กรมวิทย์เผยผลการทดสอบภูมิคุ้มกัน “ฝีดาษลิง” พบคนไทยปลูกฝีในอดีตส่วนใหญ่ป้องกันเชื้อไม่ได้ ย้ำวัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน เตรียมพัฒนาวัคซีนของไทยเอง
หลังประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อฝีดาษวานร (Monkeypox) จำนวน 7 คน จำแนกเป็นสายพันธุ์ B.1 จำนวน 1 คน และ A.2 จำนวน 6 คน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้นำเชื้อทั้งสองสายพันธุ์มาเพาะ และนำมาทำการทดสอบภูมิคุ้มกันต่อโรคฝีดาษวานร ในคนที่เคยได้รับวัคซีนฝีดาษ (Smallpox) หรือปลูกฝีมากกว่า 40 ปี ว่ายังมีภูมิคุ้มกันหลงเหลือพอที่จะจัดการเชื้อฝีดาษวานรหรือไม่
โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยผลการทดสอบว่า จากการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในคนที่ได้รับวัคซีนฝีดาษ
พบผู้ป่วย “ฝีดาษลิง” รายที่ 7 มีไข้-ตุ่มหนอง ประวัติใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง
“นายแพทย์ยง”มองเร็วไป WHO เปลี่ยนชื่อ “ ฝีดาษลิง ”
ด้วยวิธี Plaque Reduction Neutrakization Test (PRNT) ในกลุ่มผู้มีอายุ 45-74 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้ผลดังนี้
กลุ่มอายุ 45-54 ปี : ไม่มีใครที่มีระดับ titer มากกว่าหรือเท่ากับ 32 ต่อสายพันธุ์ B.1 และ A.2 หมายความว่า ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรทั้ง 2 สายพันธุ์ได้
กลุ่มอายุ 55-64 ปี : มี 1 คนที่มีระดับ titer เท่ากับ 32 และ 39 ต่อสายพันธุ์ B.1 และ A.2 ตามลำดับ ส่วนอีกคนมีระดับ titer เท่ากับ 35 ต่อ สายพันธุ์ A.2 เท่านั้น หมายความว่า มีเพียง 2 คนที่ภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรได้
กลุ่มอายุ 65-74 ปี : ไม่มีใครที่มีระดับ titer มากกว่าหรือเท่ากับ 32 ต่อสายพันธุ์ B.1 และ A.2 หมายความว่า ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรทั้ง 2 สายพันธุ์ได้
ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อฝีดาษวานรสายพันธุ์ A.2 จำนวน 2 คน เมื่อนำมาตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันด้วย พบว่า มีระดับ titer ต่อสายพันธุ์ BA.1 มากกว่า 51 และมีระดับ titer ต่อสายพันธุ์ A.2 มากกว่า 80 ไปจนถึง 192
ขณะที่ในกลุ่มคนที่ไม่ได้รับวัคซีนฝีดาษ มีระดับ titer ต่อทั้ง 2 สายพันธุ์ น้อยมาก คือ แทบไม่มีภูมิคุ้มกัน เรียกได้ว่า ป้องกันไวรัสฝีดาษวานรไม่ได้เลย
สรุปคือ คนไทยส่วนใหญ่ที่ได้รับวัคซีนฝีดาษมานานกว่า 40 ปี จำนวน 28 ราย ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสฝีดาษลิง ทั้ง 2 สายพันธุ์ แต่มี 2 รายพบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันที่ป้องกันได้
อย่างไรก็ตาม บนหลักการของการให้วัคซีน วัคซีนหลายตัวไม่สามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต ในกรณีของฝีดาษเอง วัคซีนจะป้องกันได้ดีประมาณ 3-5 ปี หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดลง แต่หากเราอยากให้ภูมิคุ้มกันสูงอยู่ตลอด จะต้องฉีดกระตุ้น แต่ในอดีตโรคฝีดาษได้หายไปเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว จึงยังไม่มีใครได้รับวัคซีนกระตุ้น
การฉีดวัคซีนมีอยู่ด้วยกัน 2 สาเหตุ คือ หนึ่งเพื่อการป้องกันโรค และสองเพื่อการลดการเพิ่มจำนวนของไวรัส หรือลดความรุนแรงโรค ปัจจุบันวัคซีนฝีดาษวานรโดยตรงยังไม่มีใครทำ แต่วัคซีนที่นำมาใช้คือ วัคซีนฝีดาษคน แต่ฉีดแล้วข้ามกันฝีดาษวานรได้ เพราะเป็นตระกูลใกล้เคียงกัน ได้ผลประมาณ 85% ซึ่งถือว่าเพียงพอ และวัคซีนปลูกฝีก็ไม่มีแล้ว เพราะมีความเสี่ยงพอสมควร
