Rechercher dans ce blog

Friday, September 30, 2022

ฝีดาษลิง ไทยพบติดเชื้อใหม่ 2 รายในภูเก็ต มีประวัติสัมผัสใกล้ชิด - ประชาชาติธุรกิจ

[unable to retrieve full-text content]

  1. ฝีดาษลิง ไทยพบติดเชื้อใหม่ 2 รายในภูเก็ต มีประวัติสัมผัสใกล้ชิด  ประชาชาติธุรกิจ
  2. กรมควบคุมโรค เผยพบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรอีก 2 รายที่จ.ภูเก็ต  เดลินิวส์ออนไลน์
  3. กรมควบคุมโรค เผยพบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรจำนวน 2 รายที่จังหวัดภูเก็ต  กรุงเทพธุรกิจ
  4. กรมควบคุมโรค เผยพบผู้ป่วยฝีดาษลิงเพิ่ม อีก 2 ราย ที่ภูเก็ต  มติชน
  5. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

ฝีดาษลิง ไทยพบติดเชื้อใหม่ 2 รายในภูเก็ต มีประวัติสัมผัสใกล้ชิด - ประชาชาติธุรกิจ
Read More

ปวดหัวอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก! อาจเป็นสัญญาณเตือนนำไปสู่โรคร้าย - PPTVHD36

ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย สมองทำงานเชื่อมต่อระหว่างกันโดยมีระบบประสาทเป็นเป็นตัวนำพาข้อมูล โดยระบบประสาทมี 2 ส่วนด้วยกัน
1.ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง
ทำหน้าที่ในการรับรู้ ประมวลผล และสั่งการ อวัยวะ 2 ส่วนนี้จะทำงานร่วมกัน โดยไขสันหลังเป็นทางผ่านที่ช่วยถ่ายทอด กระแสประสาท เรียกง่าย ๆ ว่าข้อมูล ส่งจากสมองไปร่างกายและจากร่างกายกลับมายังสมอง

“กรมการแพทย์”เตือนภาวะวูบหมดสติแฝงอันตรายไม่ควรมองข้าม

LONG COVID  มีผลแค่ไหนกับโรคสมองและระบบประสาท

ปวดหัวอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก! อาจเป็นสัญญาณเตือนนำไปสู่โรคร้าย

2.ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบด้วยเส้นประสาท ทำหน้าที่รับและส่งความรู้สึกไปยังระบบประสาทส่วนกลาง เช่น การรับรู้ความเจ็บปวดเมื่อเกิดบาดแผล และเกี่ยวข้องกับระบบ สั่งการ เช่น การควบคุมกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวร่างกาย

ในระบบประสาททั้ง 2 ส่วน มีเส้นประสาทอยู่ทั่วร่างกายคนเรา 
โดยเส้นประสาทเกิดจากเซลล์ประสาท ที่เป็นส่วนที่เล็กที่สุดของระบบประสาทหลาย ๆ ส่วนรวมกันเป็นมัด

เส้นประสาทจะเป็นเหมือนกับสายไฟที่เชื่อมต่อระหว่างศูนย์ควบคุมของสมองและไขสันหลังออกไปยังอวัยวะต่าง ๆ หากมีอะไรเกิดขึ้น เส้นประสาทจะเป็นเหมือนระบบแจ้งเตือน กับไขสันหลังไปยังสมองได้ในทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา 

ปวดหัวอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก! อาจเป็นสัญญาณเตือนนำไปสู่โรคร้าย

ตัวอย่างกันเช่น
หากนิ้วมือเราโดนหนามกระบองเพชรตำ เซลล์ประสาทรับรู้ความรู้สึกจะส่งสัญญาณไปที่ไขสันหลัง เซลล์ประสาทสั่งการจะนำคำสั่งไปยังกล้ามเนื้อแขน จากนั้นกล้ามเนื้อแขนจะกระตุกให้ยกมือออกทันทีเข้าหน้าในขณะเดียวกันเซลล์ประสาทประสานงานก็จะส่งข้อมูลไปยังสมอง สมองก็จะสั่งการให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดด้วย
แต่สมองที่ถูกใช้งานหนักหรือมีปัจจัยเสี่ยงก็ย่อมเสื่อมและมีประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงได้ครับ สังเกตได้จากอาการเหล่านี้ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่า สมองเริ่มเหนื่อยล้า เกิดความผิดปกติ หรือถ้าเป็นหนักขึ้นก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้คุณแล้วครับ เช่น อัลไซเมอร์และสมองเสื่อม หรือโรคสมองที่ร้ายแรงและคนคุ้นเคยกันคงจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือ Stroke คนไทยก็จะรู้จักในอีกชื่อคืออัมพฤกษ์ อัมพาต หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ซึ่งเป็นอาการที่ต้องการรักษาโดยเร็วที่สุดเมื่อพบอาการ หรือการที่เส้นประสาทบริเวณจุดใดจุดหนึ่งในร่างกายของเรามีความผิดปกติ อย่างอาการมือเท้าชา อ่อนแรง รู้สึกช้า ไม่มีความรู้สึกเลย หรืออาจเกิดอาการแสบร้อนตามร่างกายโดยไม่มีสาเหตุ ก็อาจเป็นผลมาจากปัญหาด้านเส้นประสาท หรือบางทีก็อาจมีสาเหตุมาจากสมองได้เหมือนกัน

โดยโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและเส้นประสาทที่อาจจะรู้จักกัน เช่น

●โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท
●การบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง
●โรคเยื่อหุ้มปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
●โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS

นอกจากนี้ โรคเรื้อรังอย่างเบาหวานก็ส่งผลให้เส้นประสาทตามร่างกายเสียหายและเกิดอาการเหน็บชา ไม่มีความรู้สึก ไปจนถึงอาการปวดตามมาได้ด้วย

ปวดหัวอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก! อาจเป็นสัญญาณเตือนนำไปสู่โรคร้าย
สำหรับวิธีการดูแลสุขภาพสมองให้สดใส สามารถทำเองได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง และทานอาหารเช้าทุกวัน เพราะอาหารเช้าจะเป็นตัวช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของสมอง

2. พักผ่อนให้เพียงพอ  เพราะหากพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทั้งในด้านการใช้ความคิด รวมถึงการตื่นตัวของสมองและระบบประสาท

3. ออกกำลังกาย  การออกกำลังกายจะช่วยให้สมองตื่นตัว และทำให้ความจำดีขึ้น ซึ่งควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
 
4. จัดการความเครียด สมองจะทำงานได้ดีในขณะที่เรามีความสุข เมื่อรู้สึกว่าเครียดให้ผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิ หางานอดิเรกทำ ไปเที่ยวหรือพักผ่อนด้วยวิธีการอื่น ๆ

5. ฝึกสมอง ร่างกายที่แข็งแรงจำเป็นต้องได้รับการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่นเดียวกับสมองของเรา การใช้สมองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือแม้แต่การเล่นเกมก็ล้วนเป็นการบริหารสมองที่ดีทั้งสิ้น

 

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline

Adblock test (Why?)


ปวดหัวอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก! อาจเป็นสัญญาณเตือนนำไปสู่โรคร้าย - PPTVHD36
Read More

Thursday, September 29, 2022

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน - กรุงเทพธุรกิจ

ใคร ๆ ก็อยากรู้ว่า อาหารชะลอวัย ช่วยชะลอความเสื่อมของวัยได้จริงหรือ...

ความจริงเมนูอาหารในชีวิตประจำวันของเรา พืชผักผลไม้ โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามิน ถ้ากินอย่างสมดุลจะช่วยเสริมภูมิต้านทาน สร้างเซลล์ให้แข็งแรง ป้องกันความเสื่อมของวัยจึงช่วยชะลอวัยชรา

อาหารเหล่านี้อยู่กับมนุษย์มาเนิ่นนาน แต่บางคนก็กินน้อยไป หรือกินอย่างไม่สมดุล โดยเฉพาะในยุคเร่งรีบ สังคมเปลี่ยนไป ความเครียด การกิน-นอน-พักผ่อน ขาดสมดุล ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความเสื่อมของร่างกาย

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน      อาหารที่มีวิตามินซีสูงช่วยชะลอวัย (Cr: fullscript.com)

โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาวอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว จนละเลยการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง ปล่อยให้เกิดความเครียดสะสม กินไม่ถูกวิธี อาจเป็นตัวเร่งความเสื่อมของเซลล์ วัยชราอาจมาเยือนเร็วเกินไป

ภญ.เยาวธิดา เทพศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และเจ้าของเพจ GURUCHECK มาให้คำแนะนำและข้อมูลด้านสารอาหาร ที่สามารถเป็นปัจจัยช่วยส่งเสริมการชะลอวัย และช่วยสนับสนุนการดูแลสุขภาพผิวและผิวพรรณแบบองค์รวม โดยเฉพาะสำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน     ภญ.เยาวธิดา เทพศิริ

ภญ. เยาวธิดา เทพศิริ ให้ข้อมูลว่า

“ความชราอาจจะมาในช่วงวัยที่เราไม่ทันตั้งตัวได้ สำหรับเวชศาสตร์ชะลอวัยนั้น ความชราไม่ได้เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดได้จากหลากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารทอด ปิ้งย่าง อาหารที่มีรสหวาน มลพิษ ฝุ่นควันต่าง ๆ ความเครียด พักผ่อนน้อย รวมถึงการขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ"

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน     ผลไม้ตระกูลส้มมีวิตามินซี (Cr: everydayhealth.com)

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ที่ทำลายเซลล์ในร่างกายให้เสื่อมลง ยิ่งเสื่อมถอยมากก็หมายถึงร่างกายที่ยิ่งแก่ก่อนวัยได้ โดยสารอาหารถือเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันเรื่องความเสื่อมได้ ทั้งยังเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรง และมอบผิวที่สวยเปล่งปลั่งดูสุขภาพดีอีกด้วย”

ดังนั้น ควรรู้จักสารอาหารสำคัญใน 4 อาหารชะลอวัย แล้วเริ่มต้นใส่ใจเสริมสร้างสุขภาพกายและผิวให้ดูเด็กกว่าวัย ดังนี้

 วิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระยอดฮิต ช่วยเสริมภูมิต้านทาน พร้อมช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ และยังช่วย ป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีผลต่อการชะลอวัย เพราะมีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจน ชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้

แนะนำให้ทานครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง เนื่องจากวิตามินซีมีข้อจำกัดในการดูดซึม ในหนึ่งวันควรได้รับวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม แต่ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน

อาหารที่มีวิตามินซี : เป็น อาหารชะลอวัย ช่วยปกป้องผิวและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ทำให้หลอดเลือดสะอาดโลหิตไหลเวียนดี จึงทำให้ผิวพรรณสดใส พบมากในผักผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ แบล็คเคอแรนท์ บร็อคโคลี่ พริก กะหล่ำดาว ผักเคล มะเขือเทศ ส้ม มะนาว เกรพฟรุต ฝรั่ง มะละกอ กีวี ฯลฯ

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน       อาหารทะเลที่มีแอสตาแซนธิน (Cr: loovorganic.com)

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) สารต้านการชะลอวัยที่ไม่ควรมองข้าม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารอื่น ๆ กว่า 100-500 เท่า ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน หัวใจ และไขมันในเลือดสูง

ด้านการชะลอวัย สามารถช่วยลดริ้วรอยด้วยการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว ซึ่งอาหารที่ให้แอสตาแซนธินปริมาณมากและเป็นที่นิยม คือ สาหร่ายฮีมาโตค็อกคัส (สาหร่ายสีแดง Haematococcus)

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน      สัตว์ทะเลมีเปลือกสีส้ม, แดง มีแอสตาแซนธิน (Cr: soletoscana.com)

อาหารที่มีแอสตาแซนธิน : แอสตาแซนธินจัดอยู่ในสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ เป็นสารสีแดงที่พบทั่วไปในธรรมชาติ ในกล้ามเนื้อ ไข่ของสัตว์ทะเล เช่น แซลมอน, เทราต์, คาเวียร์, คริลล์ (เคย), กุ้ง ปู ล็อบสเตอร์, สาหร่ายสีแดง โดยปริมาณที่พบในธรรมชาติจะแตกต่างกัน เช่น แซลมอน 200 กรัม มีแอสตาแซนธิน 1 มก. 

