Rechercher dans ce blog
Friday, December 31, 2021
Thursday, December 30, 2021
แอสตร้าเซนเนก้า ส่งวัคซีนให้ประเทศไทยครบ 61 ล้านโดสแล้ว - เอ็มเอสเอ็น
แอสตร้าเซนเนก้า เผย ส่งมอบวัคซีนให้ไทยครบตามแผน 61 ล้านโดส ปี 2565 จ่อจัดหาเพิ่ม 60 ล้านโดส ใช้เป็นเข็มกระตุ้น
วันที่ 30 ธันวาคม 2564 นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือน ธ.ค. นี้ แอสตร้าฯ ได้ส่งมอบวัคซีนให้แก่ไทยราว 15 ล้านโดส รวมทั้งหมดครบ 61 ล้านโดส ตามแผนการจัดหาวัคซีนให้แก่ประเทศไทย
ทั้งนี้ แอสตร้าเซนเนก้าจะทำการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มอีกจำนวน 60 ล้านโดส ให้แก่ประเทศไทยสำหรับใช้ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยจะทำการทยอยส่งมอบในปี 2565 ตามสัญญาการจัดซื้อวัคซีนที่แอสตร้าเซนเนก้า และรัฐบาลไทยได้ร่วมลงนามเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนแผนการฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
อีกทั้งสามารถดำเนินการเปลี่ยนเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ได้ หลังจากได้รับการรับรองการขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพในประเทศไทย
“แอสตร้าเซนเนก้าตระหนักถึงหน้าที่สำคัญในการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยสิ่งที่เราให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในขณะนี้ คือ การผลิตและส่งมอบวัคซีนที่มีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งในขณะนี้ได้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่าง โอไมครอน เราได้เร่งการผลิตและส่งมอบวัคซีนในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา และจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนประเทศไทยในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง” นายทีกกล่าว
แอสตร้าเซนเนก้า ส่งวัคซีนให้ประเทศไทยครบ 61 ล้านโดสแล้ว - เอ็มเอสเอ็น
Read More
แอสตร้าเซนเนก้า ส่งวัคซีนให้ประเทศไทยครบ 61 ล้านโดสแล้ว - ประชาชาติธุรกิจ
[unable to retrieve full-text content]
- แอสตร้าเซนเนก้า ส่งวัคซีนให้ประเทศไทยครบ 61 ล้านโดสแล้ว ประชาชาติธุรกิจ
- แอสตร้าเซนเนก้า ปลื้ม! ส่งมอบวัคซีนโควิดให้ไทย 61 ล้านโดส ครบตามสัญญา Sanook
- แอสตราเซเนกา เผย ส่งมอบวัคซีนโควิดให้ไทยครบ 61 ล้านโดสแล้ว ไทยรัฐ
- แอสตราเซนเนกา ส่งมอบวัคซีนให้ไทย ครบ 61 ล้านโดสแล้ว ข่าวไทยพีบีเอส
- ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News
แอสตร้าเซนเนก้า ส่งวัคซีนให้ประเทศไทยครบ 61 ล้านโดสแล้ว - ประชาชาติธุรกิจ
Read More
Wednesday, December 29, 2021
2 หนุ่มแสบ หลอกขายยานอนหลับ-เซ็กซ์ รายได้สะพัด 10 ล้านบาท ช่องทางออนไลน์ - ไทยรัฐ

ปคบ.รวบ 2 หนุ่มหัวใส เปิดเว็บไซต์ขายยานอนหลับ-ยาปลุกเซ็กซ์ ยึดของกลาง มือถือ 17 เครื่อง ซิมการ์ดผี 500 เบอร์ พบมีเงินในบัญชีหมุนเวียนนับสิบล้าน เผยพอเหยื่อหลงกลโอนเงินซื้อ จะส่งยาแก้เมารถ น้ำเปล่าให้แทน สอบสวนรับสารภาพ คนหนึ่งจบแค่ชั้น ป.6 แต่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เคยถูกจับโพสต์หลอกขายยานอนหลับและยาปลุกเซ็กซ์ เพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อต้นปี ก่อนก่อเหตุร่วมกับผู้ต้องหา อีกคนที่เคยเปิดร้านขายของลามกอนาจารย่านคลองถม
ตำรวจ ปคบ.รวบ 2 หนุ่มแสบเปิดเว็บไซต์หลอกขายยานอนหลับและยาปลุกเซ็กซ์ เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ. ร่วมกันแถลงจับกุมผู้ต้องหาร่วมกันเปิดเว็บไซต์ขายยานอนหลับ ยาปลุกเซ็กซ์ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทโดยผิดกฎหมาย แต่กลับส่งยาที่มิได้มีสรรพคุณตามที่โฆษณา เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้เมารถ หรือบางครั้งก็เป็นน้ำเปล่าบรรจุในขวดยา พบมีเงินหมุนเวียนนับสิบล้านบาท
พล.ต.ต.อนันต์เปิดเผยถึงการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบเว็บไซต์ที่ลักลอบขายยานอนหลับ, ยาปลุกเซ็กซ์ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทผิดกฎหมาย 4 เว็บไซต์ คือ https://ift.tt/3HrJGBr, https://www.ขายยานอนหลับ.com, https://yazeedzaa.com และ https://yasexonline.com อีกทั้งยังพบด้วยว่ามีพฤติการณ์หลอกลวงผู้ซื้อ จัดส่งยาที่มิได้มีสรรพคุณตามที่โฆษณาเพราะส่งยาแก้แพ้ ยาแก้เมารถ หรือน้ำเปล่าในขวดยา ที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้ที่สั่งซื้อมาใช้ด้วย
ต่อมาสืบสวนทราบว่า นายปณัฐนิติ ป้อมสูง อายุ 34 ปี และนายธนชัย เพ็งแสงแข อายุ 56 ปี เป็นเจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าว ได้รวบรวมหลักฐาน ขอหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 27 ธ.ค.64 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบัน (ยาอันตราย) โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันโฆษณาขายยาโดยไม่ทำให้เข้าใจว่ามีวัตถุใดเป็นตัวยาหรือเป็นส่วนประกอบของยาซึ่งความจริงไม่มีวัตถุหรือส่วนประกอบนั้นในยา หรือมีแต่ไม่เท่าที่ทำให้เข้าใจ และไม่แสดงสรรพคุณยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ ร่วมกันขายยาที่ไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” จับกุมนายปณัฐนิติได้ที่บ้านเลขที่ 8/63 ซอยงามวงศ์วาน 47 แยก 6-11 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ ส่วนนายธนชัยจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 28/42 หมู่ 1 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กทม.
ผบก.ปคบ.กล่าวอีกว่า ตรวจค้นพบของกลางที่เกี่ยวข้องหลายรายการคือโทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง ที่ใช้ติดต่อกับลูกค้าและใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน (บัญชีม้า) แท็บเล็ต 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก บัตรเอทีเอ็ม ซิมการ์ดโทรศัพท์ที่จดทะเบียนเป็นชื่อผู้อื่น (เบอร์ผี) ประมาณ 500 หมายเลข ยาแก้แพ้ ยาปลุกเซ็กซ์ เจลหล่อลื่น และอุปกรณ์เซ็กซ์ทอยจำนวนมาก
ด้าน พ.ต.อ.เนติกล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การรับสารภาพ นายปณัฐนิติ ยอมรับว่ามีหน้าที่เปิดเว็บไซต์ และรับออเดอร์จากลูกค้า ส่วนนายธนชัยมีหน้าที่คอยส่งยาให้ลูกค้า ส่วนยาที่จัดส่งไปจะไม่ใช่ตัวยาหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทตามที่สั่งซื้อ แต่จะส่งยาแก้แพ้หรือยาแก้เมารถ บางครั้งส่งน้ำเปล่าบรรจุขวดยาไปให้ เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้จดทะเบียนเป็นชื่อผู้อื่น หรือเบอร์ผี รวมทั้งบัญชีธนาคารที่ใช้รับโอนเงินก็ใช้ชื่อผู้อื่นเพื่อป้องกันถูกตามจับกุม และยักย้ายถ่ายโอนเงินด้วย ผู้ที่หลงเชื่อสั่งซื้อยาเมื่อรู้ว่าถูกหลอกจะไม่กล้าแจ้งความ เพราะสั่งซื้อยาโดยผิดกฎหมาย เกรงว่าจะมีความผิดไปด้วย
ผกก.4 บก.ปคบ.กล่าวอีกว่า ตรวจสอบบัญชีการเงินของผู้ต้องหา พบยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีต่างๆประมาณสิบล้านบาท ส่วนประวัตินายปณัฐนิติจบแค่ชั้น ม. 6 แต่มีความรู้และเชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ มีความสนใจเรื่องยานอนหลับและยาปลุกเซ็กซ์
เมื่อปี 59 เคยถูกจำคุก 3 ปี 6 เดือน ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะหลอกขายยานอนหลับและยาปลุกเซ็กซ์ผ่านเฟซบุ๊ก แต่ไม่ได้ส่งของให้ลูกค้าเหมือนกัน เพิ่งพ้นโทษมาเมื่อ ม.ค.61 ก่อนจะกลับมาก่อเหตุลักษณะเดียวกันอีก ส่วนนายธนชัยนั้นเคยลักลอบขายยานอนหลับ ยาปลุกเซ็กซ์ และอุปกรณ์ลามกอนาจร ที่ย่านตลาดคลองถม แต่สถานการณ์โควิด-19 ต้องปิดร้านมาร่วมกับนายปณัฐนิติ ก่อเหตุอีก
2 หนุ่มแสบ หลอกขายยานอนหลับ-เซ็กซ์ รายได้สะพัด 10 ล้านบาท ช่องทางออนไลน์ - ไทยรัฐ
Read More
“อ.เจษฏา”เผยข่าวดี “โอมิครอน”มีแววจะเป็นวัคซีนธรรมชาติ ยับยั้งโควิด “เดลตา”ได้ - เดลีนีวส์

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า โพสต์ข้อความอ้างอิงผลวิจัยจากแอฟริกาใต้ ว่า ข่าวดีครับ โอมิครอน มีแววจะเป็น “วัคซีนธรรมชาติ” ในการยับยั้งโควิดสายพันธุ์เดลตาได้
จากผลการวิจัยล่าสุดของประเทศแอฟริกาใต้ ที่ว่า “การติดเชื้อโอมิครอน จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ต่อเดลตาด้วย” จริง ๆ เรื่องนี้เป็นสมมติฐานที่ในกลุ่มนักวิชาการ (ฝั่งที่มองโลกในแง่ดี) กับการระบาดของ “Omicron” พูดถึงกันมาประมาณสักเดือนนึงได้แล้ว เมื่อพิจารณาถึงการแพร่ระบาดสูง แต่ความรุนแรงต่ำกว่า “เดลตา” ของ “โอมิครอน” ที่เกิดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ (รวมถึงผลที่คล้าย ๆ กันในประเทศอื่น เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา australia และเดนมาร์ก) เพราะพฤติกรรมของ “โอมิครอน” ก็คล้าย ๆ กับสมัยเริ่มต้นของเดลตา ที่ระบาดไปที่ไหนก็ไปแทนที่สายพันธุ์เดิม ๆ ได้ เพราะความสามารถในการติดเชื้อ และเพิ่มจำนวนตัวในร่างกายผู้ป่วยนั้น ดีกว่าสายพันธุ์เดิมมาก (คือ ถึงคน ๆเดียว ติดหลายสายพันธุ์พร้อมกัน สุดท้ายเดลตาก็ชนะ) ตอนนี้ “โอมิครอน” ก็มีแนวโน้มจะเข้าแทนที่ ขับไล่เดลตา (ซึ่งอาการรุนแรงมาก) ในแต่ละประเทศให้หายไปได้เช่นกัน
“โอมิครอน” ส่งสัญญาณดี เป็นวัคซีนธรรมชาติ ยับยั้ง-สร้างภูมิคุ้มกันเดลตา
เนื่องจากมันมักจะติดเชื้อ และเพิ่มเติมตัวได้ดีกว่าที่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจช่วงบน ของร่างกายผู้ป่วย และ ความที่มันแพร่กระจายได้ง่าย ใครติดเชื้อก็แสดงอาการออกมาอย่างรวดเร็วใน 2-3 วัน อาการป่วย อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไข้หวัดตามฤดูกาล และหายได้ในเวลาอันสั้นใน 7 วัน (ถ้าเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว เช่น ได้รับการฉีดวัคซีน หรือเคยป่วยด้วย covid สายพันธุ์เดิม ๆ มาก่อน) คลื่นการแพร่ระบาดของมัน ก็จะคล้ายกับการระดมฉีด “วัคซีนตามธรรมชาติ” อย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศนั้น แถมเป็นวัคซีนที่มี IgA (immunoglobin A) ซึ่งไม่สามารถสร้างได้จากการผลิตวัคซีนตามปกติ เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ถ้าประเทศไทยเราเตรียมตัวรับมือได้ดี ระดมฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงเพียงพอ (โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ) กดความชันของกราