบบทางเดินปัสสาวะ 3.) ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ทั้ง 3 สิ่งคล้ายวงล้อที่หมุนเข้าด้วยกันด้วยความสมดุล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้สูงวัย  อีกทั้งปัจจุบันอุบัติการจากการคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากพบว่าผู้ป่วยมีอายุลดลง อยู่ระหว่าง 50 – 60 ปี ซึ่งยังมีสุขภาพที่แข็งแรง มีศักยภาพในการทำงานอยู่ และยังมีความต้องการเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่ดีในยุคสังคมผู้สูงวัย โดยความสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการควบคุมปัสสาวะได้หลังการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์ ลดการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่มีความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมากในการเข้าสังคม เนื่องจากผู้ป่วยที่คุมปัสสาวะไม่ได้กลัวการปัสสาวะเล็ดราด หรือ กลัวกลิ่นปัสสาวะอับชื้น จึงไม่อยากออกไปข้างนอก ดังนั้นนอกจากผลการรักษาจากงานวิจัยต่าง ๆพบว่าการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์จะมีผลในการรักษามะเร็งตามระยะของโรคเทียบเท่าวิธีมาตราฐานการผ่าตัดแบบเปิดช่องท้อง แต่การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์ให้ผลการรักษาที่เหนือกว่าใน เรื่องขนาดแผล ความเจ็บปวดที่น้อยกว่า ฟื้นตัวกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วกว่า ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่น้อยกว่า อีกทั้งประเด็นเรื่องคุณภาพชีวิตหลังการผ่าตัดในการควบคุมการปัสสาวะได้หลังการผ่าตัด การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์ ให้ผลการรักษาที่เหนือกว่าการผ่าตัดผ่านกล้องทั่วไป

การผ่าตัดในปัจจุบันการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์ มีความก้าวหน้าในเป็นอย่างมาก โดยมีการผ่าตัดเทคนิคใหม่เป็นที่แพร่หลายในหลายประเทศ คือการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์โดยการเจาะช่องเยื่อบุช่องท้องในอุ้งเชิงกรายเพื่อผ่าตัดต่อมลูกหมากออก (Retzius-Sparing Robotic Assisted Robotic Radical Prostatectomy) เพื่อลดการทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ดังรูป ซึ่งเนื้อเยื่อข้างเคียงทางด้านบนและด้านข้าง ของต่อมลูกหมากมีความสำคัญอย่างมากในการควบคุมการเล็ดของปัสสาวะ ซึ่งวิธีดังเดิมจะต้องผ่าตัดผ่านทางด้านบน และด้านข้างของต่อมลูกหมาก ทำให้เกิดหารรบกวนการควบคุมการเล็ดของปัสสาวะได้ แต่เทคนิคใหม่ที่กล่าวมานั้นจะเข้าทางช่อง ด้านหลังต่อมลูกหมาก สามารถลดการบาดเจ็บ หรือทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ตามความหมายของ การผ่าตัดแผลเล็กบาดเจ็บน้อย (minimally invasive surgery) อย่างแท้จริง

ในปัจจุบันโรงพยาบาลราชวิถี ได้ติดตั้งระบบหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ให้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2563 เป็นต้นมา ให้บริการผ่าตัดผู้ป่วยแล้วกว่า200 ราย นับเป็นหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเครื่องแรก และทันสมัยที่สุด ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แผนกผู้ป่วยนอกศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลราชวิถี โทร. 02-206-2900 ต่อ 10720, 10721

บทความโดย ผศ.(พิเศษ)นพ. ธเนศ ไทยดำรงค์
นายแพทย์เชี่ยวชาญ งานศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลราชวิถี

Adblock test (Why?)


การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยหุ่นยนต์ เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ - มติชน
Read More

Tuesday, August 30, 2022

สเตียรอยด์ที่ใช้กันทั่วไปสำหรับโรคหอบหืด, โรคภูมิแพ้ที่เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมอง, การศึกษาพบว่า - www.thaifrx.com

Thomas Ritz ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก Southern Methodist University ผู้วิจัยกล่าวว่า “การศึกษาใหม่นี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษในการแสดงขอบเขตของสสารสีขาวซึ่งจำเป็นสำหรับเซลล์ประสาทในการเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้ยา” ผลกระทบของสเตียรอยด์ต่อผู้ป่วยโรคหอบหืด เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษา

อย่างไรก็ตาม “ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนก” นักประสาทวิทยา . กล่าว Dr. Avindra Nath ผู้อำนวยการคลินิกของ National Institute of Neurological Disorders and Stroke ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ แพทย์ทราบมานานแล้วว่าถ้าคุณให้สเตียรอยด์แก่ผู้ป่วย “สมองจะหดตัว แต่เมื่อคุณถอดมันออกจากสเตียรอยด์ มันจะกลับมา” นัทกล่าว

เนื่องจากความยืดหยุ่นของสมอง – ความสามารถของสมองในการจัดระเบียบโครงสร้าง หน้าที่ หรือการเชื่อมต่อ – “สิ่งเหล่านี้อาจเป็นผลกระทบชั่วคราว” เขากล่าว “ไม่จำเป็นต้องถาวร สารสีขาวสามารถซ่อมแซมตัวเองได้”

ใช้กันอย่างแพร่หลาย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า Glucocorticoids เป็นยาต้านการอักเสบที่กำหนดบ่อยที่สุดเนื่องจากมีการใช้อย่างแพร่หลายในหลายเงื่อนไข

นอกจากโรคหอบหืดแล้ว กลูโคคอร์ติคอยด์ทั้งทางปากและทางการหายใจยังสามารถใช้รักษาอาการแพ้, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), โรคโครห์นและโรคลำไส้อักเสบชนิดอื่นๆ, กลากและสภาพผิวอื่นๆ, โรคลูปัส, โรคเอ็นอักเสบ, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง, โรคข้อเข่าเสื่อม, และข้ออักเสบรูมาตอยด์

อย่างไรก็ตาม ยาสูดพ่นกลูโคคอร์ติคอยด์ไม่ควรสับสนกับยาสูดพ่นบรรเทาอย่างรวดเร็วที่ใช้เพื่อหยุดการโจมตีของโรคหอบหืด เครื่องช่วยหายใจแบบด่วนประกอบด้วยยาที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อในปอด เช่น albuterol, levalbuterol และ pirbuterol ซึ่งสามารถเปิดทางเดินหายใจได้ภายในไม่กี่นาที. corticosteroids ที่สูดดมไม่ทำงานในกรณีฉุกเฉิน – พวกมันถูกกำหนดไว้สำหรับการควบคุมอาการอักเสบในระยะยาว

การวิจัยก่อนหน้านี้ได้เชื่อมโยงการใช้กลูโคคอร์ติคอยด์ในช่องปากในระยะยาวกับความผิดปกติของโครงสร้างสมองและการหดตัวของพื้นที่บางส่วนของสมอง, เช่นกัน ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ซึมเศร้า สับสน และสับสน การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อาศัยอยู่กับโรคหอบหืดมีอัตราการบกพร่องทางสติปัญญาและความจำในชีวิตที่สูงกว่าคนที่ไม่มีภาวะนี้

แต่การวิจัยก่อนหน้านี้จำนวนมากมีขนาดเล็ก และในบางครั้ง ผู้เชี่ยวชาญยังสรุปไม่ได้

การศึกษาครั้งใหม่นี้ใช้ข้อมูลจาก UK BioBank ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านชีวการแพทย์ขนาดใหญ่ที่ติดตามผู้อยู่อาศัยในสหราชอาณาจักร 500,000 คนในช่วงปี 2549-2553 จากฐานข้อมูลนั้น นักวิจัยสามารถค้นหาผู้ใช้กลูโคคอร์ติคอยด์ในช่องปาก 222 คน และผู้ใช้กลูโคคอร์ติคอยด์ที่สูดดม 557 คน ไม่มีการวินิจฉัยโรคทางระบบประสาท ฮอร์โมน หรือสุขภาพจิตมาก่อน

คนเหล่านั้นได้รับการทดสอบความรู้ความเข้าใจและสุขภาพจิตและได้รับ MRI แบบแพร่กระจายของสมอง นักวิจัยดึงข้อมูลดังกล่าวและเปรียบเทียบ MRI และการค้นพบความรู้ความเข้าใจกับคนกว่า 24,000 คนในฐานข้อมูลที่ไม่ได้ใช้สเตียรอยด์

“ตามความรู้ที่ดีที่สุดของเรา นี่เป็นการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบันเพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่างการใช้กลูโคคอร์ติคอยด์กับโครงสร้างสมอง และเป็นครั้งแรกที่ตรวจสอบความสัมพันธ์เหล่านี้ในผู้ใช้กลูโคคอร์ติคอยด์ที่สูดดม” ผู้เขียนรายงานกล่าว

เครื่องช่วยหายใจมีผลกระทบน้อยที่สุด

การศึกษาพบว่าความเสียหายของสารสีขาวในปริมาณที่มากที่สุดในผู้ที่ใช้สเตียรอยด์ในช่องปากเป็นประจำในระยะเวลานาน ความเร็วในการประมวลผลทางจิตของผู้ใช้สเตียรอยด์ในช่องปากเรื้อรังที่ทดสอบต่ำกว่าผู้ที่ไม่ใช่ผู้ใช้ ผู้ที่ใช้สเตียรอยด์ในช่องปากมีอาการเฉื่อย ซึมเศร้า เหนื่อยล้า และกระสับกระส่ายมากกว่าผู้ที่ไม่ใช้ยาสเตียรอยด์

ผลการศึกษาพบว่าผลกระทบน้อยที่สุดต่อสารสีขาวเกิดขึ้นในผู้ที่ใช้สเตียรอยด์ที่สูดดม

แพทย์ระบบทางเดินหายใจ Dr. Raj Dasgupta ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์คลินิกที่ Keck School of Medicine แห่ง University of Southern California กล่าวว่า สอดคล้องกับสิ่งที่แพทย์เห็นในการปฏิบัติทางคลินิก. เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษา

“เราไม่เห็นผลข้างเคียงบ่อยเท่ากลูโคคอร์ติคอยด์แบบสูดดม” เขากล่าว “และแน่นอน แกนนำของการรักษาโรคภูมิแพ้และโรคหอบหืดมักจะหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต”

นักปอดวิทยาและแพทย์โรคไขข้อระมัดระวังในการสั่งจ่ายสเตียรอยด์ในปริมาณที่น้อยที่สุดที่จำเป็นในการควบคุมอาการ Dasgupta กล่าว เนื่องจากมีผลข้างเคียงจำนวนมากจากการใช้สเตียรอยด์ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ ซึ่งรวมถึงสุขภาพสมองด้วย

“ในฐานะแพทย์ ในนาทีที่คุณเริ่มใช้ยาเหล่านี้ คุณกำลังคิดทันทีว่า ‘ฉันจะกำจัดบุคคลนั้นอย่างปลอดภัยในเวลาที่เหมาะสมได้อย่างไร’ เตียรอยด์ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และการเพิ่มของน้ำหนักมักจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง” Dasgupta กล่าว

“เมื่อคุณให้สเตียรอยด์แก่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดของพวกเขาก็จะสูงขึ้น” เขากล่าวเสริม “เมื่อคุณใช้สเตียรอยด์อย่างเฉียบพลัน คุณอาจมีอาการนอนไม่หลับและนอนไม่หลับ และเมื่อคุณใช้สเตียรอยด์ในระยะยาว คุณจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเนื่องจากเป็นยากดภูมิคุ้มกัน”

ต้องการการวิจัยเพิ่มเติม

การศึกษาใหม่มีข้อ จำกัด ประการแรกคือไม่สามารถระบุปริมาณสเตียรอยด์หรือติดตามการสม่ำเสมอได้ Ritz กล่าว

“เราทราบดีว่าผู้ป่วยโรคหอบหืดเพียงประมาณ 50% เท่านั้นที่ใช้ยาตามที่กำหนด และการรายงานการบริโภคที่มากเกินไปก็เป็นปัญหาเช่นกัน” Ritz กล่าว “คุณควรกินยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่สูดดม ซึ่งช่วยลดการอักเสบเฉพาะที่ ให้สม่ำเสมอที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าจะใช้ยาในปริมาณที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งจะช่วยให้คุณควบคุมโรคหอบหืดได้

“การศึกษาครั้งนี้ทำให้เรามีเหตุผลอีกประการหนึ่งในการรักษาปริมาณยาให้ต่ำ” เขากล่าวเสริม

ข้อ จำกัด อีกประการหนึ่งคือไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างผู้ที่ใช้ยาเม็ดสเตียรอยด์กับผู้ที่ใช้เงินทุนตามที่ผู้เขียนศึกษา

“การศึกษาส่วนใหญ่ยืนยันสิ่งที่เรารู้มาเป็นเวลานานในการจัดการกับโรคหอบหืด: ใช้ corticosteroids (ช่องปาก) น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตราบเท่าที่คุณไม่ใช่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดรุนแรง ให้ใช้ยาสเตียรอยด์ที่สูดดมและหารือกับแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อลดขั้นตอนการใช้ยาในช่วงเวลาที่ดี” ริทซ์กล่าว

“เป็นการศึกษาที่ทำได้ดีมาก” นัทกล่าว “แต่การค้นพบนี้ต้องการการศึกษาอื่นที่ต้องทำเพื่อดูว่าผลกระทบเหล่านี้จะคงอยู่นานแค่ไหนและจะย้อนกลับได้อย่างไร”

Adblock test (Why?)


สเตียรอยด์ที่ใช้กันทั่วไปสำหรับโรคหอบหืด, โรคภูมิแพ้ที่เชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมอง, การศึกษาพบว่า - www.thaifrx.com
Read More

ลองโควิดในเด็ก บั่นทอนชีวิตซ้ำภาระจ่าย - ไทยรัฐ

เปิดบันทึกสถานการณ์การระบาด “โควิด-19” วันที่ 25 สิงหาคม 2565...ทั่วโลกติดเพิ่ม 656,108 คน ตายเพิ่ม 1,746 คน รวมแล้วติดไป 602,985,345 คน เสียชีวิตรวม 6,478,268 คน...5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และไต้หวัน

จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรปรวมกันคิดเป็นร้อยละ 82.49 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 62.77 สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวานสูงเป็นอันดับ 14 ของโลก และอันดับ 5 ของเอเชีย

ข้อมูลอัปเดต “ลองโควิด” ในเด็ก รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ บอกว่า Dumont R และคณะจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้เผยแพร่ผลการวิจัยใน medRxiv (24 สิงหาคม 2565) โดยศึกษาความชุกของลองโควิดในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เคยติดเชื้อโรคโควิด-19 เปรียบเทียบกับคนที่ไม่ติดเชื้อ

สาระสำคัญที่พบคือ เด็กที่ติดเชื้อโรคโควิด–19 มีปัญหาลองโควิด ที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆราว 9.1%...ทั้งนี้ เด็กวัยรุ่น 12-17 ปี จะพบว่าประสบปัญหาลองโควิดมากกว่าเด็กเล็ก อาการผิดปกติที่พบบ่อย ได้แก่ ปัญหาด้านการดมกลิ่น การไม่มีสมาธิ และอาการปวดท้อง

ผลการศึกษานี้สะท้อนให้ผู้ปกครองและคุณครูเห็นถึงความสำคัญในการดูแลเด็ก ให้ความรู้ ฝึกทักษะในการป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ ปรับสภาพแวดล้อมให้มีการถ่ายเทอากาศที่ดี

หากเด็กๆเคยติดเชื้อมาก่อน ผู้ปกครองก็ควรสังเกต ประเมินสุขภาพของเด็กทั้งด้านกาย อารมณ์ สมาธิ ฯลฯ ถ้าพบสิ่งผิดปกติ จะได้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และให้การดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที

“สถานการณ์ไทยเรานั้น การที่จะประคับประคองให้เรามีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต จำเป็นต้องมีความใส่ใจด้านสุขภาพ...สภาพแวดล้อมในสังคมระหว่างที่ใช้ชีวิตประจำวันนั้นมีความเสี่ยงมากกว่าในอดีต การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”

เน้นย้ำว่า...ไม่ว่าจะทำงาน พบปะ ศึกษาเล่าเรียน และอื่นๆ พยายามเว้นระยะจากกันไว้บ้าง ใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง...พกสเปรย์แอลกอฮอล์ไว้ล้างมือหลังหยิบจับสิ่งของสาธารณะ

“ใครที่มีอาการไม่สบาย ควรแจ้งให้คนใกล้ชิดทราบ เลี่ยงการพบปะกับผู้อื่นไปก่อน ก็จะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมด้วย...

โควิด–19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ ติดแล้วป่วยรุนแรงได้ ตายได้ แม้ฉีดวัคซีนมาแล้วหรือเคยติดเชื้อมาก่อนแล้วก็ตาม การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญ”

ปัญหาอาการผิดปกติระยะยาว “ลองโควิด” เป็นเรื่องที่ควรตระหนักไว้เสมอ เพราะจะบั่นทอนคุณภาพชีวิต สมรรถนะการใช้ชีวิต...การทำงาน รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัว ประเทศ

ที่ผ่านมาก็มีข่าวดีให้ใจชื้นกันอีกนิดเกี่ยวกับ “วัคซีน” ใน “วัยรุ่น” ของสหรัฐอเมริกา เมื่อ US CDC ได้อนุมัติให้สามารถใช้วัคซีน Novavax ในเด็กวัยรุ่นอายุ 12-17 ปีได้แล้ว...ถือเป็นวัคซีนตัวล่าสุดที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในเด็กวัยรุ่นได้ ต่อจาก Pfizer/Biontech และ Moderna

“Novavax”...เป็นวัคซีนประเภท Protein subunit ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับวัคซีนโรคอื่นๆที่เราใช้ในปัจจุบัน เช่น วัคซีนตับอักเสบบี

ถึงตรงนี้ขอ...ย้ำเตือนอีกครั้งว่า สถานการณ์ปัจจุบันของไทยนั้น แม้จะมีการรายงานตัวเลขเสียชีวิตเฉพาะคนที่ไม่มีโรคร่วม ก็พบว่าจำนวนเสียชีวิตเฉลี่ยรอบ 7 วัน ต่อประชากรล้านคนนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ของเอเชีย และของกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงมาอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญคือ การเสียชีวิตจริงย่อมมากกว่าที่รายงานในแต่ละวัน และสะท้อนถึงสถานการณ์การระบาดที่ยังรุนแรง การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องที่จำเป็น

โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ ไม่ชิลๆแค่ติดแล้วหาย แต่ป่วยรุนแรงได้ ตายได้ การฉีดวัคซีนนั้นช่วยลดโอกาสที่จะป่วยรุนแรงและเสียชีวิต แต่หากไม่ป้องกันตัวให้ดี ก็จะป่วยได้ตายได้เช่นกัน ที่สำคัญคือ ปัญหาลองโควิดระยะยาว ซึ่งยังไม่มีวิธีรักษาจำเพาะเจาะจง และ...บั่นทอนคุณภาพชีวิต

อีกทั้ง...แม้ติดเชื้อมาก่อน ก็ติดเชื้อซ้ำได้ หากไม่ป้องกันตัวย่อมเสี่ยงที่จะป่วย ตายและลองโควิดเป็นเงาตามตัว

หากติดเชื้อควรแยกตัวจากผู้อื่นในระยะเวลาที่เพียงพอ ยืนยันความรู้จากการวิจัยทางการแพทย์ชี้ให้เห็นว่า 5 วันไม่เพียงพอ...แนวทางที่ควรทำคือ แยกตัวจากคนอื่น 7-10 วัน และก่อนออกไปใช้ชีวิตควรตรวจ ATK เป็นลบ และเช็กให้แน่ใจว่าไม่มีอาการป่วย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อไปได้มาก

การใส่ “หน้ากาก” อย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ถือเป็นหัวใจสำคัญ

เสริมเติมเต็มความรู้ความเข้าใจในประเด็น “กักตัวแค่ไหนถึงพอ?”

รศ.นพ.ธีระ ยืนยันอีกครั้งว่า ความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบัน จากอเมริกาและสหราชอาณาจักร หากกักตัว 5 วัน โอกาสหลุดมีสูง 50-75%

“อย่าเสพข่าวที่ให้ข้อมูลแบบตีมึน โดยอ้างถึงเรื่องการแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ก่อนจะเกิดอาการ (pre-symptomatictransmission) บอกดังๆ...ว่าโควิด-19 นั้น คนที่ติดเชื้อสามารถแพร่ได้ตั้งแต่ก่อนจะมีอาการ 2-3 วัน”

นี่คือความรู้ที่มีมานานแล้วและตอกย้ำให้ทราบว่าจำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เพราะอาจรับเชื้อ ติดเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว และแพร่ให้คนอื่นได้ตั้งแต่ตอนไม่มีอาการ

แต่ข้อมูลข้างต้นไม่ได้หักล้างความรู้เกี่ยวกับระยะเวลาของคนที่ติดเชื้อแล้วจะสามารถแพร่เชื้อไปได้อีกนานเพียงใด นี่เป็น “คนละเรื่อง” กัน

ดังการวิจัยของ Imperial College London ที่เคยเล่าให้ฟังไว้ว่า...หากกักตัว 5 วันนับจากวันที่ตรวจพบว่าติดเชื้อ...ซึ่งอาจมีหรือยังไม่มีอาการก็ได้ จะมีโอกาสที่คนคนนั้นยังสามารถแพร่เชื้อได้สูงถึง 75%

แต่หากนับจาก “วันที่เริ่มมีอาการ” การกักตัว 5 วัน จะยังคงมีโอกาสหลุดได้สูงถึง 67%...สูงถึงสองในสาม!

นี่จึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจน ตอกย้ำถึงคำแนะนำที่ให้ไว้ว่า...ในทางปฏิบัติแล้ว เราควรลดความเสี่ยง ด้วยการกักตัว 7-10 วัน และควรตรวจ ATK ซ้ำว่าได้ผลลบ โดยที่ไม่มีอาการป่วยแล้ว จึงจะออกมาใช้ชีวิต โดยป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดต่อจนถึงอย่างน้อยสองสัปดาห์

ข้อมูลจากการวิจัยทั้งจากอเมริกาและสหราชอาณาจักรข้างต้นนี้ ชี้ให้เห็นระยะเวลาและความเสี่ยงแต่ละระดับ ยิ่งกักตัวสั้น ความเสี่ยงก็สูงเป็นเงาตามตัว

“ขอให้เสพข่าวอย่างรู้เท่าทัน มีความรู้ และประยุกต์ใช้ความรู้ให้ถูกต้องเหมาะสมครับ การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก”

ตื่นตัวอย่าตื่นตูม...ป้องกันตัว การ์ดอย่าตก “โควิด–19” ยังคงอยู่กับเราทุกคน.

Adblock test (Why?)


ลองโควิดในเด็ก บั่นทอนชีวิตซ้ำภาระจ่าย - ไทยรัฐ
Read More

ไข้หวัดมะเขือเทศ แพทย์อินเดีย ยืนยัน คือโรคมือเท้าปาก - ประชาชาติธุรกิจ

[unable to retrieve full-text content]

ไข้หวัดมะเขือเทศ แพทย์อินเดีย ยืนยัน คือโรคมือเท้าปาก  ประชาชาติธุรกิจดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News
ไข้หวัดมะเขือเทศ แพทย์อินเดีย ยืนยัน คือโรคมือเท้าปาก - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

การทำ IUI ตัวช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ สำหรับผู้มีบุตรยาก? - เชียงไหม่นิวส์

การทำ IUI ตัวช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ สำหรับผู้มีบุตรยาก?

คงเป็นความทุกข์ใจไม่น้อยเมื่อหญิงสาวที่ต้องการมีบุตรมาก ๆ แต่กลับมียากเหลือเกิน ดังนั้นการหวังพึ่งตัวช่วยจากวิทยาการด้านการแพทย์จึงสิ่งที่หลายครอบครัวตัดสินใจทำ และหนึ่งในนั้นที่ขอแนะนำก็คือการทำ IUI วิธีเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ที่ได้รับความไว้วางใจไม่แพ้รูปแบบอื่น ทว่าบางคนอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน และอยากรู้ว่าคืออะไร จะช่วยได้อย่างไร มาศึกษาข้อมูลเหล่านี้ไปพร้อมกันเลย

การทำ IUI คืออะไร ใครที่เหมาะกับวิธีนี้?

การทำ IUI คือ การนำเอาเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วยรักษาหญิงสาวที่อยู่ในสภาวะมีบุตรยาก ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านอายุ โดยฉีดน้ำเชื้อเข้าไปยังโพรงมดลูกวันที่มีไข่ตก เชื้ออสุจิดังกล่าวจะถูกคัดมาอย่างดีหลังได้รับการคัดเลือกและฉีดเข้าไปเรียบร้อยก็ทำการวิ่งสู่มดลูกโดยตรง

หลักการทำจะมีการใช้ท่อพลาสติกขนาดเล็กสอดผ่านปากมดลูก จากนั้นก็ฉีดเข้าไป เชื้อที่วิ่งไปวันที่ไข่ตกก็จะเข้าไปที่ท่อนำไข่ และผสมกับไข่ผู้หญิงได้ง่ายมากขึ้น จึงเป็นอีกวิธีที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ง่ายกว่าแบบธรรมชาติทั่วไป ซึ่งถามว่าใครบ้างที่เหมาะกับการรักษาวิธีนี้?? แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ที่

  • มีปัญหาคอมดลูก หรือปากมดลูกตีบ
  • ท่อนำไข่ต้องปกติทั้ง 2 ข้าง หรืออย่างน้อยก็ต้องดีหนึ่งข้าง
  • อายุต้องน้อยกว่า 30 ปี เพราะยิ่งอายุเยอะความสำเร็จที่จะมีบุตรก็ลดลงตามลำดับ
  • ผู้ที่มีภาวะไข่ไม่ตกแบบเรื้อรัง หรือที่เรียกว่า PCOS
  • หากเป็นผู้ชายที่เหมาะกับการทำ ก็ต้องมีเชื้ออสุจิที่แข็งแรงดี และเพียงพอมากกว่า 5 ล้านตัว

เหตุผลที่การทำ IUI ได้รับความไว้วางใจเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

จริง ๆ แล้วการทำ IUI นั้นมีผู้คนสนใจ ไว้วางใจเพื่อให้ตัวเองได้เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์สูง เพราะเหตุผลคือความสำเร็จที่ได้รับนั้นเกิดขึ้นจริงมากกว่าการมีลูกตามธรรมชาติ 3 – 5 เท่า ซึ่งแต่ละครั้งที่ฉีดจะมีความสำเร็จ 10 – 15% ทั้งนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น เยื่อบุโพรงมดลูก ฟองไข่ เชื้ออสุจิ โดยจำนวน และคุณภาพของเชื้ออสุจิจะดีมากขึ้นเมื่อใช้วิธีนี้เป็นเพราะ

  • ช่วยลดระยะการว่ายของเชื้อ ทำให้ไปถึงท่อไข่ไวขึ้น 
  • การฉีดเชื้อจะช่วยเพิ่มตัวเชื้อที่ว่ายน้ำไปที่ท่อนำไข่มากขึ้น เพราะเชื้อส่วนใหญ่จะตายอยู่ที่ช่องคลอด
  • ฉีดเชื้อตรงกับวันไข่ตก โอกาสที่จะทำการปฏิสนธิกับจำนวนไข่ก็มีมากขึ้น
  • มีการคัดเอาเชื้ออสุจิที่ดี มีคุณภาพก่อนฉีด โอกาสที่จะปฏิสนธิแล้วติดก็มีสูง
  • กำหนดการตกไข่ได้อย่างแม่นนำ เพราะมีการใช้ยาช่วยให้ไข่ตก พร้อม ๆ กับการฉีดเชื้อในช่วงที่เหมาะสม 
  • แต่ละรอบที่มีการฉีดเชื้อนั้น ก็จะอัลตราซาวด์ติดตามความหนาของเยื่อบุ หากพบความหนาไม่เหมาะสมก็จะได้รับการแก้ไขทันที ทำให้โอกาสตั้งครรภ์มีสูงกว่าเดิม

การเตรียมตัวก่อน – หลังทำการรักษา

สำหรับการเตรียมตัวทั้งก่อน และหลังทำ IUI นั้น จริง ๆ ก็ไม่ได้ยากอะไร แนะนำว่าก่อนเข้ารับการรักษาทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู พร้อมเสริมด้วยวิตามินที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรพักผ่อนให้เพียงพอ โดยนอนหลับต้องมีอย่างน้อยวันละ 8 ชม. พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด 

หากใครที่สูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา ก็ต้องงดไปก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ตอบสนองต่อฮอร์โมน และการรักษาจะได้ประสิทธิภาพมากขึ้น 

ส่วนคำแนะนำหลังการทำ IUI นั้นก็จะให้ผู้หญิงได้นอนพักแบบนิ่ง ๆ ก่อน 30 นาทีแล้วจึงกลับบ้านได้ และต้องงดการมีเพศสัมพันธ์หลังจากที่ได้เข้ารับการฉีดเชื้อไปแล้วที่ 1 – 2 วัน

ขั้นตอนการทำ IUI ยุ่งยากไหม ทำอย่างไรบ้าง

ในส่วนของใครที่สนใจอยากรู้ขั้นตอนการทำ IUI ขอบอกว่าไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดเลย เป็นการศึกษาเพื่อเตรียมตัวก่อนก็ได้เช่นกัน

1. แพทย์จะให้ยาเข้าไปกระตุ้นรังไข่ โดยเป็นการทานหรือฉีดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ทั้งนี้ บางคนอาจใช้ทั้ง 2 วิธีเลย ส่วนการเริ่มยาจะเป็นในช่วงวันที่ 3 – 5 ของการมีประจำเดือน จะใช้ติดต่อกัน 5 วัน ทำให้ฟองไข่ได้เจริญเติบโต และมีจำนวน 1 – 3 ฟองต่อรอบ

2. จะมีการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด หรือตรวจเลือดในระหว่างการกระตุ้นไข่ด้วย เพื่อประเมินดูการตอบสนอง และเติบโตของฟองไข่

3. เมื่อฟองไข่มีขนาด 12 – 20 มิลลิเมตร ถือว่าเหมาะสม จากนั้นจะมีการชักนำให้ตกไข่ด้วยยาฮอร์โมน โดยที่ 35 – 40 ชม. ต่อมาไข่ก็จะตกจริง ๆ

4. ฉีดอสุจิเข้าไปยังโพรงมดลูกในวันที่ไข่ตก ซึ่งต้องใช้เชื้ออสุจิผ่านการคิดเลือกตามวิธีมาตรฐานในห้องปฏิบัติการแล้ว

5. เมื่อสิ้นสุดการฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก ก็จะมีการให้ยาเสริมการทำงานของเยื่อบุโพรงมดลูก จากนั้นนัดมาทดสอบการตั้งครรภ์หลังจากนี้อีกประมาณ 2 สัปดาห์

จะเห็นได้เลยว่าการทำ IUI นั้นเป็นการฉีดเอาเชื้อเข้าสู่ร่างกายด้วยแนวทางเป็นธรรมชาติ แต่โอกาสในการติดมีสูงกว่าวิธีปกติ ทั้งนี้ ยังสามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพิ่มความสะดวกให้กับทุกครอบคัวที่อยากมีลูก และค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้สูงมากด้วย ที่สำคัญอัตราการตั้งครรภ์สะสมก็จะดีมาก ๆ อยากมีลูกน้อยสมใจเลือกเลยไม่ผิดหวัง

Adblock test (Why?)


การทำ IUI ตัวช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ สำหรับผู้มีบุตรยาก? - เชียงไหม่นิวส์
Read More

งานวิจัยพบ ไซโลไซบิน สารในกลุ่มเห็ดขี้ควาย ช่วยรักษาพิษสุราเรื้อรัง - ไทยรัฐ

ไซโลไซบิน (Psilocybin) ที่เป็นสารหลอนประสาทประเภทหนึ่ง ที่มีอยู่ในกลุ่มเห็ดขี้ควาย หรือ Magic mushroom อาจจะช่วยรักษาอาการติดเหล้า หรือพิษสุราเรื้อรังได้

ผลการทดลองที่ได้รับการเผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา ในวารสาร Jama Psychiatry โดยให้ยากับผู้ที่ติดเหล้าที่ร่วมทดลอง 93 คน อายุ 25-65 ปี ที่มีการดื่มหนัก แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือที่ได้รับสารไซโลไซบิน และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก อย่างยาแก้แพ้ ที่ไม่ได้มีผลต่อร่างกายผู้ร่วมทดลอง และทั้งสองกลุ่มได้รับการบำบัดทางด้านจิตใจด้วย

ผลการทดลองพบว่า ทั้งสองกลุ่มสามารถลดการดื่มเหล้าได้ภายใน 32 สัปดาห์ แต่กลุ่มที่ได้รับสารไซโลไซบิน เป็นยาเม็ด 2 โดส มีการพัฒนาที่ดีอย่างน่าทึ่ง เพราะลดจำนวนการดื่มเหล้าลงได้ถึง 83% และเลิกดื่มเลย 48% เมื่อเทียบกับก่อนช่วงก่อนทดลอง ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ดื่มเหล้าลดลง 51% และเลิกดื่ม 24%

จริงๆ แล้วในวงการแพทย์มีความคิดในการนำสาร ไซโลไซบิน มารักษาผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรังมานานกว่า 60 ปีแล้ว ในช่วงที่มีการทดสอบใช้สาร LSD หรือ Lysergic acid diethylamid ในการรักษาผู้ที่มีอาการพิษสุราเรื้อรังมาแล้ว

สารในเห็ดขี้ควายนี้ ยังมีงานวิจัยว่าสามารถนำมาใช้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ แต่ยังไม่ควรนำมาใช้ เพราะอาจส่งผลร้ายถึงชีวิต และไม่แนะนำให้นำมาผสมเหล้า เพราะจะทำให้ประสาทหลอน นอกจากนี้ เห็ดขี้ควายยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผู้ขายมีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000-1,500,000 บาท ถ้าเป็นผู้เสพ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เห็ดขี้ควายเริ่มเป็นกระแสในประเทศไทยในเรื่องการปลดล็อกจากยาเสพติดเหมือนกับกัญชา สืบเนื่องจากบทสัมภาษณ์ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อ 15 ส.ค. 2565 ได้กล่าวถึงการที่ประชาชนหันมาปลูกเห็ดขี้ควายมากขึ้น จึงให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ศึกษาประโยชน์ เพราะมีงานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นระบุถึงสารในเห็ดขี้ควายช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า ติดเหล้าและบุหรี่ หากการวิจัยในไทยประสบความสำเร็จ จะสร้างอาชีพใหม่ให้กับชาวบ้านและชุมชน

แต่ในทางด้านของนักวิชาการด้านสาธารณสุขกลับมองต่างออกไป โดยให้เหตุผลว่าถึงแม้จะมีการวิจัยในประเทศอังกฤษว่าเห็ดขี้ควายสามารถบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ แต่ผลวิจัยนี้มีผู้ร่วมทดลองเพียง 19 คนเท่านั้นจึงยังไม่สามารถยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพการใช้ในภาพรวม ส่วนผลวิจัยในไทยยังไม่มีผลยืนยันชัดเจน ดังนั้นจึงต้องระวังผลข้างเคียงร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ใช้

นอกจากนี้เมื่อเทียบเห็ดขี้ควายกับกัญชายังมีความแตกต่าง เพราะทางการแพทย์แผนไทยมีการใช้กัญชามามากกว่าเห็ดขี้ควาย รวมทั้งผลวิจัยทางการแพทย์พบว่ากัญชาช่วยบรรเทาอาการคนไข้กลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าอีกด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่เห็ดขี้ควายจะปลดล็อกได้เหมือนกัญชา

ข้อมูลอ้างอิง : Livescience, NBC news

Adblock test (Why?)


งานวิจัยพบ ไซโลไซบิน สารในกลุ่มเห็ดขี้ควาย ช่วยรักษาพิษสุราเรื้อรัง - ไทยรัฐ
Read More

Monday, August 29, 2022

Buy Tadalafil Tablets Online at Lowest Prices with Fildena . - Dek-D.COM

[unable to retrieve full-text content]

Buy Tadalafil Tablets Online at Lowest Prices with Fildena .  Dek-D.COM
Buy Tadalafil Tablets Online at Lowest Prices with Fildena . - Dek-D.COM
Read More

สร้างเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค ให้ 'เด็กเล็ก 0-5 ปี' ด้วย '8 สิทธิประโยชน์' จาก สปสช. | TheCoverage.info - The Coverage

พ่อแม่ ผู้ปกครองทุกท่านหากในครอบครัวมีเด็กที่มีอายุระหว่าง 0-5 ปี สามารถพามารับสิทธิประโยชน์จากบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) สำหรับเด็กเล็ก ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดยครอบคลุมเด็กเล็กที่ทุกคนทั่วประเทศ ซึ่งมีถึง 8 สิทธิประโยชน์ด้วยกัน

มีรายละเอียดของบริการดังนี้เลย

1. ยาบำรุงเสริมธาตุเหล็ก ยาต้านไวรัสเอชไอวี
2. ตรวจช่องปากและฟัน เคลือบฟลูออไรด์
3. การให้ยาไทรอกซิน ป้องกันภาวะพร่องไทรอยด์
4. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะพร่องไทรอยด์ (โรคเอ๋อ) ภาวะซีด การติดเชื้อเอชไอวี จากแม่สู่ลูก
5. ชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง เพื่อติดตามการเจริญเติบโต ตรวจคัดกรองพัฒนาการ
6. สมุดบันทึกสุขภาพ สำหรับบันทึกพัฒนาการ
7. ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค ตับอักเสบบี บาดทะยัก คอตีบ ไอกรน โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า หัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้หวัดใหญ่และไข้สมองอักเสบเจอี
8. แว่นตา หากมีภาวะสายตาผิดปกติ

Adblock test (Why?)


สร้างเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค ให้ 'เด็กเล็ก 0-5 ปี' ด้วย '8 สิทธิประโยชน์' จาก สปสช. | TheCoverage.info - The Coverage
Read More

สธ.-แพทย์ ประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ - Thai PBS News

Adblock test (Why?)


สธ.-แพทย์ ประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ - Thai PBS News
Read More

'อีสุกอีใส' ห้ามกินยาแอสไพริน เสี่ยงอาการแทรกซ้อน 'สมอง-ตับ' รุนแรงถึงตายได้ | TheCoverage.info - The Coverage

กรมการแพทย์ ให้ความรู้เรื่องโรคอิสุกอิใส ระบุ เด็กป่วยรุนแรงน้อยกว่าผู้ใหญ่


นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า โรคอีสุกอีใส เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่าไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด

สำหรับอาการโรคอีสุกอีใสจะมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวคล้ายไข้หวัดและผื่นตุ่มน้ำใสที่ผิวหนัง ไข้จะสูงหรือน้อยและตุ่มจะมีจำนวนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอายุ โดยเด็กจะมีเพียงไข้ต่ำๆ และมีตุ่มจำนวนน้อย ขณะที่เด็กโตและผู้ใหญ่ มักมีไข้สูงและตุ่มจำนวนมาก 

นพ.วีรวุฒิ กล่าวอีกว่า ผื่นในโรคอีสุกอีใสมีลักษณะเฉพาะคือผื่นจะเริ่มจากตุ่มแดง กลายเป็นตุ่มใส และแตกออก เป็นสะเก็ด เมื่อผื่นขึ้นแล้ว 2-3 วัน จะเห็นตุ่มหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ส่วนใหญ่ผื่นจะขึ้นที่ลำตัวและใบหน้ามากกว่าแขนขา 

“เด็กที่ป่วยเป็นอีสุกอีใสจะมีอาการไม่รุนแรง และพบภาวะแทรกซ้อนทางปอดและทางสมองได้น้อยกว่าผู้ป่วยเด็กโตอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 13 ปี และผู้ใหญ่” นพ.วีรวุฒิ กล่าว 

อย่างไรก็ตาม เด็กจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่ผิวหนังได้บ่อย ทำให้เกิดแผลเป็นที่ผิวหนังและอาจถึงขึ้นทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดตามมา โรคอีสุกอีกใสสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้ง่ายมาก เพราะเชื้ออยู่ในอากาศได้เป็นเวลานานและผู้ป่วยอีสุกอีใสสามารถแพร่กระจายเชื้อไปยัง คนอื่นได้หลายวัน ตั้งแต่ 1-2 วัน ก่อนมีไข้และผื่น จนถึงเมื่อตุ่มสุดท้ายตกสะเก็ด หรือประมาณ 7 วัน หลังจากผู้ป่วยเริ่มมีอาการ

นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่หายเองได้ อาจจะมีไข้เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่มจะตกสะเก็ดและค่อยๆ หายใน 1-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ ถ้ามีไข้สูงใช้ยา เพื่อลดไข้ได้ 

ทั้งนี้ ไม่ควรใช้แอสไพรินเพราะอาจทำให้เกิดอาการทางสมองและตับ ทำให้ถึงตายได้ ควรอาบน้ำและใช้สบู่ฟอกผิวหนังให้สะอาด ควรตัดเล็บให้สั้นและหลีกเลี่ยงการแกะเกา เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ ในรายที่คันมากๆ อาจให้ยาแก้คันช่วยลดอาการคัน

สำหรับการป้องกันโรคอีสุกอีใสเป็นเรื่องยาก เพราะผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสอีสุกอีใสให้ผู้อื่นได้ตั้งแต่ช่วงออกอาการไข้ไปจนถึงช่วงแผลแห้งตกสะเก็ด ดังนั้นทางป้องกันคือ ถ้าบุตรหลานป่วยเป็นอีสุกอีใส ต้องงดไปโรงเรียน ป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้คนอื่น และการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือกสำหรับเด็ก 1 ปีขึ้นไป

1

Adblock test (Why?)


'อีสุกอีใส' ห้ามกินยาแอสไพริน เสี่ยงอาการแทรกซ้อน 'สมอง-ตับ' รุนแรงถึงตายได้ | TheCoverage.info - The Coverage
Read More

เฝ้าระวัง 'ไข้หวัดมะเขือเทศ' พบมากในเด็ก คล้ายโรคมือ เท้า ปาก ยันไม่ใช่โรคใหม่ ยังไม่พบในไทย - เรื่องเล่าเช้านี้

Adblock test (Why?)


เฝ้าระวัง 'ไข้หวัดมะเขือเทศ' พบมากในเด็ก คล้ายโรคมือ เท้า ปาก ยันไม่ใช่โรคใหม่ ยังไม่พบในไทย - เรื่องเล่าเช้านี้
Read More

Sunday, August 28, 2022

เช็กความเสี่ยงสมองเสื่อม - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

เช็กความเสี่ยงสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อม เป็นกลุ่มอาการที่มีความเสื่อมถอยของสมรรถภาพทางสมองในด้านการรู้คิด ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันเของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุดังนั้น จึงควรหมั่นสำรวจว่าผู้สูงอายุในบ้านมีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาการเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อม

  • อาการหลงลืมบ่อย ๆ จดจำเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่ได้ เช่น ลืมว่าตนรับประทานอาหารแล้ว
  • มีปัญหาด้านการสื่อสาร นึกคำไม่ออก ใช้คำผิด
  • ไม่มีสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้เป็นระยะเวลานาน
  • ทำกิจวัตรประจำวันของตนไม่ได้อย่างเดิม
  • อาจมีปัญหาทางจิตหรือพฤติกรรม เช่น หวาดระแวง หึงหวง พูดจาหยาบคาย วิตกกังวล

หากพบว่าผู้สูงอายุในบ้านมีอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการวินิจฉัยเพื่อวางแผนในการรักษาและรับมือกับอาการโดยด่วน

ข้อมูล ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2565
ที่มา : รศ. นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย
ฝ่ายจิตเวชศาสตร์
คลินิกตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ศูนย์ประสาทศาสตร์

Adblock test (Why?)


เช็กความเสี่ยงสมองเสื่อม - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
Read More

สวพ. FM 91 สถานีวิทยุเพื่อความปลอดภัยและการจราจร - สวพ. FM 91 สถานีวิทยุเพื่อความปลอดภัยและการจราจร

29 ส.ค. 2565 | 06:31:26

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก วันที่ 29 สิงหาคม 2565 เวลา 06.30 น. 

ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกจำนวน 605,782,461 ราย รักษาอาการดีขึ้น 580,963,698ราย เเละเสียชีวิตสะสม 6,487,877 ราย 

1. ประเทศ สหรัฐอเมริกา ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 96,010,310 ราย เสียชีวิต 1,069,131 คน (เพิ่มขึ้น 7 คน) 
2. ประเทศ อินเดีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 44,414,898 ราย เสียชีวิต 527,754 คน (เพิ่มขึ้น 157 คน) 
3. ประเทศ ฝรั่งเศส ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 34,478,797 ราย เสียชีวิต 153,857 คน (ยังไม่อัปเดตตัวเลขผู้เสียชีวิต) 
4. ประเทศ บราซิล ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 34,384,747 ราย เสียชีวิต 683,528 คน (เพิ่มขึ้น 380 คน) 
5. ประเทศ เยอรมนี ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 32,041,348 ราย เสียชีวิต 147,104 คน (อัปเดตตัวเลขผู้เสียชีวิต)

ประเทศไทยอยู่อันดับ 29 ของโลก ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 4,646,412 ราย (เพิ่มขึ้น 1,769 ราย) เสียชีวิต 32,225 คน (เพิ่มขึ้น 27 คน) 


Share this:

Adblock test (Why?)


สวพ. FM 91 สถานีวิทยุเพื่อความปลอดภัยและการจราจร - สวพ. FM 91 สถานีวิทยุเพื่อความปลอดภัยและการจราจร
Read More

งานวิจัยข้อมูลเฉพาะคนสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีข้อบกพร่อง - ไทยรัฐ

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสื่อบางฉบับลงข่าวงานวิจัยของประเทศอังกฤษในทำนองว่า ผู้สูบบุหรี่ 2 ใน 5 เลิกบุหรี่เพราะบุหรี่ไฟฟ้า หลังจากที่สภาท้องถิ่นแห่งเมืองนอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ มีนโยบายแจกคูปองเพื่อรับบุหรี่ไฟฟ้าฟรี ว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการเก็บข้อมูลเฉพาะคนสูบบุหรี่ที่ได้รับแจกคูปองเท่านั้น ซึ่งมีจำนวนเพียง 668 คน และในจำนวนนี้มีเพียง 340 คน ที่นำคูปองมารับบุหรี่ไฟฟ้า โดยการศึกษาไม่มีการเปรียบเทียบกับคนสูบบุหรี่ที่ไม่ได้รับคูปอง หรือไม่ได้นำคูปองมารับบุหรี่ไฟฟ้าว่ามีอัตราการเลิกสูบบุหรี่เป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบก็ไม่สามารถนำมาอ้างได้ว่า การเลิกสูบบุหรี่เกิดจากใช้บุหรี่ไฟฟ้าจริง

รศ.พญ.เริงฤดีกล่าวต่อว่า ส่วนที่ว่า 2 ใน 5 หรือ 40% ของคนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเลิกสูบบุหรี่ได้นั้นก็เป็นเพียงผลในระยะ 4 สัปดาห์เท่านั้น แต่เมื่อติดตามไป 12 สัปดาห์กับพบว่าอัตราการเลิกสูบบุหรี่เหลือเพียง 15% ซึ่งในงานวิจัย นักวิจัยก็ออกมายอมรับเองว่าตัวเลขนี้ต่ำกว่าอัตราการเลิกสูบของประชาชนเมืองนอร์ฟอล์ก ที่ใช้บริการช่วยเลิกบุหรี่แบบปกติที่ไม่ได้รับแจกคูปองบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเมื่อติดตามไป 12 สัปดาห์เลิกบุหรี่ได้ถึง 43.7%.

Adblock test (Why?)


งานวิจัยข้อมูลเฉพาะคนสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีข้อบกพร่อง - ไทยรัฐ
Read More

รพ.จุฬาฯ เปิด Walk-in "ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี" ปชช.ทุกกลุ่ม - กรุงเทพธุรกิจ

วันนี้ (28 ส.ค.65) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ประกาศผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป โดยไม่จำกัดอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย

ผู้ที่มีความประสงค์จะเข้ารับการฉีดวัคซีน สามารถ Walk-In ได้ที่

  • อาคาร ภปร ชั้น 16 ห้องเบอร์ 21
  • วันจันทร์-วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ)
  • ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น.(หยุดพักกลางวัน เวลา 12.00-13.00 น.)
  • ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 16 กันยายน 2565 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด

สามารถติดต่อทำนัดหมายล่วงหน้าผ่านทางโทรศัพท์ได้ที่ 02-256-4185 หรือ 02-256-4210 

สอบถามเพิ่มเติมโทร. 02-256-5427

โปรดนำบัตรประชาชน มาทุกครั้งที่เข้ารับบริการ

รพ.จุฬาฯ เปิด Walk-in "ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี" ปชช.ทุกกลุ่ม

WHO ห่วงไข้หวัดใหญ่ติดเชื้อร่วมโควิด

ในปีนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศเตือนประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในเขตอบอุ่นซีกโลกใต้ ซึ่งรวมทั้งประเทศไทย ให้เฝ้าระวังเพื่อติดตามและเตรียมรับมือกับ โรคไข้หวัดใหญ่ และ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) รวมถึงเพิ่มการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจมีการติดเชื้อร่วมกับ โควิด-19 ได้

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) เปิดเผยว่า สิ่งที่น่าวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ ในสถานการณ์ช่วงนี้ มี 2 ส่วนหลักๆ คือ

1. การเปิดเรียนเต็มรูปแบบ

ตัวแปรสำคัญก็คือ ‘เด็กเล็ก’ อายุ 0-4 ปี และ ‘เด็กวัยเรียน’ อายุ 5-9 ปี รองลงมาคือ ‘เด็กโต’ อายุ 10-19 ปี ซึ่งถือเป็นตัวกลางที่จะนำพาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่มาสู่สมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ยิ่งหากมีผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ก็จะยิ่งได้รับความเสี่ยงสูงต่อโรครุนแรงเพิ่มขึ้นไปด้วย

จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์โดย The Lancet (ตีพิมพ์ 25 มีนาคม 2565) พบว่าผู้ป่วยที่เป็นทั้งโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมากขึ้นถึง 2 - 4 เท่า เมื่อเทียบกับเป็นโรคโควิด-19 เพียงโรคเดียว ในขณะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สูงถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ จากการศึกษาในต่างประเทศอื่นๆ ยังพบว่า 7 ใน 10 คนที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคปอดบวม การอักเสบของสมอง ความล้มเหลวของอวัยวะหลายส่วน และภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิตอีกด้วย

2. การเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ

ซึ่งได้มีคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน สิ่งที่กังวลคือนักท่องเที่ยวในหลายประเทศจะมีแนวทางปฎิบัติในการป้องกันโควิด-19 แตกต่างจากคนไทย เช่น ไม่นิยมสวมใส่หน้ากากอนามัย หรือไม่มีการเว้นระยะห่าง

อีกทั้ง หากเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากซีกโลกใต้ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นโซนที่กำลังมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่เพิ่มสูงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ รวมถึงคนไทยที่เกี่ยวข้องได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ และอาจเกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทยเป็นวงกว้างมากขึ้น ถือเป็นวงจรของการแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่ต่อไปในอีกหลายประเทศในอนาคตอันใกล้

ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โอกาสเข้า ICU ลดลง

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ กล่าวย้ำเตือนกับผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในช่วงวัย 0-19 ปี ซึ่งจะเป็นกลุ่มนำพาโรคกลุ่ม 608 ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงเดียวกับโควิด-19 รวมถึงประชาชนทั่วไป ไม่ควรเพิกเฉยต่อการป้องกันไข้หวัดใหญ่และควรป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจาก ‘การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่’ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่คุ้มค่าที่สุดในการช่วยปกป้องตนเองและบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวให้รอดพ้นจากความรุนแรงของการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่และการติดเชื้อร่วมกับโรคเรื้อรังอื่นๆ ได้

โดย Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC สหรัฐอเมริกา ได้รวบรวมผลการศึกษาจากหลายแห่ง ซึ่งมีผลการศึกษาปี 2018 แสดงให้เห็นถึงผู้ใหญ่ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หากเป็นโรคไข้หวัดใหญ่จะมีโอกาสรับการรักษาใน ICU น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ถึง 59% ขณะที่ผลการศึกษาปี 2021 พบว่า ผู้ใหญ่ที่รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ลดลง 31% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ปัจจุบัน สถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย มีบริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลปี 2565 หรือเรียกว่า ‘วัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซีกโลกใต้ 2022’ ทั้งชนิด 3 สายพันธุ์ (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย) และชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งจะครอบคลุมเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้กว้างกว่าชนิด 3 สายพันธุ์ โดยประชาชนสามารถรับบริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ ได้ที่โรงพยาบาลเอกชนทั่วไป โดยได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2565

ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้อต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ คลิก หรือทางเพจของมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่

Adblock test (Why?)


รพ.จุฬาฯ เปิด Walk-in "ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี" ปชช.ทุกกลุ่ม - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

"กินยาดักไข้" หลังตากฝน ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ได้จริงหรือ - Hfocus

การกินยาดักไข้ ความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาในหลายครอบครัว โดยเชื่อกันว่า หากตากฝนมาให้กินยาดักไข้เสียก่อนจะได้ไม่เป็นไข้ในภายหลัง กรณีนี้ นพ.พจน์ อินทลาภาพร หัวหน้างานโรคติดเชื้อกลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี ให้ข้อมูลกับ Hfocus ว่า โดยหลักการไม่ควรทำ เพราะยาลดไข้เป็นการบรรเทาอาการเมื่อมีไข้แล้ว การกินยาดักไข้ไว้ก่อนโดยไม่รู้ว่าจะมีไข้จริงหรือไม่ ไม่ควรทำ ถ้าร่างกายไม่ได้มีไข้จริง อาจจะได้ผลข้างเคียง หรือมีโอกาสแพ้ยาได้ ทั้งนี้ หากรับประทานยาโดยไม่มีข้อบ่งชี้บ่อย ๆ ร่างกายจะได้รับยาซึ่งเป็นสารเคมีเข้าไปโดยไม่จำเป็น ถ้ารับประทานเกินขนาดหรือทานบ่อย ๆ จะได้ผลข้างเคียง เช่น ยาพาราเซตามอลจะมีผลต่อตับหรือมีปัญหาตับอักเสบได้ หากรับประทานยาชนิดนี้มากเกินไป

ส่วนความเชื่อที่ว่า หากเริ่มรู้สึกไม่สบายตัวให้เลือกรับประทานยาฟ้าทะลายโจรจะดีกว่ายาพาราเซตามอล เพื่อดักไข้ไว้ก่อนนั้น นพ.พจน์ ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง สรรพคุณของยาฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ลดไข้ บรรเทาอาการเจ็บคอ ปวดเมื่อยตัว ถ้ามีอาการคล้ายไข้หวัด เจ็บคอ มีไข้วัดได้เกิน 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปก็ค่อยรับประทาน ไม่จำเป็นต้องรับประทานดักไว้ก่อน ถ้าสาเหตุของไข้ไม่ได้เกิดจากไข้หวัดหรือคออักเสบจากเชื้อไวรัส แต่เป็นไข้จากสาเหตุอื่น เช่น ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ข้อบ่งชี้ก็ไม่ได้ครบถ้วนที่ต้องรับประทานยาฟ้าทะลายโจร อย่างไรก็ตาม หากกินยาฟ้าทะลายโจรแล้วไข้ยังไม่ลด และต้องการกินยาพาราเซตามอลต่อ ต้องเว้นช่วงรอ 2-4 ชั่วโมงก่อนให้ฤทธิ์ของยาฟ้าทะลายโจรออกไปก่อน ไม่ควรจะทานพร้อมกัน เนื่องจากยาทั้ง 2 ชนิดนี้ขับออกที่ตับเหมือนกัน จะทำให้ตับอักเสบได้ถ้ารับประทานพร้อมกัน หากไม่มีอาการเจ็บคอให้ทานยาพาราเซตามอลตามข้อบ่งชี้ทุก 4-6 ชั่วโมง 

"ยาฟ้าทะลายโจรที่จำหน่ายในท้องตลาดยังมีหลายขนาดมาก ต้องดูตามฉลากด้วยว่าให้ทานปริมาณเท่าไหร่ เพราะยาฟ้าทะลายโจรที่รับประทานเพื่อรักษาเชื้อโควิด-19 จะเป็นสารสกัดจากตัวใบหรือต้น ไม่ได้เป็นผงป่นใส่แคปซูล จึงมีความเข้มข้นของสารเคมีที่ช่วยต้านไวรัสมากกว่า หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินข้อบ่งใช้อาจทำให้เกิดตับอักเสบได้ จึงควรอ่านฉลากให้ดี ปกติแล้วไม่ควรรับประทานเกินวันละ 4 ครั้ง ในช่วงเวลา 6-8 ชั่วโมง และหากรับประทานฟ้าทะลายโจรผ่านไป 1-2 วันแล้ว อาการไม่ดีขึ้น ยังเจ็บคอ ก็ควรรีบพบแพทย์" นพ.พจน์ กล่าว 

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

Adblock test (Why?)


"กินยาดักไข้" หลังตากฝน ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ได้จริงหรือ - Hfocus
Read More

Saturday, August 27, 2022

ไขคำตอบ!'เชื้อโควิด'อยู่ในร่างกายได้กี่วัน หายป่วยแล้วจะยังแพร่เชื้อได้อีกหรือไม่? - Bizpromptinfo

มีคนจำนวนมากที่ติดโควิด 19 หรือได้รับเชื้อไวรัสโคโรนา (SARS-CoV-2) สายพันธุ์โอมิครอนแล้วแสดงอาการป่วยเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่มีอาการเลย หลายคนจึงไม่ค่อยแน่ใจว่า หลังหายป่วยแล้ว เชื้อไวรัสชนิดนี้จะยังหลงเหลือในร่างกายอยู่ไหม แล้วจะแพร่ต่อไปให้คนอื่นได้อีกหรือเปล่า

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า โควิดสายพันธุ์โอมิครอนจะมีช่วงเวลาที่แพร่เชื้อได้มากที่สุดคือ 1-2 วันก่อนแสดงอาการ และเมื่อแสดงอาการป่วยแล้ว จะแพร่เชื้อได้มากที่สุดในช่วง 2-5 วันหลังเริ่มป่วย

โดยมีการศึกษาพบว่า เมื่อทำการเพาะเชื้อไวรัสในวันที่ 7 ยังเพาะเชื้อได้ถึง 25% แต่เพาะเชื้อไม่ขึ้นแล้วในวันที่ 14 นั่นหมายความว่า หลังติดเชื้อโควิดไปได้ 7 วัน อัตราการแพร่เชื้อจะเริ่มลดลง และเมื่อถึงวันที่ 14 ก็ไม่สามารถแพร่เชื้อต่อไปได้อีก ดังนั้นทางการแพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยกักตัวหรือแยกจากผู้อื่นประมาณ 10-14 วัน เพื่อตัดโอกาสการแพร่เชื้อ

ดังนั้น ใครที่หายป่วย คือพ้น 14 วันแล้ว ถ้าลองตรวจ RT-PCR ยังอาจมีผลบวกอยู่ก็ได้เพราะมีซากเชื้อ หรือจุลชีพที่ถูกร่างกายทำลายจนหมดฤทธิ์แล้วหลงเหลืออยู่ แต่ตรงนี้ก็วางใจได้ว่าซากเชื้อนี้ไม่สามารถเพาะเชื้อและแพร่เชื้อได้อีกแล้ว

ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าเชื้อจะหมดไปจากร่างกายเสียทีเดียว เพราะผลพวงจากการติดไวรัสชนิดนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพไปได้อีกอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หรือในบางคนอาจลากยาวไปจนถึง 9 เดือน

โดยข้อมูลจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) พบว่า เชื้อโควิด 19 ที่เข้าสู่ร่างกายไม่ได้อยู่แค่ในระบบทางเดินหายใจ แต่ยังสามารถแบ่งตัวในเซลล์มนุษย์ส่วนอื่น ๆ และแพร่กระจายไปยังหัวใจ สมอง และเกือบทุกระบบของร่างกายภายในไม่กี่วันหลังจากติดเชื้อ

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่หายป่วยจากโควิดแล้ว ยังต้องเผชิญกับภาวะลองโควิด (Long Covid) หรืออาการคงค้างหลังหายป่วย ในหลายระบบของร่างกาย แม้ว่าตอนที่ป่วยโควิดอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีอาการเลยก็ตาม

สอดคล้องกับที่ รศ. นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลถึงงานวิจัยจากประเทศสเปนซึ่งได้ติดตามผู้ป่วยโควิด 29 คนที่มีอาการคงค้างต่อเนื่องอย่างน้อย 4 สัปดาห์ พบว่า สามารถตรวจพบสารพันธุกรรมไวรัสในเลือดของผู้ป่วยได้ถึง 45% และสามารถตรวจพบสารพันธุกรรมในเลือด ปัสสาวะ หรืออุจจาระ อย่างใดอย่างหนึ่งในผู้ป่วยได้ 51% แสดงให้เห็นว่าเชื้อโควิด 19 กระจายไปทั่วร่างกาย ไม่ได้อยู่แค่เพียงระบบทางเดินหายใจเท่านั้น และทำให้เกิดอาการลองโควิดในหลายระบบ

ภาวะลองโควิดที่พบในปัจจุบันมีมากกว่า 200 อาการ ที่พบค่อนข้างบ่อยก็คือ อาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย รวมทั้งอาการที่เกิดขึ้นกับระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น

– ระบบทางเดินหายใจ : ไอ เจ็บหน้าอก หายใจถี่ หายใจลำบาก

– ระบบประสาท : สมองเบลอ มึนงง ปวดหัว สมาธิสั้น มีความผิดปกติด้านการนอน

– ระบบทางเดินอาหาร : ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด

– ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก : ปวดตามข้อ ปวดกล้ามเนื้อ

– ปัญหาทางจิตเวช : ซึมเศร้า วิตกกังวล

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีอาการรุนแรงกว่านั้น เช่น หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โรคสมองขาดเลือด ไตเสื่อม แม้กระทั่งในเด็กก็ยังเสี่ยงต่อภาวะ MIS-C ที่ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วทั้งร่างกาย

ขอบคุณข้อมูล  Kapook.com

Adblock test (Why?)


ไขคำตอบ!'เชื้อโควิด'อยู่ในร่างกายได้กี่วัน หายป่วยแล้วจะยังแพร่เชื้อได้อีกหรือไม่? - Bizpromptinfo
Read More

'หมอยง'ปลื้มวิจัยฉีดวัคซีน mRNA เข็มกระตุ้นครึ่งโดส ได้เผยแพร่รระดับนานาชาติ - สำนักข่าวอิศรา

270822 yong

'หมอยง'ปลื้มผลงานวิจัยฉีดวัคซีน mRNA เข็มกระตุ้นเพียงครึ่งโดส เป็นที่ยอมรับ ได้เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติที่ได้มาตรฐานสูง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2565 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ให้ข้อมูลการฉีดวัคซีน mRNA เข็มกระตุ้น โดยระบุว่า

ผลงานวิจัยของเรา แสดงออกมาชัดเจน ถึงการใช้วัคซีน mRNA ไม่ว่าจะเป็น วัคซีนไฟเซอร์ หรือ moderna การให้เพียงขนาดครึ่งเดียว กับเต็มโดส ในการกระตุ้นผู้ที่ได้รับวัคซีนเชื่อตาย sinovac มาก่อน ผลภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างกัน อยู่ในระดับที่สูง

ผลงานได้รับการเผยแพร่ในวารสาร “VACCINE” ที่เป็นวารสารระดับนานาชาติที่ได้มาตรฐานสูง และเป็นที่ยอมรับ รายละเอียดสามารถหาอ่านได้ เพราะวารสารได้เผยแพร่แล้ว วัคซีนเชื้อตาย จะเป็นวัคซีนพื้นฐานที่ให้แล้ว เมื่อกระตุ้นไม่ว่าจะเป็นใช้ไวรัสเวกเตอร์ AstraZeneca, mRNA หรือโปรตีนซับยูนิต Covovax (Novavax) กระตุ้นภูมิได้สูงมาก ไม่ได้ด้อยกว่าการให้วัคซีนชนิดเดียวกัน 3 เข็ม

และจากการติดตามของเราในกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนเต็มโดสและครึ่งโดส ไปจนถึง 4 เดือนหรือ 120 วัน การลดลงของภูมิต้านทานไม่ว่าจะได้รับเต็มโดสหรือครึ่งโดส ไม่แตกต่างกัน วัคซีน Moderna เป็นที่ยอมรับ ทั่วโลกว่าการกระตุ้น ใช้เพียงครึ่งเดียว หรือขนาด 50 ไมโครกรัมก็เพียงพออยู่แล้ว

270822 yong1

Adblock test (Why?)


'หมอยง'ปลื้มวิจัยฉีดวัคซีน mRNA เข็มกระตุ้นครึ่งโดส ได้เผยแพร่รระดับนานาชาติ - สำนักข่าวอิศรา
Read More

Friday, August 26, 2022

อนามัยโลกเผยข่าวดี ยอดติดเชื้อฝีดาษลิงทั่วโลกลดลง 21% สัปดาห์ที่แล้ว - กรุงเทพธุรกิจ

ดับเบิลยูเอชโอ รายงานว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายใหม่รายสัปดาห์จำนวน 5,907 ราย และเปิดเผยว่า อิหร่านและอินโดนีเซียเพิ่งรายงานพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรก

ทั้งนี้ มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงมากกว่า 45,000 รายใน 98 ประเทศนับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับผู้ติดเชื้อในสหรัฐนั้นคิดเป็น 60% ของจำนวนผู้ติดเชื้อในเดือนก.ค. ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในยุโรปอยู่ที่ประมาณ 38% โดยดับเบิลยูเอชโอ ระบุว่า การติดเชื้อในสหรัฐยังคงแสดงถึงการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของดับเบิลยูเอชโอ เปิดเผยในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (25 ส.ค.) ว่า แม้มีสัญญาณว่าการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงกำลังชะลอลงในยุโรปซึ่งเคยมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อสูงถึง 90% แต่การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงก็ยังคงสร้างความวิตกในที่อื่น ๆ ของโลก

นายแพทย์ทีโดรสกล่าวว่า "โดยเฉพาะในลาตินอเมริกา ความตระหนักหรือมาตรการด้านสาธารณสุขที่ไม่เพียงพอ รวมถึงกับการขาดวัคซีน ทำให้การแพร่ระบาดทวีความรุนแรงขึ้น" นายทีโดรสกล่าว

Adblock test (Why?)


อนามัยโลกเผยข่าวดี ยอดติดเชื้อฝีดาษลิงทั่วโลกลดลง 21% สัปดาห์ที่แล้ว - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม - PPTVHD36

เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม
ดูแลกาย
เผยแพร่: 10

อาการปัสสาวะแสบ ขัด และปัสสาวะลำบาก เป็นสัญญาณของโรคนิ่วในระบบปัสสาวะ หากไม่รีบรักษาอาจส่งผลต่อการทำงานของไตได้

นิ่วนั้นมักเริ่มต้นเกิดในไต และต่อมาเลื่อนตำแหน่งไปยังกรวยไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ หากนิ่วมีขนาดเล็กก็จะสามารถหลุดออกเองได้ ในช่วงเวลาที่ผู้ป่วยปัสสาวะ แต่ถ้านิ่วมีขนาดใหญ่ก็จะไปอุดตันตามตำแหน่งต่างๆ

การมีนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้การทำงานของไตเสื่อมลง และอาจร้ายแรงจนถึงเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง และโรคไตระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

"ปวดฉี่บ่อย" โรคกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน รีบรักษาก่อนส่งผลระยะยาว

สีปัสสาวะบอกสุขภาพ รู้ทันสัญญาณเตือนโรค ไม่ตื่นตระหนก รักษาได้ทัน

เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม

สาเหตุของนิ้ว

สาเหตุการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัดเจน แต่ที่สามารถอธิบายได้ เช่น

  • การดื่มน้ำน้อย กลุ่มอาชีพเสี่ยงต่อโรค เช่น ผู้ที่ออกไปดื่มน้ำลำบาก เมื่อดื่มน้ำน้อยจึงทำให้ปัสสาวะเข้มข้น แร่ธาตุของเสียที่กรองจากไตตกตะกอนจับตัวเป็นก้อนหินเป็นผลึกได้มากขึ้น
  • สิ่งแวดล้อมด้านพันธุกรรม คนไทยที่อาศัยที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดนิ่วได้ง่ายกว่าคนภาคอื่น เพราะระบบเผาพลาญ การดูดซึมคัดกรองเกลือแร่ของคนไข้ทำให้มีการตกตะกอนได้ง่าย

ไอ จาม หัวเราะแล้ว "ปัสสาวะเล็ด" โรคนี้รักษาได้ ทวงคืนคุณภาพชีวิตดี

เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม

อาการของโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

ลักษณะอาการของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะนั้น จะขึ้นอยู่กับขนาดของนิ่วและตำแหน่งที่นิ่วนั้นอุดอยู่ รวมถึงนิ่วนั้นอุดทางเดินปัสสาวะมากน้อยเพียงใด หากอาการอยู่ในช่วงระยะแรก ร่างกายของเราอาจขับก้อนนิ่วออกมาได้เองทางปัสสาวะ ซึ่งจะพบตะกอนเหมือนก้อนกรวดเล็กๆ ปนออกมาพร้อมกับปัสสาวะ แต่เมื่อใดก็ตามที่ก้อนนิ่ว มีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีการอุดตันที่มากขึ้น ก่อให้เกิดการเสียดสี ส่งผลสู่การบาดเจ็บ มีเลือดออก ทำให้ปัสสาวะมีสีแดงขึ้น จากเลือดหรือบางกรณีมีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ

  • อาการปวดจากนิ่วอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ โดยอาจมีอาการปวดบริเวณบั้นเอว หรือ บริเวณท้องขึ้นอยู่กับตำแหน่งนิ่ว
  • มีปัสสาวะแสบ ขัด และปัสสาวะลำบาก
  • มีปัสสาวะเป็นเลือด พบได้ถึง 80 - 90% ของผู้ป่วย
  • ปัสสาวะขุ่นเป็นผลคล้ายชอล์ก เนื่องจาก การตกตะกอนของสารที่เป็นส่วนประกอบของนิ่ว
  • การติดเชื้อ การอุดกั้น ของนิ่วทำให้ปัสสาวะคั่งค้าง ในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดการติดเชื้อ มีไข้ หากมีอาการมาก อาจพบปัสสาวะขุ่นมีหนองปน และกลิ่นเหม็น
  • ปัสสาวะไม่ออก กรณีที่เป็นนิ่วบริเวณท่อปัสสาวะ
  • ไม่มีน้ำปัสสาวะ กรณีที่มีภาวะอุดตันของไต อย่างรุนแรงทั้งสองข้าง
  • อาการแทรกซ้อน เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และท้องอืด  

แสบ ขัด ปัสสาวะไม่สุด ระวังโรค "มะเร็งต่อมลูกหมาก"

เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม

อาการของนิ่วในไตหรือท่อไต

จะมีอาการปวดตรงบริเวณเอวด้านหลังที่เป็นตำแหน่งของไต เวลาที่ก้อนนิ่ว หลุดมาอยู่ในท่อไต ผู้ป่วยจะมีอาการปวดชนิดที่รุนแรงมาก เหงื่อตก และเกิดเป็นพักๆ บางรายปัสสาวะอาจมีเลือดหรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อร่วมด้วย 

แต่ถ้านิ่วลงมาอุดบริเวณที่ท่อไตต่อกับกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการระคายเคืองเวลาปัสสาวะ อยากปัสสาวะ แต่ปัสสาวะขัด หากปล่อยให้เป็นนิ่วไปนานๆ โดยมิได้รับการรักษา จะทำให้ไตเกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีรูปร่าง และการทำงานผิดปกติมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่ภาวะไตวายในที่สุด

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคใกล้ตัวของคนวัยทำงานที่ต้องระวัง

การวินิจฉัยเบื้องต้น

การตรวจปัสสาวะ เจาะเลือดดูการทำงานของไต สำหรับการประเมินวิธีการรักษาต้องตรวจเอกซเรย์ฉีดสี หรืออัลตราซาวด์ที่ไต เพื่อดูตำแหน่ง ขนาด จำนวนและชนิดของนิ่ว

เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม

การรักษา

ปัจจุบันมีการรักษาหลายวิธี  โดยแพทย์จะพิจารณาโดยอาศัยข้อมูลเรื่องชนิดและขนาดของนิ่ว ตำแหน่งของนิ่ว ความแข็งของนิ่ว ไตบวมมากหรือน้อย การอักเสบของไต พิจารณาแล้ววิเคราะห์เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละราย บางท่านอาจจะเหมาะสมที่จะรักษาด้วยการสลายนิ่ว แต่บางท่านไม่เหมาะสมที่จะสลายนิ่ว อาจรักษาได้ด้วยวิธีอื่นๆ เริ่มจาก

1. การรักษาตามอาการ  กรณีนิ่วมีขนาดเล็ก กว่า 4 มม. โดยจะแนะนำให้คนไข้ดื่มน้ำมากๆ  เพื่อให้นิ่วหลุดออกเองและตามผลอย่างสม่ำเสมอ

2. การรักษาทางยา เหมาะในรายที่เป็นนิ่วขนาดเล็กในไตหรือท่อไต ลักษณะกลม เรียบ มีอาการปวดไตน้อย ไม่อักเสบรุนแรง

3. การเจาะเพื่อดูดเอานิ่วอออกหรือการสลายนิ่ว ด้วยเครื่อง Shockwave ซึ่งเป็นวิธีรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยที่มีนิ่วขนาดไม่เกิด 2 ซม.เหมาะสำหรับนิ่วในไต หรือ ท่อไตขนาดปานกลาง

4. การผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดแบบเปิดแผล หรือการผ่าตัดโดยวิธีการส่องกล้อง  วิธีการเหมาะสำหรับนิ่วที่มีขนาดใหญ่ เช่น นิ่วในท่อไตที่ติดแน่น นิ่วเขากวางในไต รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบรุนแรง ซึ่งต้องรีบขจัดนิ่วออก ผู้ป่วยที่มีไตเสื่อมมากแล้ว เป็นต้น

ส่วนการรักษานิ่วโดยใช้วิธีส่องกล้องเข้าไปคีบ ขบ กรอนิ่ว เหมาะสำหรับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และท่อไต โดยแพทย์จะสอดกล้องเข้าไปตามท่อปัสสาวะเพื่อทำการรักษา

สร้างภูมิคุ้มกัน ให้ตัวเองแบบง่ายๆ ทำได้ทันที

เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม

การดูแลป้องกัน

  • ดื่มน้ำให้มาก ทางทฤษฎีถ้าดื่มและปัสสาวะออกมาได้ในปริมาณ 2 ลิตร ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำ หรือการเกิดนิ่วก้อนใหม่ แต่ปัจจุบันต้องพิจารณาตามความเหมาะสมกับลักษณะการใช้ชีวิต
  • ดื่มน้ำมะนาว น้ำส้ม ช่วยให้การเกิดนิ่วลดลง เพราะน้ำมะนาวมีซิเตรท ช่วยยับยั้งการเกิดนิ่ว การดื่มน้ำมะนาววันละ 1-2 แก้วต่อวัน ช่วยยับยั้งให้นิ่วโตช้า หรือเกิดซ้ำช้าขึ้นในผู้ที่แล้ว
  • ดูแลด้านอาหาร พิจารณาจากชนิดของนิ่วเป็นหลัก อาทิ เป็นนิ่วกรดยูริก ลักษณะการดูแลตนเองจะคล้ายกับผู้ที่ป่วยด้วยโรคเกาต์ ต้องระมัดระวังอาหารประเภทเครื่องในสัตว์
  • ตรวจสุขภาพประจำปี ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลเปาโล

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

PPSHOP

Adblock test (Why?)


เช็กอาการอันตราย "นิ่วในระบบปัสสาวะ" รีบรักษาก่อนลุกลาม - PPTVHD36
Read More

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...