การศึกษาใหม่พบว่า แซลมอนธรรมชาติมีปริมาณแอสตาแซนธินมากกว่าแซลมอนเลี้ยง เช่น แอตแลนติกแซลมอนมีแอสตาแซนธิน 6-8 มก. (ต่อนน.1 กก.) แซลมอนเทราต์ญี่ปุ่นพบมากถึง 25 มก.ต่อ 1 กก.

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน     (Cr: eattingwell.com)

ปัจจุบันมีงานวิจัยเกี่ยวกับการทำงานของแอสตาแซนธินมากมาย การทดสอบกับนักกีฬา ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พบว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ก็มีผลข้างเคียงไม่น้อย

อีกทั้งแอสตาแซนธินในอาหารมีปริมาณไม่มากนัก และการกินสัตว์ทะเลมากเกินไปอาจส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอล จึงมีผู้ผลิตแอสตาแซนธินในรูปของอาหารเสริม บ้างเติมคอลลาเจน, พรีไบโอติก และสารอาหารอื่นเพื่อเสริมประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อบ่งใช้ ควรกินแค่ไหน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือนักโภชนาการก่อนเสมอ

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน      เมล็ดแฟล็กซ์เพิ่มพรีไบโอติก (Cr: betterme.world)

พรีไบโอติก สุขภาพดีต้องเริ่มจากลำไส้ที่ดี ดังนั้นการสร้างสภาพแวดล้อมภายในลำไส้ให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตถือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยพรีไบโอติกเป็นอาหารของจุลินทรีย์ และช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย พรีไบโอติกบางชนิดยังช่วยลดสิวและริ้วรอยแห่งวัยได้อีกด้วย  โดยในหนึ่งวันควรทานพรีไบโอติกมากกว่าหนึ่งแหล่ง

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน       หน่อไม้ฝรั่งมีพรีไบโอติก (Cr: sidechef.com)

อาหารที่มีพรีไบโอติก : เป็นหนึ่งใน อาหารชะลอวัย มีอยู่สำรับอาหารในชีวิตประจำวันของเรา เช่น เยรูซาเล็ม อาร์ติโช้ค (แก่นตะวัน) กระเทียม หอมใหญ่ หน่อไม้ฝรั่ง กล้วย แอปเปิ้ล ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต เมล็ดแฟล็กซ์ โกโก้ สาหร่าย รำข้าวสาลี

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน

คอลลาเจน ช่วยสร้างผิวเปล่งปลั่งสุขภาพดี เพราะคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของผิวหนังถึง 75% ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว พร้อมช่วยชะลอการสลายของมวลกระดูก ลดการเปราะแตกของเล็บ รวมถึงช่วยเรื่องสุขภาพของข้อต่อในกลุ่มผู้สูงอายุ

เมื่ออายุมากขึ้นคอลลาเจนจะลดลงและเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและความชรา ดังนั้นเพื่อชะลอการเกิดริ้วรอย ควรเลือกคอลลาเจนที่มีขนาดเล็กเพื่อดูดซึมได้ไว มีการล็อกการเรียงตัวของกรดอะมิโนที่ช่วยเรื่องผิวและเพิ่มน้ำเลี้ยงในข้อเข่าได้

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน      น้ำซุปกระดูกสัตว์มีคอลลาเจน (Cr: eatingwell.com)

อาหารที่มีคอลลาเจน : ช่วยส่งเสริมการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อคอลลาเจน จึงเป็นอาหารชะลอวัย มีในน้ำซุปกระดูกสัตว์ (ปลา หมู เนื้อ ไก่) เนื้อไก่ ปลาและสัตว์ทะเลมีเปลือก กระเทียม ไข่ขาว ผลไม้ตระกูลส้ม เบอร์รี่ อโวคาโด ผักใบเขียวเข้ม ถั่ว มะเขือเทศ พริกหวาน

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน

     ไข่ขาวช่วยเพิ่มคอลลาเจน (Cr: hummnutrition.com)

ภญ.เยาวธิดา เทพศิริ เสริมว่า นอกจากการเติม อาหารชะลอวัย ที่เป็นประโยชน์ให้กับร่างกายแล้ว ควรดูแลสุขภาพในด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็มที่ก่อให้การอักเสบในร่างกาย ดื่มน้ำสะอาดและพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน

รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน

     เบอร์รี่ช่วยเพิ่มคอลลาเจน (Cr: vitalproteins.com)

หาเวลาออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมถึงหลีกเลี่ยงหรือป้องกันการสัมผัสแสงแดดโดยตรงและลดความเครียด เพื่อให้การชะลอวัยมีประสิทธิภาพสูงสุด

อ้างอิง : foodnetworksolution.com, nhs.uk, ncbi.nim.nih.gov, mdpi.com, healthline.com

Adblock test (Why?)


รู้จัก 4 “อาหารชะลอวัย” กินได้ทุกวันในชีวิตประจำวัน - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Wednesday, September 28, 2022

“หมอมนูญ”ไล่ไทม์ไลน์ยารักษาโควิดในไทย ยืนยันฟาวิพิราเวียร์ไม่มีประสิทธิภาพ - PPTVHD36

“หมอมนูญ”ไล่ไทม์ไลน์ยารักษาโควิดในไทย ยืนยันฟาวิพิราเวียร์ไม่มีประสิทธิภาพ
ข่าว
เผยแพร่: 91

หมอมนูญ โพสต์เฟชบุ๊ก ไล่ไทม์ไลน์ ยารักษาโควิดในไทยยืนยันฟาวิพิราเวียร์เทียบยาหลอกรักษาโควิดไม่ได้ ขณะที่ยาเรมเดซิเวียร์,โมลนูพิราเวียร์,ยาแพ็กซ์โลวิด มีประสิทธิภาพลดการป่วยหนักและเสียชีวิตดีกว่า

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC  ไล่ไทม์ไลน์การใช้ยาต้านและรักษาโควิด19ของไทย ว่า มองย้อนหลังยาต้านไวรัสโรคโควิด-19 ที่เข้าโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลาง เริ่มด้วยยาตัวแรกฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาชนิดกิน เข้ารพ. 2 ปีก่อน วันที่ 30 ก.ย. 2563 หลังจากที่ผมเริ่มใช้ในผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปอดอักเสบและระบบหายใจล้มเหลวหลายคน

หมอมนูญ แนะไทยควรเลิกใช้ยาฟาวิพิราเวียร์หลังวิจัยสหรัฐชี้ชัด

สธ.แจงผลวิจัย “ฟาวิพิราเวียร์” ไทยพบยารักษาโควิดกลุ่มอาการน้อยได้

“หมอมนูญ”ไล่ไทม์ไลน์ยารักษาโควิดในไทย ยืนยันฟาวิพิราเวียร์ไม่มีประสิทธิภาพ

ถึงแม้ผมจะให้เร็ว ยาฟาวิพิราเวียร์ก็ไม่ช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ปัจจุบันมีการศึกษาขนาดใหญ่เปรียบเทียบไม่แตกต่างกับยาหลอกในการรักษาผู้ป่วย

ยาตัวที่ 2 เป็นยาชนิดฉีดเรมเดซิเวียร์ เข้ารพ.วิชัยยุทธวันที่ 13 ก.ค. 2564 เมื่อใช้ยาตัวนี้ ผมพบว่ามีประสิทธิภาพดี ลดการป่วยหนักและการเสียชีวิตได้จริง ช่วงนั้นผมจึงใช้ยาตัวนี้เป็นยาหลักในการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความเสี่ยงสูง เลิกใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ชนิดฉีดมีราคาแพงมากในระยะแรก แต่ปัจจุบันราคาถูกลงมาก ยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพและเป็นยาชนิดกิน มาตามหลังยาเรมเดซิเวียร์ชนิดฉีด 1 ปี คือยาโมลนูพิราเวียร์ เพิ่งเข้ารพ.วิชัยยุทธวันที่ 18 ก.ค. 2565 ตามมาด้วยยาแพ็กซ์โลวิดวันที่ 22 ก.ค. 2565 ยาทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพในการลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ดีกว่ายาฟาวิพิราเวียร์อย่างเห็นได้ชัด

ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปีถึง มิ.ย. 2565 ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงยาโมลนูพิราเวียร์ ประเทศกัมพูชาและลาวมียาโมลนูพิราเวียร์ผลิตในประเทศอินเดียใช้แล้ว คนไข้ของผมหลายคนสามารถหายาโมลนูพิราเวียร์ได้เองจากประเทศเพื่อนบ้านในราคาไม่แพง เมื่อติดเชื้อ ผมอนุญาตให้กินยาโมลนูพิราเวียร์ที่ได้จากประเทศเพื่อนบ้าน ยกเว้นเด็กและหญิงตั้งครรภ์ พบว่ายามีประสิทธิภาพดี ไม่ใช่ยาปลอม

 

คนไทยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ช่วงนี้ถือว่าโชคดีที่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง ลดการป่วยหนักและการเสียชีวิตลงได้ ต่างจากการแพร่ระบาดในช่วงแรกๆที่มีแต่ยาฟาวิพิราเวียร์เท่านั้น

 

เทียบยารักษาโควิด19 ทั้ง 5 ชนิด อาการหนัก-เบาควรใช้ยาแบบไหน

หมอมนูญยกงานวิจัยชี้ ผลพวงจากโควิด19 อายุขัยของมนุษย์โลกลดลงเกือบ 2 ปี

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

PPSHOP

Adblock test (Why?)


“หมอมนูญ”ไล่ไทม์ไลน์ยารักษาโควิดในไทย ยืนยันฟาวิพิราเวียร์ไม่มีประสิทธิภาพ - PPTVHD36
Read More

'หมอมนูญ' ไล่เรียงยาต้านโควิด ชี้ 'ฟาวิพิราเวียร์' ไม่ต่างจากยาหลอกรักษาผู้ป่วย - เดลินิวส์ออนไลน์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.

Adblock test (Why?)


'หมอมนูญ' ไล่เรียงยาต้านโควิด ชี้ 'ฟาวิพิราเวียร์' ไม่ต่างจากยาหลอกรักษาผู้ป่วย - เดลินิวส์ออนไลน์
Read More

'อากาศปนเปื้อนเชื้อโรค' ภัยเงียบที่รุนแรง - สำนักข่าวอิศรา

[unable to retrieve full-text content]

'อากาศปนเปื้อนเชื้อโรค' ภัยเงียบที่รุนแรง  สำนักข่าวอิศรา
'อากาศปนเปื้อนเชื้อโรค' ภัยเงียบที่รุนแรง - สำนักข่าวอิศรา
Read More

ยอด โควิด-19 วันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 637 ราย เสียชีวิตอีก 10 ราย - กรุงเทพธุรกิจ

สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ล่าสุด วันที่ 29 ก.ย.2565 พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 637 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมแล้วจนถึงวันนี้ 4,680,470 ราย ยอดผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล (ATK) ระหว่างวันที่ 18-24 ก.ย.2565 จำนวน 81,258 ราย สะสม 8,117,241 ราย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

- เตือนอย่าเข้าใจผิด สเปรย์ยับยั้งแอนติบอดีพ่นจมูก กับ วัคซีนโควิด-19

- เปิดเกณฑ์ "โควิดรักษาฟรี"ทุกที่ หลัง 1 ต.ค.2565

โดย วันนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 10 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 11,057 ราย ขณะที่ ภาพรวมของการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 มีผู้เสียชีวิตรวม 32,755 ราย

นอกจากนี้ ยังมีรายงานถึงผู้ที่กำลังรักษาตัวอยู่ 6,365 ราย ยอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 790 ราย หายป่วยสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.2565 จำนวน 2,472,856 ราย

สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศ

ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2565 ถึง 29 ก.ย.2565 พบจำนวน ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่ม 637 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่ (ม.ค.2565) มีผู้ติดเชื้อสะสมไปแล้ว 2,457,035 ราย

ยอด โควิด-19 วันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 637 ราย เสียชีวิตอีก 10 ราย

ยอด โควิด-19 วันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 637 ราย เสียชีวิตอีก 10 ราย

สถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19

สรุป จำนวนการได้รับวัคซีนสะสมจำนวนการได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ.2564 - 27 ก.ย.2565 รวม 143,303,904 โดส ใน 77 จังหวัด ภาพรวมยอดฉีดวัคซีน วันที่ 27 กันยายน 2565 ยอดฉีดทั่วประเทศ 17,361 โดส

  • เข็มที่ 1 : 2,274 ราย
  • เข็มที่ 2 : 3,731 ราย
  • เข็มที่ 3 : 11,356 ราย

จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 57,324,244 ราย

จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 53,831,889 ราย

จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 32,147,771 ราย

ยอด โควิด-19 วันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 637 ราย เสียชีวิตอีก 10 ราย

แหล่งข้อมูล : MOPH-IC

Adblock test (Why?)


ยอด โควิด-19 วันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 637 ราย เสียชีวิตอีก 10 ราย - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

แนะยึดหลัก 3 ป.ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า - สสส.

ที่มา : กรมควบคุมโรค

เเฟ้มภาพ

                    28 กันยายน 65 วันพิษสุนัขบ้าโลก สคร.7 จ.ขอนแก่น แนะ ยึดหลัก 3 ป. ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกัควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า องค์กรรณรงค์ควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าโลก กำหนดให้วันที่ 28 กันยายนของทุกปี เป็นวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทั่วโลก รู้ถึงความรุนแรงของโรคพิษสุนัขบ้า เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่มียารักษา หากป่วยแล้วจะเสียชีวิตทุกราย ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ปีละ 49,000 ราย โดยร้อยละ 40 เป็นเด็ก

โรคพิษสุนัขบ้า เกิดขึ้นได้กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ในประเทศไทยพบมากที่สุดในสุนัข แมว และโค ติดต่อได้ด้วยการถูกสัตว์ที่มีเชื้อ กัด ข่วน หรือเลีย เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะเดินทางไปตามเส้นประสาท เข้าสู่สมอง และเมื่อแสดงอาการแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เสียชีวิตทุกราย

สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าในปี 2564 ที่ผ่านมา พบผู้เสียชีวิต 3 รายใน 3 จังหวัด (จังหวัดสุรินทร์ 2 ราย และจังหวัดบุรีรัมย์ 1 ราย) สำหรับในปี 2565 นี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 19 มี.ค. 65) พบผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว 1 ราย ที่จังหวัดชลบุรี โดยได้รับรายงานเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประวัติสัมผัสกับสุนัขของเพื่อนบ้านที่นำมาฝากเลี้ยงข่วน

นายแพทย์สมาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ให้ประชาชนยึดหลัก 3 ป. ได้แก่

                    1) ป้องกันสัตว์เป็นโรค โดยการนำสัตว์ไปฉีดวัคซีน ครั้งแรกเมื่อสัตว์เลี้ยงมีอายุ 2-4 เดือน แล้วฉีดซ้ำตามกำหนดทุกปี รวมไปถึงทำหมันถาวรเพื่อไม่ให้มีสุนัขมากเกินความต้องการ และหากสัตว์เลี้ยงตายผิดปกติ ขอให้ส่งซากสัตว์ไปตรวจหาเชื้อ ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดและอำเภอ

                    2) ป้องกันการถูกกัด โดยไม่ปล่อยสุนัขแมวออกนอกบ้านตามลำพัง หากต้องพาออกไปนอกบ้านให้ใส่สายจูง ประชาชนสามารถหลีกเลี่ยงการถูกกัดด้วยคาถา 5 ย. คือ 1. อย่าแหย่ ให้สุนัขโมโห โกรธ  2. อย่าเหยียบ หาง หัว ตัว ขา หรือ ทำให้สุนัขหรือสัตว์ต่างๆ ตกใจ 3. อย่าแยก สุนัขที่กำลังกัดกันด้วยมือเปล่า 4. อย่าหยิบ ชามข้าวหรือเคลื่อนย้ายอาหารขณะที่สุนัขกำลังกินอาหาร และ 5. อย่ายุ่ง หรือเข้าใกล้กับสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ หรือไม่ทราบประวัติ

                    3) ป้องกันหลังถูกกัด ด้วยการล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ อย่างเบามืออย่างน้อย 10 นาที จากนั้น ใส่ยาฆ่าเชื้อที่บาดแผล และรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อพิจารณาการรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และหากได้รับวัคซีนต้องฉีดวัคซีนให้ครบชุดและตรงตามแพทย์นัด พร้อมทั้งกักสุนัขเพื่อดูอาการ 10 วัน หากสุนัขตายให้ส่งตรวจหาเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า เน้นย้ำ “ล้างแผล ใส่ยา กักหมา หาหมอ ฉีดวัคซีนให้ครบ”

Adblock test (Why?)


แนะยึดหลัก 3 ป.ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า - สสส.
Read More

HIDA รุ่นที่ 2 จัด บรรยาย “การรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคต” และ “วัคซีนที่ควรรู้ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ” - สยามรัฐ

ในการอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตนวัตกรรมการจัดการสุขภาพยุคดิจิทัล หรือ HIDA รุ่นที่ 2 ยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม นายสมชาย อัศวเศรณี ประธานโครงการหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตนวัตกรรมการจัดการสุขภาพยุคดิจิทัล หรือ HIDA และประธานกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา กล่าวว่า หลักสูตร HIDA  มุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศาสตร์การแพทย์ 5 สาขาที่ใช้มากในประเทศไทย ได้แก่ การแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทยประยุกต์ การแพทย์แผนจีน การแพทย์แบบหลักดุลยภาพบำบัด การแพทย์แบบธรรมชาติ พร้อมภาคปฎิบัติ มานำเสนอ เพื่อให้ผู้เข้าเรียนมีโอกาสเลือกศาสตร์ที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด นำไปใช้ป้องกันโรคแต่ละโรค และเลือกนำมาใช้ในการส่งเสริมสุขภาพกับตนเอง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆแห่งร่วมบรรยายและให้ความรู้

โดยการอบรมในสัปดาห์ที่ 5 แบ่งการบรรยายวิชาการออกเป็น 2 ช่วง ในช่วงแรก ศ.นพ.ธีระวัฒน์​ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ การรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคต” ว่า  เรื่องโรคอุบัติใหม่เริ่มต้นเกิดจากในสัตว์ ยุง ลิ้น เห็บ เป็นพาหะนำโรคจากสัตว์มาสู่คน จะรุนแรงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันแต่ละคนจะต่อสู้เชื้อโรคได้มากแค่ไหน สงครามที่น่ากลัว เชื้อโรคแพร่ในอากาศ

เมื่อ 15  ปีที่ผ่านมาคนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่ขณะนี้คนไทย มีโรคประจำตัวหนึ่งอย่าง เป็นผลจาก สภาพต้นทุนคนไทยลดลง มีความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น  อ้วน เบาหวาน ไต มะเร็ง วิกฤตมลภาวะ สังคมผู้สูงวัย และ สมองเสื่อมที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ โรคสมองอักเสบ ที่ยังไม่รู้ว่าเกิดจากเชื้ออะไร หรือ เกิดจากไวรัสชนิดใด  รวมถึงเฝ้าระวัง โรคมือ เท้า ปาก ที่มักจะเกิดกับเด็กแรกเกิด  หรือ เด็กที่มีอายุมากกว่า 15 ปี  ทั้งนี้ โรคอุบัติใหม่ เป็นเชื้อที่เกิดจากตัวมนุษย์แต่ยังไม่แสดงออกอาการ ต้องวินิจฉัยจากผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาล ขณะที่ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO มีการระดมความเก่งของแพทย์ทั่วโลกเร่งตรวจหาเชื้อที่เป็นโรคอุบัติใหม่

นอกจากนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวถึง วิธีที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะ แสงแดด ที่ให้อะไรมากกว่าวิตามินดี โดยพบว่า แสงแดดมีประโยชน์​ ทำให้สุขภาพแข็งแรง ทำให้ร่างกายติดเชื้อน้อยลง การเดินวันละ 10,000 ก้าว การเดินตากแดดช่วยทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง  รวมถึง การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อย การทำ IF หรือ ในสัปดาห์ไม่กิน 1วัน กินเฉพาะน้ำอย่างเดียว 

พร้อมกันนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เน้นย้ำ การป้องกันโรคอุบัติใหม่ที่อยู่ในร่างกายแต่ยังไม่แสดงอาการ เราต้องดูแลตัวเองแบบธรรมชาติ การออกไปรับแสงแดด  การอบซาวน่า และการทานอาหารที่มีประโยชน์​  คือ  ลดการกินแป้ง ข้าว ข้าวเหนียว เน้นการกินมังสวิรัติ  ถั่ว  งดน้ำผลไม้ น้ำอัดลม ลดเนื้อสัตว์ โดยมีรายงานล่าสุด พบว่า กินพริกหวาน จะมีประโยชน์ทำให้สมองปลอดโปร่ง เหมือนคนที่ได้รับสารนิโคติน จากบุหรี่ แต่ไปทำลายปอด 

ในช่วงที่ 2 บรรยายโดย ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร รักษาการหัวหน้าคลีนิคอายุศาสตร์ท่องเที่ยวและวัคซีนในผู้ใหญ่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถานเสาวภา สภากาชาดไทย กล่าวบรรยายในหัวข้อ “วัคซีนที่ควรรู้ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ” ว่า ขณะนี้ประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญเรื่องของการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ลดอัตราการเจ็บป่วย ลดอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  

ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นสิ่งสำคัญ ลดอัตราการเสียชีวิต ป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย เพื่อไม่ให้ประเทศไทยสูญเสียค่าใช้จ่าย ผู้สูงอายุควรฉีดวัคซีนบาดทะยัก คอตีบ ตับอักเสบบี  ไข้หวัดใหญ่  โควิด และ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นวัคซีนสำคัญ หากมีการติดเชื้อทำให้ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุเสียชีวิต

โดยในช่วงโควิดคนไทยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่น้อยลง เพราะผลจากการใส่หน้ากาก ล้างมือ ทิ้งระยะห่าง และต่อไปจะทำให้คนระมัดระวังมากขึ้น สำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดการเกิด stroke ลดอัตราการตายโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ลดการเจ็บหน้าอก หัวใจวายลดลง เท่ากับการสวนหัวใจ โดยสหรัฐได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ 70% ในขณะที่ไทยฉีดไปแล้วประมาณ 30% 

ศ.นพ.ธีระพงษ์ กล่าวต่อว่า โควิด19 ได้มีการกลายพันธุ์มา 4 สายพันธุ์ จากอู่ฮั่นมาถึงโอมิครอน ที่ทำให้วัคซีนจำตัวเองไม่ได้ และในเมืองไทยฉีดเข็มแรกได้กว่า70% แต่ตัวเลขบูสเตอร์ ยังไม่ค่อยสูง โดยวัคซีนโควิดเข็มสุดท้ายที่ทุกคนควรฉีดวัดซีนต้องเป็น MRNA คนอเมริกันทุกคนทุกอายุ ต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม เนื่องจาก การฉีดวัคซีน 2 เข็ม ลดอัตราการตาย การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ลดอัตราการตาย ลดการนอน รพ. ส่วนผู้สูงอายุต้องฉีดเข็ม 4 เพื่อลดการเจ็บป่วยรุนแรงได้ 4 เท่า และลดการนอน รพ.  ดังนั้น เมื่อโควิดกลายพันธุ์ ต้องเกิดวัคซีนชนิดใหม่

 

พร้อมกันนี้ ศ.นพ.ธีระพงษ์ กล่าวถึง การฉีดวัคซีนโรคงูสวัด ว่า ปัจจุบันคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีอัตราเสี่ยงในการติดเชื้อ และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยผู้สูงอายุ 85 ปี อาจเสียชีวิตได้ และมีโอกาสเป็นstroke ที่มีโอกาสเป็นมากขึ้น3เท่าเทียบกับคนปกติหากเป็นงูสวัด ทั้งนี้ งูสวัด เป็นโรคที่เกิดกับผู้สูงอายุ  ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอาการเมื่อใด  โดยในแต่ละปีจะมีคนไทยป่วยด้วยโรคงูสวัดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นทั้งโลก  โดยผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดมากกว่าผู้ชาย  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผู้หญิงเป็นโรคงูสวัดมากกว่าผู้ชายถึง 8% คนอเมริกัน ฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัดเพิ่มขึ้น โดยควรฉีดในคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยรัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการจัดหาวัคซีนกระจายให้ทั่วถึงและเท่าเทียม เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์

Adblock test (Why?)


HIDA รุ่นที่ 2 จัด บรรยาย “การรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคต” และ “วัคซีนที่ควรรู้ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ” - สยามรัฐ
Read More

Tuesday, September 27, 2022

กินแล้วนอนทันที! กรดไหลย้อนซ้ำ ๆ เสี่ยงโรคมะเร็งหลอดอาหาร? - Hfocus

ปัจจุบันหลายคนมีพฤติกรรมกินแล้วนอน กินดึก หรือชื่นชอบการรับประทานบุฟเฟต์ ทำให้โรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้ง่าย แต่จริงหรือไม่ที่กรดไหลย้อนนำพาความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหลอดอาหาร นพ.ภาสกร วันชัยจิระบุญ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการ แพทยสภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า ศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูงด้านมะเร็ง อธิบายถึงอาการกรดไหลย้อนกับ Hfocus ว่า ภายหลังจากที่รับประทานอาหารแล้ว อาหารจะเข้าไปที่หลอดอาหารสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งโดยปกติหูรูดที่อยู่ในบริเวณหลอดอาหารส่วนปลายต่อกับกระเพาะอาหาร ระหว่างลำไส้เล็ก จะปิดเพื่อให้อาหารถูกย่อยด้วยน้ำย่อย กรดจะเพิ่มขึ้นในกระเพาะอาหารเพื่อทำการย่อย ใช้เวลาในการเคลียร์ของที่อยู่ในกระเพาะก่อนไปสู่ลำไส้เล็ก โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง-2 ชั่วโมง กรดจะมีปริมาณสูงสุด ช่วงเวลาดังกล่าว ถ้าหูรูดไม่ดีหรือรับประทานอาหารมากเกินไป ในกรณีรับประทานบุฟเฟต์ ความดันในกระเพาะอาหารจะเยอะ เมื่อหูรูดเสื่อมจะเกิดแรงดันทำให้เกิดอาการอาเจียนได้ เมื่อหูรูดใช้งานได้ไม่ดีมากนัก กรดก็จะไหลย้อนขึ้นมา ถ้าย้อนในระดับหลอดอาหารถึงกระเพาะอาหารจะเกิดอาการแสบร้อนตรงกลางหน้าอก แต่เมื่อใดก็ตามกรดไหลย้อนมากขึ้นมาบริเวณปาก ก็จะเกิดอาเจียนได้ หรือเวลานอนหลับแล้วไม่รู้ตัวจะสำลักกรดเข้าไปที่หลอดลม แต่จะโดนกล่องเสียงก่อน ทำให้กล่องเสียงระคายเคือง สังเกตได้จากอาการตอนเช้าหลังตื่นนอน เสียงจะแหบ เจ็บคอเรื้อรัง 

"ถ้ากรดไหลย้อนเป็นเยอะ ย้อนบ่อย เมื่อโดนหลอดอาหารบ่อยครั้งเข้า หลอดอาหารไม่ได้หนาเหมือนกระเพาะจึงเกิดเป็นแผล ร่างกายก็พยายามปรับตัว สร้างเนื้อเยื่อมาใหม่เรื่อย ๆ เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกกรด การแบ่งเซลล์แต่ละครั้งจากที่ปกติ ถ้าเป็นบ่อยมาก อาจพบเซลล์ที่ผิดปกติอยู่บ้าง หากร่างกายยังพอกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกไปก็จะไม่เป็นมะเร็ง แต่ถ้ามันผลิตบ่อยก็ต้องมีพลาดบ้าง ถ้าหลุดออกมามากขึ้นจะกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหาร โดยเฉพาะมะเร็งที่หลอดอาหารส่วนปลายได้" นพ.ภาสกร อธิบาย

นพ.ภาสกร เพิ่มเติมว่า พฤติกรรมกินแล้วนอนยังส่งผลให้เจ็บคอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง อีกทั้งทำให้เกิดโรคอ้วนได้ด้วย เพราะร่างกายจำเป็นต้องเผาผลาญ เวลานอนอัตราการเผาผลาญก็จะลดลง เมื่อร่างกายย่อยอาหารเสร็จแล้ว ไม่ได้เอาไปใช้ก็จะอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ คำแนะนำคือ ไม่ควรรับประทานอาหารก่อนนอน ถ้ารับประทานเสร็จแล้วควรเดินรอสัก 2-3 ชั่วโมง ไม่ควรเอนนอนในทันที เพราะโอกาสที่กรดจะไหลย้อนมามีมากขึ้นได้ อีกส่วนสำคัญคือ หูรูด ถ้าหูรูดดีปัญหาจะน้อยลง แต่เวลาย่อยอาหาร ความดันในกระเพาะอาหารจะสูง หูรูดจะเสื่อมได้เร็วถ้าเกิดกรดไหลย้อนบ่อย ยิ่งอายุเยอะจะเป็นกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น หูรูดเสื่อมได้เร็วขึ้นด้วย

*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org

Adblock test (Why?)


กินแล้วนอนทันที! กรดไหลย้อนซ้ำ ๆ เสี่ยงโรคมะเร็งหลอดอาหาร? - Hfocus
Read More

Monday, September 26, 2022

5 วิธีรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้า ให้ร่างกายไม่ง่วงตอนบ่าย และหายอยากของหวานเป็นปลิดทิ้ง - common

ขี้เกียจลุกจากที่นอนตอนเช้า เพลียตลอดวัน ตกบ่ายอยากจะงีบหลับเสียให้ได้ แถมยังติดของหวานชนิดห้ามขาด เติมหวานเข้าร่างเมื่อไรค่อยมีเรี่ยวมีแรง

เผลอๆ ยังเกิดอาการเวียนหัวทุกทีที่เปลี่ยนท่านั่งท่ายืน แถมยังออกกำลังกายเท่าไรก็ไม่ผอมเสียที

เชื่อว่าหลายคนกำลังพบเจออาการเหล่านี้ และคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทว่านี่เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่กำลังฟ้องว่า ต่อมหมวกไตของคุณกำลังอ่อนแอ

ต่อมหมวกไตมีไว้ทำไม

ต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) เป็นอวัยวะรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ ที่หุ้มอยู่บริเวณขั้วไตทั้งสองข้าง มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนสำคัญอย่างน้อย 2 ชนิดแก่ร่างกาย ได้แก่

  • ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนความเครียดตัวหลักของร่างกาย มักผลิตขึ้นเป็นปริมาณมากในตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวพร้อมทำกิจกรรมต่างๆ
  • ฮอร์โมนดีเอชอีเอ (DHEA) เป็นฮอร์โมนเพศชนิดหนึ่ง ที่เป็นฮอร์โมนตั้งต้นของทั้งฮอร์โมนเพศหญิงและเพศชาย ช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมัน กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉง ชะลอริ้วรอยก่อนวัย กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ และเป็นฮอร์โมนต้านเครียดที่ช่วยต้านฤทธิ์ของคอร์ติซอลเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด

เมื่อไรต่อมหมวกไตถึงจะเริ่มล้า

ภาวะต่อมหมวกไตล้า (Adrenal Fatigue) เป็นอาการผิดปกติของร่างกายที่มีความเครียดเรื้อรังเป็นตัวกระตุ้น จนทำให้ร่างกายต้องผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาเพื่อจัดการความเครียด ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมและแก่เร็ว

วิถีชีวิตที่เร่งรีบในเมืองใหญ่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตล้าได้เร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่ชอบความตื่นเต้นท้าทายในการเรียนหรือการทำงาน ชอบการแข่งขัน หรือเร่งทำงานให้เสร็จทันกำหนด จนถึงขั้นเสพติดความเครียด (Adrenal Addict) ที่มักไม่รู้ตัว เพราะร่างกายมีความทนทานสูงต่อความเครียดในแต่ละวัน

นอกจากความเครียดทางใจแล้ว พฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายทำงานหนักเกินไปเช่น นอนดึก ออกกำลังกายหนักเกินไป ไม่กินข้าวเช้าเป็นประจำ กินของหวานหรือน้ำตาลมากเกินไป ฯลฯ ก็ทำให้เกิดความเครียดสะสมจนเป็นสาเหตุของภาวะต่อมหมวกไตล้าได้เช่นกัน

โรคที่ถูกลืม

กล่าวกันว่า ภาวะต่อมหมวกไตล้าจัดอยู่ในกลุ่ม “โรคที่ถูกลืม” เพราะอาการต่างๆ ที่แสดงให้เห็นก่อนเกิดโรคยังไม่มีอันตรายร้ายแรง ทำให้ผู้ป่วยจากภาวะนี้มักไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและทันท่วงที โดยในการวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลและดีเอชอีเอ เพื่อนำไปสู่การรักษาซึ่งก็คือ การปรับระดับฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ให้สมดุล

ดังนั้น ควรสังเกตตัวเองว่าเข้าข่ายภาวะต่อมหมวกไตล้าหรือไม่ หากมีอาการมากกว่า 5 ข้อตามรายการดังต่อไปนี้

  • ขี้เกียจตื่นนอนตอนเช้า
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อยากงีบหลับ ช่วงกลางวัน
  • ง่วงแต่นอนไม่หลับ
  • มีอาการวิงเวียน ศีรษะ หน้ามืด เวลาเปลี่ยนท่าทางลุก-นั่ง
  • อยากของหวานหรือของเค็ม
  • รู้สึกดีขึ้นทันทีเมื่อได้กินน้ำตาล
  • ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • ปวดประจำเดือนบ่อย
  • ภูมิแพ้กำเริบบ่อย
  • ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
  • ท้องผูก
  • เครียด ซึมเศร้า
  • คุมอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่น้ำหนักไม่ลดลง
  • ผิวแห้งและแพ้ง่าย

5 วิธีรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้าด้วยตัวเอง

การรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้าทำได้โดยปรับฮอร์โมนต่างๆ ให้กลับสู่ภาวะสมดุล ซึ่งจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย ขึ้นอยู่กับการปรับลดความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงปรับพฤติกรรมด้วยวิธีต่อไปนี้

1.

หาวิธีพักสมอง

adrenal fatigue

การห้ามไม่ให้เครียดคงยากเกินไป สิ่งที่ทำได้คือ พยายามเครียดให้น้อยที่สุด เช่น หางานอดิเรกทำ หรือออกเดินทางท่องเที่ยว เพื่อให้สมองได้พักเสียบ้าง

2.

นอนหลับอย่างมีคุณภาพ

adrenal fatigue

ควรเข้านอนก่อน 5 ทุ่ม เพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายอยู้ในปริมาณเหมาะสม และนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง

3.

นอนราบระหว่างวัน

adrenal fatigue

หากรู้สึกเพลีย ควรหาพื้นที่สำหรับนอนราบเพื่อพักผ่อนสักครู่ อย่าฝืนทำงานหรือเรียนทั้งๆ ที่อ่อนล้า เพราะนอกจากจะทำให้ผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควรแล้ว ยังส่งผลเสียสะสมระยะยาวต่อสุขภาพ

4.

กินให้ดี กินให้ถูกวิธี

adrenal fatigue

ควรกินอาหารเช้าทุกวัน และกินก่อน 10 โมง เพราะคอร์ติซอลจะทำงานดีขึ้นเมื่อมีน้ำตาลในเลือดเพียงพอ ซึ่งหลังจาก 10 โมงเช้าไปแล้วระดับคอร์ติซอลจะลดลง ทำให้ยิ่งอ่อนเพลีย

นอกจากนี้ ระหว่างวันควรแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ กินให้น้อย แต่กินบ่อยๆ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกาย

5.

ออกกำลังกายเบาๆ

adrenal fatigue

การออกกำลังกายที่หนักเกินไปจะส่งผลให้ต่อมหมวกไตล้ามากขึ้น ควรออกกำลังกายด้วยความเพลิดเพลิน ไม่คร่ำเคร่งจนเกินไป เช่น เดินออกกำลังกายในสวน ฝึกโยคะ ฯลฯ

อ้างอิง

  • ศูนย์สุขภาพนครธน.ขี้เกียจตื่นเช้า ง่วงตอนกลางวัน ชอบขนมหวาน สัญญาณเสี่ยง ภาวะหมวกไตล้า.https://bit.ly/3xu4QfB
  • Bangkok Hospital.คุณกำลังเสพติดความเครียดหรือไม่.https://bit.ly/3BQRlcv
  • ThriveWellness Center.Adrenal Fatigue หรือภาวะต่อมหมวกไตล้า.https://bit.ly/3LmTmQO

Adblock test (Why?)


5 วิธีรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้า ให้ร่างกายไม่ง่วงตอนบ่าย และหายอยากของหวานเป็นปลิดทิ้ง - common
Read More

เช็คสุขภาพเบื้องต้น ด้วยเลือดหยดเดียว ทราบผลใน 90 วินาที - มายาแชนแนล : Maya Channel

จริงหรือ ตรวจความเสี่ยงโรคด้วยเลือดหยดเดียว ทราบผลใน 90 วินาที ด้วยวิธีใด อะไรจะไวปานนั้น?!

ล่าสุดวงการแพทย์และพยาบาลของเมืองไทยมีนวัตกรรมเทคโนโลยี ชนิดอ่านผลจากเลือดหยดเดียว ใน 90 วินาที ด้วย เครื่องมือ+แถบตรวจ ความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน หัวใจ เส้นเลือด ในสมองตีบ หรือแม้แต่มะเร็ง

การตรวจ hs-CRP เป็นนวัตกรรมล่าสุดในเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ใช้ในการตรวจค่าระดับการอักเสบในร่างกายด้วยเลือดปลายนิ้วเพียงหนึ่งหยด โดยผู้รับการตรวจไม่ต้องงดน้ำและอาหารให้ยุ่งยากวุ่นวายอีกต่อไป 

ที่สำคัญ สามารถรับทราบ แนวโน้มความเสี่ยงต่อโรค จากการอ่านค่า วัดผล ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทันที

กล่าวคือ การรู้ก่อน ป้องกันก่อน ที่จะเกิดโรคย่อมดีกว่าป่วยหนักแล้วมีค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลสูง

• ตรวจทำไม...ใครต้องตรวจ

โลกหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ผู้คนต่างใช้ชีวิตเพื่อทำงาน สร้างอนาคต ไม่เพียงละเลยดูแลสุขภาพในการรับประทานอาหาร หรือพักผ่อนน้อย แต่อาจมีหลายท่านที่ใช้ชีวิตหนักหน่วง ทั้งการกินดื่มตามสะดวก ทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ขาดการออกกำลังกาย และอาจละเลยการตรวจสุขภาพเป็นประจำ

นั่นหมายความว่า เรามีความเสี่ยงต่อโรคชนิดไม่ติดต่อ (เบาหวาน หัวใจ ไขมันในเลือดสูง และมะเร็ง) ยิ่งซ้ำเติมด้วย วิกฤตโควิด19 ระบาดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนที่เคยติดเชื้อ เกิดความเสี่ยงสูงต่อโรคภัยอื่นมากขึ้น

1 คนทั่วไป ที่มีสิ่งบ่งชี้จากพฤติกรรมความเสี่ยง​

1.1 คนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ 

1.2 คนที่ไม่ดูแลการกินดื่มตามโภชนาการมาอย่างต่อเนื่อง 

1.3 คนที่ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ เป็นประจำ

2 คนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป

3 คนที่เคยติดเชื้อ โควิด 19 

• ขั้นตอนการตรวจง่าย ไม่ยุ่งยาก

1. เจาะเลือดที่ปลายนิ้วโดยผู้เชี่ยวชาญ

2. นำแถบตรวจสู่เครื่องมือวัดผล (เครื่องภูมิคุ้มกันวิทยา เชิงปริมาณ)

3. ในเวลา 90 วินาที ทราบผลวิเคราะห์ และอ่านค่าเพื่อประเมิน

• ตรวจความเสี่ยงโรคด้วยเลือดหยดเดียวได้ที่ใดบ้าง

กลุ่มคลินิกที่มีเทคโนโลยีการตรวจ hs-CRP อ่านค่าความเสี่ยงจากโรค ด้วยเลือดหยดเพียงหยดเดียว ในกทม. (ข้อมูลเพิ่มเติม ที่ Facebook: PNA Wellness Innovation)

• ทราบผลแล้วทำอย่างไรต่อ

1. ปรับพฤติกรรม ลดความเสี่ยงต่อโรค ทั้งด้านการกิน การดื่ม และการสูบหรี่

2. เสริมประสิทธิภาพ ภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ด้วยการออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ

3. ลดการอักเสบของร่างกาย ด้วยการเติมวิตามินจำเป็นให้ร่างกายตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

เพราะทุกคนต่างต้องการมีชีวิตที่ดีมีความสุข มีชีวิตต้องใช้ มีที่ต้องไป และมีใครต้องดูแล การตรวจสุขภาพ และค้นหาความเสี่ยง และนำไปสู่การป้องกัน และบรรเทาได้อย่างทันท่วงที

# # # # # 

• ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลินิกที่ให้บริการ

กลุ่มคลินิกที่มีเทคโนโลยีการตรวจ hs-CRP (อ่านค่าความเสี่ยงจากโรค ด้วยเลือดหยดเพียงหยดเดียว) ในกทม.

1. 24’s Clinic สาขาทาวน์อินทาวน์ 

2. 24’s Clinic สาขาประชาชื่น 

3. NAPASSAREE Clinic สาขาจามจุรีสแควร์

4. NAPASSAREE Clinic สาขาอ่อนนุช 

5. Beautanika Clinic สาขาเมืองทองธานี 

6. Beautanika Clinic สาขารัตนาธิเบศร์

7. CHANYA Clinic สาขาอินทามระ

8. The Touch Clinic สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว

# # # # #

• ช่องทางรับทราบข้อมูลบริการเพิ่มเติม

FACEBOOK : PNA Wellness Innovation

IG : PNA Wellness Innovation

LINE OA : @pnawellness 

Tel : 02-3005287

Adblock test (Why?)


เช็คสุขภาพเบื้องต้น ด้วยเลือดหยดเดียว ทราบผลใน 90 วินาที - มายาแชนแนล : Maya Channel
Read More

ทารกหายใจครืดคราดอันตรายไหม ไขข้อข้องใจ อาการแบบนี้เกิดจากอะไร - Kapook

ทารกหายใจครืดคราดอันตรายไหม ปัญหาที่พ่อแม่หลายคนกังวลใจ ลูกหายใจครืดคราดในคอ สาเหตุเกิดจากอะไร มีวิธีแก้ไหม มาหาคำตอบกัน

ทารกหายใจครืดคราดอันตรายไหม

ในช่วงวัยทารกเป็นเวลาที่พ่อแม่ต้องดูแลและประคบประหงมเขาเป็นอย่างดี เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรง การเกิดความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เป็นกังวลได้ว่าทารกป่วยหรือเปล่า อย่างการที่ลูกหายใจครืดคราดในคอ ก็เป็นอีกอาการที่พ่อแม่เป็นห่วงไม่น้อย กระปุกดอทคอมจึงขอมาไขข้อข้อใจว่าทารกหายใจครืดคราดอันตรายไหม เกิดจากอะไร และพ่อแม่สามารถดูแลรักษาลูกน้อยได้ด้วยวิธีใดบ้าง 

ทารกหายใจครืดคราด เกิดจากอะไร

การที่ทารกหายใจครืดคราด คืออาการที่ลูกน้อยหายใจแล้วมีเสียงบางอย่างแทรกอยู่ด้วย หรือคล้ายมีบางอย่างอุดกั้นหรือติดค้างในลำคอทำให้เขาหายใจได้ไม่สะดวก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก

  • การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียซึ่งทำให้เนื้อเยื่อในทางเดินหายใจบวม เช่น ไข้หวัด

  • มีทางเดินหายใจที่แคบและตีบตั้งแต่กำเนิด ทำให้หายใจได้ลำบาก

  • กล่องเสียงอ่อนนุ่มเกินไป จนทำให้ตกลงมาบังเส้นเสียง และปิดกั้นทางเดินหายใจของทารกชั่วคราว อาการนี้มักจะดีขึ้นเองเมื่อทารกอายุ 1 ขวบขึ้นไป

  • เกิดอาการบวมในทางเดินหายใจ จนก่อให้เกิดการอุดตันหรืออักเสบ

  • น้ำหนักตัวมากเกินไป

  • เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด หรือโรคปอด

สัญญาณของทารกหายใจครืดคราด

บางทีพ่อแม่อาจจะไม่ทราบว่าลูกน้อยมีอาการหายใจครืดคราดหรือเปล่า ให้ลองสังเกตอาการเหล่านี้ดูค่ะ เพราะถ้าเริ่มมีอาการดังนี้ แสดงว่าทางเดินหายใจของลูกเริ่มมีปัญหาแล้ว

  • จังหวะการหายใจแปรปรวน ไม่สม่ำเสมอ

  • หายใจเร็ว

  • มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ประมาณ 2-3 วินาที

  • เวลาลูกหายใจจะมีเสียงคล้ายการกรนเบา ๆ

ทารกหายใจครืดคราดอันตรายไหม

อาการทารกหายใจครืดคราดมีหลายสาเหตุ ซึ่งหากเกิดจากกล่องเสียงอาจไม่มีอันตราย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากระบบทางเดินหายใจผิดปกติ จนอาจเกิดอันตรายได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพลูกน้อยอย่างรุนแรงในอนาคต 

ทารกหายใจครืดคราดอันตรายไหม

ทำอย่างไรเมื่อลูกหายใจครืดคราด

อย่างที่ทราบกันแล้วว่า ทารกหายใจครืดคราดเกิดจากทางเดินหายใจเป็นหลัก ดังนั้นวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงควรทำดังนี้

  • รักษาน้ำหนักตัวลูกน้อยให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มากจนเกินไป

  • ให้ลูกน้อยอยู่ในสถานที่ที่อากาศถ่ายเท ปลอดโปร่ง เพื่อให้ลูกหายใจสะดวกขึ้น

  • ไม่สูบบุหรี่ หรือพาลูกไปในที่ที่มีควัน ไม่เช่นนั้นอาจกระตุ้นให้อาการของเขากำเริบ

  • รักษาความสะอาดให้ลูกเสมอ โดยเฉพาะฝ่ามือหรือสิ่งของใด ๆ ที่ต้องนำเข้าใกล้จมูกและปาก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ตัวลูก

เมื่อไหร่ที่ควรพาลูกไปหาหมอ

หากสังเกตอาการลูกน้อยอย่างถี่ถ้วนแล้ว และพบว่าเขาหายใจมีเสียงครืดคราดไม่หาย ก็ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยโรคและสาเหตุ เพื่อทำการรักษาต่อไป แต่หากกำลังดูแลรักษากันอยู่ และมีอาการเหล่านี้ ก็ควรพาไปหาคุณหมอทันทีค่ะ

  • หายใจเร็วมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที แม้ว่าเขาจะนอนหลับสนิท หรือเป็นช่วงที่กำลังผ่อนคลาย

  • หายใจไม่ออกอย่างรุนแรง

  • มีภาวะหยุดหายใจนานกว่า 10 วินาที

  • มีอาการตัวซีด ริมฝีปากม่วง มือ เท้า และเล็บเปลี่ยนสีผิดปกติ 

  • บริเวณหน้าอก หน้าท้องยุบตัวหนัก เมื่อหายใจเข้า

  • หายใจแล้วมีเสียงดัง

สรุปได้ว่าอาการทารกหายใจครืดคราดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาระบบทางเดินหายใจ ซึ่งหากรุนแรงมากอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัด คุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตอาการลูกเสียแต่เนิ่น ๆ และพาพบคุณหมออย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้หาสาเหตุและรักษาได้อย่างทันท่วงที

Adblock test (Why?)


ทารกหายใจครืดคราดอันตรายไหม ไขข้อข้องใจ อาการแบบนี้เกิดจากอะไร - Kapook
Read More

Sunday, September 25, 2022

โรคหลอดเลือดสมองภัยเงียบใกล้ตัว - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

โรคหลอดเลือดสมองภัยเงียบใกล้ตัว

โรคหลอดเลือดสมอง พบมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั่วโลก มีโอกาสเกิดความพิการและเสียชีวิตได้สูงหากไม่ได้รับการรักษาภายในระยะเวลาที่เหมาะสม

คุณจะเป็นกลุ่มเสี่ยง ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้

  • ความดันโลหิตสูง
  • เบาหวาน
  • สูบบุหรี่
  • หัวใจเต้นผิดปกติ
  • ไขมันในเลือดสูง
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • อ้วน

อาการเบื้องต้น

1.ลิ้นแข็ง พูดลำบาก พูดไม่ชัด ไม่เข้าใจภาษา

2.มุมปากตก หน้าเบี้ยว

3.แขน/ขาอ่อนแรง ครึ่งซีก

4.ชาครึ่งซีก

5.เวียนศีรษะร่วมกับเดินเซ

6.มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นภาพครึ่งซีก

7.หมดสติ

คำแนะนำ : หากมีอาการดังที่กล่าวข้างต้นควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

ข้อมูล ณ วันที่ 25 กันยายน 2565
ที่มา : รศ.(พิเศษ) พญ.อรอุมา ชุติเนตร
ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ด้านโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร

Adblock test (Why?)


โรคหลอดเลือดสมองภัยเงียบใกล้ตัว - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
Read More

ฟันผุ แม้ไม่มีอาการ อย่าปล่อยไว้ พบลามเป็นหนองในช่องเยื่อหุ้มปอดได้ - ไทยรัฐ

ฟันผุ แม้ไม่มีอาการ อย่าปล่อยไว้ พบลามเป็นหนองในช่องเยื่อหุ้มปอดได้

Adblock test (Why?)


ฟันผุ แม้ไม่มีอาการ อย่าปล่อยไว้ พบลามเป็นหนองในช่องเยื่อหุ้มปอดได้ - ไทยรัฐ
Read More

สรพ.มอบรางวัล 8 ทีมผู้พัฒนานวัตกรรม 2P Safety Tech | TheCoverage.info - The Coverage

สรพ.มอบรางวัล 2P Safety Tech ประจำปี 2565 แก่ 8 ทีมที่พัฒนานวัตกรรมความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข


สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. จัดแข่งขันการนำเสนอผลงานนวัตกรรม 2P Safety Tech ในงานวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก และวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา โดยมีทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 8 ทีมเข้าแข่งขันในครั้งนี้

ทั้งนี้ รางวัลในการแข่งขันมีทั้งหมด 4 ประเภท ประกอบด้วยรางวัล The Best of Change รางวัล The Best of Care รางวัล The Best of Collaboration และรางวัล Rising Star

สำหรับทีมที่ชนะรางวัลประเภท The Best of Change มี 2 ทีม ประกอบด้วย 1. โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จ.สมุทรสงคราม ในผลงาน Somdej EVD Safety and Sure ซึ่งเป็นการพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือติดตามภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง (ICP Monitoring) สำหรับใช้ในการผ่าตัดสมอง โดยเครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้แพทย์ตรวจสอบค่าความดันในกะโหลกศีรษะในระหว่างการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยมากกว่าเดิม โดยนวัตกรรมดังกล่าวมีการพัฒนามาแล้ว 3 เวอร์ชั่น ซึ่งเวอร์ชั่นล่าสุดสามารถมอนิเตอร์ ICP ได้ทั้ง 2 ข้าง มีการเก็บข้อมูลที่แม่นยำ เวลาเฉลี่ยในการวัดลดลง และระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานมีมากกว่า 90%

2. โรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา ในผลงาน Digital Transformation โดยเป็นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาแก้ปัญหาความล่าช้าของระบบขนส่งผู้ป่วยในโรงพยาบาล ประกอบด้วย 4 โซลูชั่น ได้แก่ 1.SMART HY-Display เป็นการแสดงหน้าจอกระบวนการทำงานของการขนส่ง ตั้งแต่ร้องขอจนถึงปิดงาน เพื่อให้ผู้ขอใช้บริการและผู้ป่วยได้เห็นขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน 2.SMART HY-Evaluation การประเมินงานของเจ้าหน้าที่เปลในรูปแบบการวิเคราะห์ผ่านโปรแกรม Excel และแบบเรียลไทม์ 3.SMART HY-Log App เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาให้เป็น Web Application เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากผู้ขอใช้บริการไปสู่เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้าย และ 4.SMART HY-Stock เป็นระบบเปลอัจฉริยะซึ่งถูกพัฒนาจากระบบการเข้า-ออกงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์ด้วย QR Code เพื่อประโยชน์ในการดูจำนวนเปลนอนและเปลนั่งแบบเรียลไทม์

ขณะที่รางวัล The Best of Care มีผู้ชนะ 1 ทีม คือ โรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา ด้วยนวัตกรรม ICU without walls ซึ่งเป็นระบบการจัดสรรเตียงห้อง ICU ที่จัดสรรตามระดับความหนักเบาและโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย โดยนำระบบ AI เข้ามาช่วยประเมินว่าผู้ป่วยรายใดควรได้รับการจัดสรรเตียง

อนึ่ง นอกจากรางวัล The Best of Care แล้ว ผลงานนวัตกรรม ICU without walls ยังได้รับรางวัลป๊อปปูล่าร์โหวตจากผู้เข้าร่วมประชุมในงานนี้ด้วยอีก 1 รางวัล

ทั้งนี้ ICU without walls จะมีซอฟต์แวร์ 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นซอฟต์แวร์แสดงสถานะเตียง ICU ตามระดับความรุนแรง ทำให้ทราบว่าคนไข้รายใดอาการหนัก รายใดอาการเบา เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่ากรณีจำเป็นต้องย้ายห้องเพื่อให้มีเตียงว่างจะเลือกย้ายผู้ป่วยรายใด และ ส่วนที่ 2 เป็นซอฟต์แวร์จองเตียงออนไลน์ เมื่อลงทะเบียนขอเตียงเข้ามาแล้ว ระบบจะประเมินวิเคราะห์จัดลำดับผู้ป่วยที่จะได้เตียงตามเงื่อนไขต่างๆ เช่น โรคทางอายุรกรรม ศัลยกรรม โรคประจำตัว โรคปัจจุบันของผู้ป่วย หัตถการที่ต้องการใน ICU ความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค

ด้านรางวัล The Best of Collaboration มีผู้ชนะ 1 ทีม คือ โรงพยาบาลระยอง จ.ระยอง ด้วยนวัตกรรม Mobile Application for Stroke Digital Fast Track & Identification เป็นระบบบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยเปลี่ยนระบบข้อมูลจาก Silo based ที่แต่เดิมโรงพยาบาลเครือข่ายต่างคนต่างบันทึกข้อมูล เป็นแบบ Single database ข้อมูลในโรงพยาบาลเครือข่ายเป็นข้อมูลชุดเดียวกันทั้งหมด และมีระบบ tracking คนไข้ได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทำให้เตรียมพร้อมการรักษาได้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากเป็นข้อมูล real time สามารถเห็น timeline, sequence และมี notification ได้เมื่อใกล้เกินเวลา ช่วยให้ทีมผู้ดูแลสามารถเตรียมการเพื่อให้การรักษาได้ทันเวลาขึ้น

ขณะเดียวกัน ในส่วนของรางวัล Rising Star มีทีมที่ได้รับรางวัล 4 ทีม ประกอบด้วย 1. โรงพยาบาลบึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ผลงานนวัตกรรม แอปพลิเคชันระบบติดตามอาการผู้ป่วยขณะรักษาทางทันตกรรม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยเป็นแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนที่ทำงานร่วมกับ Pulse Oximeter มีราคาถูก ใช้งานง่ายเพียงเสียบเครื่อง Pulse Oximeter ที่ปลายนิ้วผู้ป่วย ระบบจะแจ้งเตือนหากผู้ป่วยมีสัญญาณว่ากำลังเข้าสู่ภาวะหมดสติหรือภาวะวิกฤติขณะทำฟัน ทำให้ทันตแพทย์มีความมั่นใจในการให้บริการมากขึ้น

2. โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จ.พิษณุโลก นวัตกรรม 2P Safety in ER ซึ่งเป็นการนำระบบ IoT มาช่วยแก้ปัญหาการระบุตัวผู้ป่วยผิดพลาด โดยใช้ RFID Tracing Identification เป็น wristband และมีแอปฯ NAH 2P Safety แสดงรูปภาพและข้อมูลผู้ป่วย มีการยืนยันผู้ป่วยก่อนทำหัตถการทุกครั้ง ตลอดจนมีระบบ Triage AI โดยใช้ NAH AI logic ในการประเมินระดับอาการผู้ป่วย

3. โรงพยาบาลค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ นวัตกรรม Smart MDC (Smart Medical Device Center) เป็นการนำ RFID tag ที่เหมาะสมมาติดกับเครื่องมือแพทย์แล้วบูรณาการกับระบบ Smart CSSD ช่วยให้สามารถติดตามสถานะเครื่องมือผ่าตัด มีระบบแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงวงรอบการ calibrate โดยจะแจ้งเตือนไปยังผู้รับผิดชอบผ่านอีเมล

และ 4. โรงพยาบาลสกลนคร จ.สกลนคร นวัตกรรมระบบจ่ายอัตโนมัติเพื่อจัดยาและจ่ายฉุกเฉิน (Stat Dose Quick Stock) เป็นระบบการจัดเตรียมยาจำเป็นเร่งด่วน (Stat Dose) ช่วยให้ผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วย stroke และ sepsis เข้าถึงยาได้เร็วขึ้น แก้ปัญหาระยะทางที่อยู่ห่างกันของคลังยาและห้องฉุกเฉินซึ่งทำให้ผู้ป่วยได้รับยาล่าช้า โดยระบบนี้มีการพัฒนาตู้ Stat Dose และจัดยาที่จะเข้าไปอยู่ในตู้ตามลำดับสีของห้องฉุกเฉิน โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือดและยาปฏิชีวนะ มีระบบคลังยาแยกมีระบบควบคุมรายงานจำนวนยาคงเหลือและระบบแจ้งเตือนเมื่อแพทย์สั่งจ่ายยา ทำให้พยาบาลสามารถเดินไปรับยาที่ตู้ Stat Dose ได้อย่างรวดเร็ว

Adblock test (Why?)


สรพ.มอบรางวัล 8 ทีมผู้พัฒนานวัตกรรม 2P Safety Tech | TheCoverage.info - The Coverage
Read More

"ฟันผุ" ไม่ใช่เรื่องเล็ก หมอ ยกเคส ผู้ป่วย เจอ หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด - คมชัดลึก

"ฟันผุ" ไม่ใช่เจอแค่ กลิ่นปาก ซะแล้ว เพราะปัญหาโรคฟันผุ เกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งก็มีอาการน้อย-มาก แตกต่างกันไป โดยสาเหตุของโรคฟันผุนั้นมักเกิดจากการละเลยในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อพบปัญหาเบื้องต้น อาจคิดว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยค่อยรักษาภายหลัง แต่เมื่อปล่อยไว้นานก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะเนื้อฟันอาจถูกทำลายถึงโพรงประสาท และรากฟัน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ส่งผลให้เกิดหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด ได้

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หรือ หมอมนูญ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ให้ข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊ค หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC เตือนให้ทุกคนต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้ดี อย่าปล่อยให้ฟันผุ มีการติดเชื้อในรากฟัน อาจส่งผลให้เกิดหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด (Empyema Thoracis) โดยยกเคสตัวอย่าง ผู้ป่วยชายรายหนึ่ง อายุ 53 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการไอ เสมหะสีเขียว ๆ เจ็บที่หน้าอกข้างขวาเวลาไอ และมีไข้ 1 สัปดาห์ ไม่ปวดฟัน ไม่เจ็บเหงือก ไม่มีโรคประจำตัว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่

ตรวจร่างกาย มีไข้ต่ำ ๆ ฟังปอดข้างขวาได้ยินเสียงลดลง เจาะเลือด พบเม็ดเลือดขาวในเลือดสูง 16,030 เอกซเรย์ปอดเห็นน้ำในปอดข้างขวา ทำคอมพิวเตอร์ปอดเห็นก้อนน้ำหลายก้อนเกาะอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา

เอกซเรย์ปอด

หลังจากนั้น ใส่สายระบายน้ำผ่านทางผิวหนังเข้าเยื่อหุ้มปอดข้างขวา 2 ตำแหน่ง ได้หนองสีเหลืองขุ่น มีกลิ่นเหม็น 1,200 ซีซี ย้อมเชื้อพบแบคทีเรียทั้งกรัมบวกและกรัมลบ (gram negative bacilli, gram positive cocci in pairs and chains, gram positive bacilli) ให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด ครอบคลุมทั้งเชื้อแบคทีเรียที่ต้องการและไม่ต้องการออกซิเจน เพาะเชื้อแบคทีเรียขึ้น Streptococcus constellatus คงมีอีกหลายเชื้อ แต่เพาะไม่ขึ้น

หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด

หมอมนูญ ระบุข้อมูลที่ชวนอึ้งว่า เมื่อปรึกษาทันตแพทย์ เอกซเรย์ ปรากฎว่า ฟันผุ พบฝีหนองที่รากฟัน (dental root abscess) ต้องถอนฟันทั้งหมด 9 ซี่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยไม่รู้สึกปวดฟันใด ๆ หลังให้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด 1 สัปดาห์ อาการดีขึ้น เอกซเรย์ปอดดีขึ้น 

เอกซเรย์ปอด

เมื่อฟันผุ น่ากลัวกว่าที่คิด แล้ว โรคฟันผุคืออะไร

โรคฟันผุ คือ อาการของฟันที่เนื้อฟันของเราถูกทำลายลงไป ซึ่งเป็นการทำลายตั้งแต่ผิวฟันลึกลงไปยังเนื้อเยื่อ ไปจนถึงโพรงที่ตัวฟัน  และแน่นอนว่า หากไม่ได้รับการรักษาจะลุกลาม ขยายใหญ่ และลึกขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถึงตอนนั้นนอกจากความเจ็บปวดแล้ว อาจต้องสูญเสียฟันไปเลยก็เป็นได้

ระดับความรุนแรงของฟันผุ

ฟันผุ ระยะที่ 1 เป็นระยะแรกเริ่มต้น ซึ่งบริเวณผิวฟันจะปรากฏสีเทา ๆหรือสีดำ บ้างมีสีขาวขุ่นรอบ ๆ  บ่งบอกว่าเนื้อผิวฟันกำลังถูกทำลายบางส่วน แต่ยังไม่มีอาการความเจ็บปวดใด ๆ

ฟันผุ ระยะที่ 2  เป็นระยะที่ผิวฟันเป็นรูฟันผุและลุกลามกว้าง ลึกลงสู่ชั้นเนื้อฟัน ไปใกล้โพรงประสาท จะมีอาการเสียวฟัน สังเกตได้จากเวลาสัมผัสของหวาน ของร้อนหรือของเย็น

ฟันผุ ระยะที่ 3  ระยะนี้ลุกลามลงเรื่อย ๆ ไปถึงโพรงประสาทฟัน ซึ่งเป็นระยะที่ทรมาน เส้นประสาทรับความรู้สึกจะทำให้รู้สึกปวดจนไม่อยากเคี้ยว อยู่เฉย ๆ ก็ปวด

ฟันผุ ระยะที่ 4  เข้าสู่ระยะรุนแรง เพราะเป็นการอักเสบลุกลามขยายวงกว้างไปที่รอบตัวฟัน อาจเกิดการอักเสบจนปวด เกิดหนอง ฟันโยก ไม่สามารถเคี้ยวอะไรได้

อาการ หรือ โรค ที่อาจเกิดต่อเนื่องจาก ฟันผุ

อาการที่เกิดจากโรคฟันผุนั้นมีความรุนแรงมากน้อยขึ้นกับระดับของฟันผุ หากฟันผุในระยะเบื้องต้น ไปจนถึงระดับกลาง สิ่งที่จะได้รับคือความเจ็บปวดทรมาน อาจไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ ผลที่ตามมาอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน บางรายปวดมากจนเกิดอาการปวดหัวตามมา และส่งผลไปถึงอาการนอนไม่หลับ ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานนอกจากจะสูญเสียฟันแล้ว อาจส่งผลต่อโรคปริทันต์อื่น ๆ เช่น อาการเหงือกอักเสบ บวม ไปจนถึงการอักเสบจนการเป็นการติดเชื้อเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง และกระแสเลือดได้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามว่าเป็นเพียงโรคฟันผุ มันคงไม่รุนแรงถึงแก่ชีวิต

เพื่อไม่พลาด ข่าวสารต่างๆ คมชัดลึก ไปที่
Youtube - https://www.youtube.com/channel/UCnniqWGq9lOqYd5sGWxVi7w
LineToday - https://today.line.me/th/v2/publisher/100057

เช็กรายชื่อศิลปินเข้าชิง "คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565" ใครคือ 6 Candidate กับ 8  สาขา Popular Vote 

https://www.komchadluek.net/entertainment/524524

Adblock test (Why?)


"ฟันผุ" ไม่ใช่เรื่องเล็ก หมอ ยกเคส ผู้ป่วย เจอ หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด - คมชัดลึก
Read More

ข่าวปลอม ! ภูมิแพ้ดีขึ้นได้เพียงเพิ่มโปรไบโอติกมากกว่า 1 พันล้าน CFU Fasting และวิตามินดี 3 20000 IU - สยามรัฐ

เพจ Anti-Fake News Center Thailand โพสต์ข้อความระบุว่า.

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ❌ ภูมิแพ้ดีขึ้นได้เพียงเพิ่มโปรไบโอติกมากกว่า 1 พันล้าน CFU Fasting และวิตามินดี 3 20,000 IU
.
ตามที่มีข้อมูลด้านสุขภาพเรื่องภูมิแพ้ดีขึ้นได้เพียงเพิ่มโปรไบโอติกมากกว่า 1 พันล้าน CFU Fasting และวิตามินดี 3 20,000 IU ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
.
จากกรณีที่มีการบอกต่อข้อมูลโดยระบุว่าภูมิแพ้ดีขึ้นได้เพียงเพิ่มโปรไบโอติกมากกว่า 1 พันล้าน CFU Fasting และวิตามินดี 320,000 IU ทางโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าข้อมูลในบทความดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือรองรับ ทั้งนี้ เนื่องจากอาการของโรคภูมิแพ้มีสาเหตุและความรุนแรงจากหลายปัจจัย การทานอาหารเสริมตามข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขสาเหตุการเกิดโรคและการแสดงอาการของโรคได้
.
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.rajavithi.go.th หรือโทร. 02-206-2900
.
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ข้อมูลในบทความดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือรองรับ การทานอาหารเสริมตามข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขสาเหตุการเกิดโรคและการแสดงอาการของโรคได้
.
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
.
📌 ช่องทางการติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม
.
LINE : @antifakenewscenter (http://nav.cx/uyKYnsG)
Website : https://ift.tt/yAKojBu
Twitter: https://twitter.com/AFNCThailand
สายด่วน : ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน 1111 ต่อ 87
.
#ข่าวปลอม #ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม #AntiFakeNewsCenter #AFNCThailand #สุขภาพ #ภูมิแพ้ #โปรไบโอติก #วิตามินดี

Adblock test (Why?)


ข่าวปลอม ! ภูมิแพ้ดีขึ้นได้เพียงเพิ่มโปรไบโอติกมากกว่า 1 พันล้าน CFU Fasting และวิตามินดี 3 20000 IU - สยามรัฐ
Read More

จส. 100 - จส. 100


         กระทรวงสาธารณสุข สวิตเซอร์แลนด์เตรียมทำลายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของโมเดอร์นาจำนวน 10,300,000 โดส ที่หมดอายุตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ 21 กันยายน (2565) โดยระบุว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำลายทิ้ง สำหรับวัคซีนจำนวน 2,500,000 โดส ถูกเก็บไว้ที่ฐานลอจิสติกส์ของกองทัพสวิตเซอร์แลนด์ และอีก 7,800,000 โดสอยู่ในคลังที่เบลเยียม คาดว่ามูลค่าของวัคซีนที่ถูกทำลายจะอยู่ที่ประมาณ 280 ล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 10,705 ล้านบาท)


         กระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่า วัคซีนเหล่านี้เป็นวัคซีนรุ่นเดิมที่มีการจัดซื้อตั้งแต่ในระยะแรกของการระบาดใหญ่ ซึ่งมีการสั่งวัคซีนจากผู้ผลิตหลายรายเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาวัคซีนที่อาจมีผลพิสูจน์ในภายหลังว่าไม่ได้ผล และเพื่อป้องกันปัญหาในการจัดส่ง ต่อมามีรายงานผลการทดสอบทางคลินิกที่ยืนยันประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ของโมเดอร์นา, ไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคทำให้สวิตเซอร์แลนด์สั่งจองวัคซีนเพิ่มขึ้น


          เว็บไซด์ข่าวสวิสอินโฟ (Swissinfo) รายงานว่า สวิตเซอร์แลนด์มีวัคซีนป้องกันโควิดมากกว่า 38 ล้านโดส ซึ่งจะหมดอายุก่อนสิ้นปีนี้ แต่ในเดือนหน้า (ต.ค.) สวิตเซอร์แลนด์จะเริ่มโครงการวัคซีนโควิดอีกครั้งโดยใช้วัคซีนรุ่นใหม่ของโมเดอร์นาประมาณ 3,500,000 โดส


          สวิตเซอร์แลนด์ มีผู้เสียชีวิตจากโควิดไปแล้ว 13,556 ราย นับตั้งแต่เริ่มการระบาดใหญ่ ได้รับวัคซีนครบแล้วเกือบร้อยละ 70 ของประชากร 8,700,000 คน


….


#สวิตเซอร์แลนด์


#ทำลายวัคซีนโควิด


 

Adblock test (Why?)


จส. 100 - จส. 100
Read More

เด็กแต่ละช่วงวัยต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง พ่อแม่ต้องรู้ l สุขหยุดโรค l 25 09 65 - TNN Online

Adblock test (Why?)


เด็กแต่ละช่วงวัยต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง พ่อแม่ต้องรู้ l สุขหยุดโรค l 25 09 65 - TNN Online
Read More

Saturday, September 24, 2022

Machine learning ถอดรหัสจีโนมนับล้านตัวอย่างปลดล็อกแนวทางรักษามะเร็ง - Hfocus

แมชชีนเลิร์นนิง (ML) หรือ "การเรียนรู้ของเครื่อง" เป็นส่วนหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) ซึ่งอัลกอริธึมแมชชีนเลิร์นนิงสร้างแบบจำลองตามข้อมูลตัวอย่าง เรียกว่า "ข้อมูลการฝึกอบรม" เพื่อทำการคาดคะเนหรือตัดสินใจโดยไม่ได้ตั้งโปรแกรมไว้อย่างชัดเจน โดยคอมพิวเตอร์จะเรียนรู้จากข้อมูลที่ให้ไว้เพื่อทำงานบางอย่าง สำหรับงานง่าย ๆ ที่กำหนดให้กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันมีส่วนช่วยทุ่นแรงมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยที่มนุษย์ไม่ต้องมาเสียเวลากำหนดอัลกอริธึมด้วยตัวเอง (1)

แมชชีนเลิร์นนิง สามารถเข้าไปช่วยงานได้ในหลากหลายสาขา แม้แต่ในงานด้านการแพทย์ และมันกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในสาขานี้ ตัวอย่างเช่น ในปี 2012 Vinod Khosla ผู้ร่วมก่อตั้ง Sun Microsystems คาดการณ์ว่า 80% ของตำแหน่งงานของแพทย์จะหายไปในสองทศวรรษข้างหน้าจากซอฟต์แวร์วินิจฉัยทางการแพทย์สำหรับการเรียนรู้ด้วยเครื่องอัตโนมัติ (2) ในปี 2020 มีการใช้เทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิงเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและช่วยเหลือนักวิจัยในการพัฒนาวิธีรักษา COVID-19 (3)

ล่าสุด บทความใหม่จากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ซึ่งตีพิมพ์ในวันที่ 6 กันยายน 2022 Nature Communications ได้แนะนำวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลจีโนมอย่างแม่นยำในการตรวจชิ้นเนื้อมะเร็ง เครื่องมือนี้ใช้วิธีการเรียนรู้ของแมชชีนเลิร์นนิง เพื่อแก้ไขดีเอ็นเอที่เสียหายและเปิดเผยกระบวนการกลายพันธุ์ที่แท้จริงในตัวอย่างเนื้องอก ซึ่งช่วยปลดล็อกแนวทางในการรักษามะเร็งและการผลิตยารักษาที่มีคุณค่ามหาศาลในตัวอย่างมะเร็งที่เก็บถาวรหลายล้านตัวอย่าง (4)

การวินิจฉัยตามระดับโมเลกุลช่วยจับคู่ผู้ป่วยที่การรักษามะเร็งที่เหมาะสม นักวิจัยให้ความสนใจเป็นพิเศษในการทำโปรไฟล์ดีเอ็นเอในตัวอย่างมะเร็งทางคลินิก Qingli Guo จากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ผู้นำการเขียนวิจัยชิ้นนี้กล่าวว่า แหล่งข้อมูลด้านมะเร็งที่ประเมินค่าไม่ได้นี้ไม่ได้ถูกใช้สำหรับการวินิจฉัยระดับโมเลกุลในปัจจุบันเนื่องจากคุณภาพของดีเอ็นเอไม่ดี นอกจากนี้ การแช่ฟอร์มาลินเพื่อเก็บรักษาตัวอย่าง ยังทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อดีเอ็นเอซึ่งเป็นความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการวิเคราะห์จีโนมมะเร็งในเนื้อเยื่อที่เก็บรักษาไว้

การวิเคราะห์กระบวนการกลายพันธุ์ในจีโนมมะเร็งสามารถช่วยตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มแรก วินิจฉัยมะเร็งได้อย่างแม่นยำ และเปิดเผยสาเหตุที่มะเร็งบางชนิดดื้อต่อการรักษา วิธีการใหม่นี้สามารถเร่งการพัฒนาการใช้งานทางคลินิกได้อย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดูแลผู้ป่วยมะเร็งในอนาคต

ที่น่าสนใจก็คือ วิธีการใหม่สามารถคาดการณ์การพัฒนากระบวนการมะเร็งได้มากกว่า 90% เลยทีเดียว

Qingli Guo ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยโรคมะเร็ง (ICR) ลอนดอน และมหาวิทยาลัยควีนแมรีแห่งลอนดอน พัฒนาวิธีการเรียนรู้ด้วยเครื่อง/แมชชีนเลิร์นนิง ที่เรียกว่า FFPEsig เพื่อศึกษาว่าฟอร์มาลินทำให้เกิดกลายพันธุ์ดีเอ็นเออย่างไร

ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าโดยปกติแล้ว เกือบครึ่งหนึ่งของกระบวนการตรวจมะเร็งจะพลาดไปโดยไม่มีการแก้ไขปัจจัยที่เข้ามารบกวนตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ FFPEsig มากกว่า 90% คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ

มะเร็งค่อยๆ พัฒนาขึ้น การทำโปรไฟล์กระบวนการกลายพันธุ์ในตัวอย่างตามแนวนอน (Longitudinal data คือ การติดตามตัวอย่างเดียวกันในเวลาต่างๆ กัน) สามารถช่วยในการระบุตัวทำนายข้อมูลทางคลินิกและวินิจฉัยโรคในแต่ละระยะของเนื้องอก

"การค้นพบของเราช่วยให้สามารถระบุลักษณะเฉพาะของอัตลักษณ์จำเพาะ (signatures) ที่เกี่ยวข้องทางคลินิกจากการตรวจชิ้นเนื้อเนื้องอกที่เก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้องมานานหลายทศวรรษ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าฟอร์มาลินส่งผลต่อจีโนมของมะเร็งอย่างไร การศึกษาของเราจึงเปิดโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการเปลี่ยนรูปแบบการทดสอบการตรวจหาอัตลักษณ์จำเพาะ (signatures) ที่พัฒนาขึ้นโดยใช้ตัวอย่างที่เก็บถาวรขนาดใหญ่ที่คุ้มค่า" Qingli Guo กล่าว (4)

นี่เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าใหม่ในการใช้แมชชีนเลิร์นนิงเพื่อรักษามะเร็ง ที่ผ่านมามีความคืบหน้าในการใช้แมชชีนเลิร์นนิงเพื่อการนี้มาโดยตลอด เช่น เมื่อเร็วๆ นี้ มีการประกาศแนวทางการเรียนรู้เชิงลึกแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยจากสถาบัน Koch Institute for Integrative Cancer Research ที่ MIT และโรงพยาบาล Massachusetts General Hospital (MGH) ที่อาจช่วยจำแนกมะเร็งที่ไม่ทราบสาเหตุหลักได้โดยการดูโปรแกรมการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการสร้างความแตกต่างของเซลล์ในระยะแรก (5)

ทั้งนี้ เซลล์มะเร็งมีลักษณะและพฤติกรรมค่อนข้างแตกต่างจากเซลล์ปกติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในการแสดงออกของยีน แต่เพราะความก้าวหน้าในการทำโปรไฟล์เซลล์เดียวและความพยายามในการจัดทำรายการรูปแบบการแสดงออกของเซลล์ที่แตกต่างกันในการทำแผนที่ของเซลล์ ทำให้มีข้อมูลมากมายที่บ่งชี้ว่ามะเร็งชนิดต่างๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร นี่คือการใช้ดาต้าให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์อย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการใช้ดาต้าและแมชชีนเลิร์นนิงช่วยจับทางมะเร็งก็คือ หากแบบจำลองซับซ้อนเกินไปและแสดงถึงลักษณะเฉพาะของการแสดงออกของยีนมะเร็งมากเกินไป แบบจำลองอาจดูเหมือนเรียนรู้ข้อมูลการฝึกอบรมได้อย่างสมบูรณ์ แต่จะสะดุดเมื่อพบข้อมูลใหม่ แต่ถ้าลดความซับซ้อนของแบบจำลองโดยการลดจำนวนคุณลักษณะ แบบจำลองอาจพลาดข้อมูลประเภทต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การจำแนกประเภทมะเร็งได้อย่างแม่นยำ

แมชชีนเลิร์นนิงยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันพร้อมที่จะพัฒนาให้สมบูรณ์แบบได้ในอนาคต อย่างน้อย การใช้อัลกอริธึมของมันได้ช่วยลดภาระหนักหน่วงจากการวินิจฉัยโดยอาศัยแรงมนุษย์ไปได้มากแล้ว

อย่างกรณีของทีมวิจัยที่  Koch Institute ได้สร้างสมดุลให้เกิดขึ้นกับแมชชีนเลิร์นนิงในการวิเคราะห์ตัวอย่างมะเร็งแบบต่างๆ โดยนักวิจัยได้เปรียบเทียบแผนที่ของเซลล์ขนาดใหญ่ 2 อัน โดยระบุความสัมพันธ์ระหว่างเนื้องอกและเซลล์ของตัวอ่อน ได้แก่ Cancer Genome Atlas (TCGA) ซึ่งมีข้อมูลการแสดงออกของยีนสำหรับเนื้องอก 33 ชนิด และ Mouse Organogenesis Cell Atlas (MOCA) ซึ่งกำหนดเส้นทาง 56 แบบแยกจากกัน เซลล์ตัวอ่อนในขณะที่พวกมันพัฒนาและแยกความแตกต่าง

แผนที่ผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการแสดงออกของยีนพัฒนาการในเนื้องอกและเซลล์ตัวอ่อนถูกแปลงเป็นรูปแบบการเรียนรู้ด้วยแมชชีนเลิร์นนิง นักวิจัยได้แยกการแสดงออกของยีนของตัวอย่างเนื้องอกจาก TCGA ออกเป็นส่วนประกอบแต่ละส่วน ซึ่งสอดคล้องกับจุดเฉพาะของเวลาในวิถีการพัฒนา และกำหนดค่าทางคณิตศาสตร์ให้แต่ละองค์ประกอบเหล่านี้ จากนั้นนักวิจัยได้สร้างแบบจำลองการเรียนรู้ด้วยเครื่องที่เรียกว่า Developmental Multilayer Perceptron (D-MLP) ซึ่งจะจัทางส่วนประกอบในการพัฒนาของเนื้องอก และคาดการณ์ที่มาของมัน

หลังการฝึกฝนแมชชีนเลิร์นนิงระบบนี้แล้ว D-MLP ถูกนำไปใช้กับตัวอย่างใหม่ 52 ตัวอย่างของมะเร็งที่วินิจฉัยได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งของมะเร็งปฐมภูมิที่ไม่รู้จักกัยซึ่งไม่สามารถวินิจฉัยได้โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ กรณีเหล่านี้แสดงถึงความท้าทายที่สุดที่พบในโรงพยาบาล MGH ในช่วงระยะเวลาสี่ 4 เริ่มต้นในปี 2017 แบบจำลองนี้จำแนกเนื้องอกออกเป็นสี่ประเภทและให้ผลการคาดการณ์และข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถชี้นำการวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยเหล่านี้

อ้างอิง

1. Ethem Alpaydin (2020). Introduction to Machine Learning (Fourth ed.). MIT. pp. xix, 1–3, 13–18. ISBN 978-0262043793.

2. Vinod Khosla (January 10, 2012). "Do We Need Doctors or Algorithms?". Tech Crunch.

3. Vaishya, Raju; Javaid, Mohd; Khan, Ibrahim Haleem; Haleem, Abid (July 1, 2020). "Artificial Intelligence (AI) applications for COVID-19 pandemic". Diabetes & Metabolic Syndrome: Clinical Research & Reviews. 14 (4): 337–339. doi:10.1016/j.dsx.2020.04.012. PMC 7195043. PMID 32305024.

4. "Researchers use machine learning to unlock the genomic code in clinical cancer samples". (6-SEP-2022). UNIVERSITY OF HELSINKI.

5. Bendta Schroeder. (September 1, 2022). "Using machine learning to identify undiagnosable cancers". MIT NEWS.

ภาพ  National Cancer Institute,

Adblock test (Why?)


Machine learning ถอดรหัสจีโนมนับล้านตัวอย่างปลดล็อกแนวทางรักษามะเร็ง - Hfocus
Read More

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...