ขณะนี้จึงมีวัคซีนรุ่น 3 โดยขณะนี้สหรัฐและยุโรป อนุมัติให้ใช้ได้ วิธีฉีดมี 2 แบบ คือ ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง และฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง โดยกรมควบคุมโรคได้สั่งวัคซีนป้องกันฝีดาษรุ่น 3 เอาไว้แล้วจำนวน 1,000 โดส ใน 1 คน ต้องฉีด 2 โดส ดังนั้นจะรองรับได้ 500 คน แต่จะฉีดให้ใครอยู่ที่คณะกรรมการวิชาการตั้งหลักเกณฑ์
ถามว่าจำเป็นจะต้องเอามาฉีดทั่ว ๆ ไปไหม ในขณะนี้เราดูแล้วการฉีดวัคซีนฝีดาษวานรยังไม่จำเป็น เพราะการติดเชื้อไม่ได้รวดเร็วมากมาย ผ่านมาหลายเดือนก็เพิ่งมีอยู่ 7 ราย และแต่ละรายก็มีเหตุที่มาที่ไปทั้งสิ้น อย่างสัมผัสใกล้ชิด ไม่ได้ติดกันอย่างโควิด ที่ไปกินข้าวร้านเดียวกันแล้วติด เพราะฉะนั้นโอกาสแพร่กว้างขวางใหญ่โตก็จะไม่มี ส่วนสายพันธุ์ A.2 ก็ไม่ค่อยมีอาการรุนแรง อันตราตายน้อยกว่า 5% ติดเชื้อ 5 หมื่น เสียชีวิต 15 ราย ถือว่าต่ำมาก ต่ำกว่าโควิดหลายร้อยหลายสิบเท่า ยกเว้นคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือกินยากดภูมิอยู่ รวมถึงเด็กเล็ก ๆ ที่อาจพบปัญหา
ส่วนวัคซีนฝีดาษจากองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ที่ไทยมีสำรองอยู่ 500,000 โดสนั้น เนื่องจากเป็นวัคซีนรุ่นแรก และเมื่อฉีดไปแล้วอาจทำให้เกิดแผลเป็น รวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อไขสันหลังอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจมีปัญหาได้ หากจะนำมาใช้จริง จะต้องมาชั่งน้ำหนักว่าคุ้มหรือไม่ แต่ในขณะนี้เท่าที่ทั่วโลกคุยกัน ก็ยังไม่คุ้มที่จะฉีด
อย่างไรก็ตาม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้หารือกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติและมหาวิทยาลัยบางแห่ง เพื่อประสานขอเชื้อทำการวิจัยพัฒนาวัคซีนฝีดาษวานรโดยตรงเป็นของตัวเองแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณา แต่ง่ายที่สุดน่าจะพัฒนาจากวัคซีนฝีดาษลิงชนิดเชื้อตาย เพราะทำง่ายและเป็นแพลตฟอร์มคุ้นชิน
นพ.ศุภกิจ กล่าวย้ำอีกว่า ตอนนี้คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน สามารถปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention คือ ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างได้ เพราะมาตรการทางสังคมนี้ยังเพียงพอที่จะใช้ป้องกันโรคฝีดาษวานร
รู้จัก “โรคฝีดาษลิง”
“โรคฝีดาษลิง” พบครั้งแรกในลิงที่ติดเชื้อในปี 1958 ก่อนที่ในปี 1970 จะไปพบในคน จากประเทศคองโก และกลายเป็นโรคประจำถิ่นแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก เพราะผู้คนในแถบนั้นจะมีการเลี้ยงหรือกินสัตว์ป่าบ้าง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว
จนในปี 2020 องค์การอนามัยโลก (WHO) เริ่มพบผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรในหลายประเทศ โดยพบจำนวน 4,594 คน และเสียชีวิต 171 ราย ซึ่งตอนนั้นเสียชีวิตค่อนข้างเยอะ เนื่องจากส่วนหนึ่งเจอสายพันธุ์จากแถบแอฟริกากลางที่มีความรุนแรง จากนั้นในปี 2020 ผู้ป่วยฝีดาษวานรทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
สถานการณ์ “โรคฝีดาษลิง”
สำหรับสถานการณ์ผู้ป่วยฝีดาษวานร ณ วันที่ 2 กันยายน 2565 มีรายงานพบผู้ป่วยยืนยันแล้วใน 100 ประเทศ จำนวน 50,327 คน และเสียชีวิต 15 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงเพิ่มขึ้นเยอะ แต่การตายไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เพราะว่าเป็นสายพันธุ์ที่มาจากแอฟริกาตะวันตก ซึ่งอัตราการตายค่อนข้างต่ำมาก
ไทยมีวัคซีนฝีดาษสำรอง 5 แสนโดส จ่อจัดซื้อรุ่นใหม่ ใช้ฉีดเฉพาะกลุ่ม
ไทยเร่งตรวจคุณภาพวัคซีน "ฝีดาษ" รุ่นแรก ฉีดได้ถึง 5 แสนคน ในกรณีจำเป็น
กรมวิทย์เผยคนไทยปลูกฝีในอดีต ส่วนใหญ่ป้องกัน “ฝีดาษลิง” ไม่ได้ - PPTVHD36
Read More







No comments:
Post a Comment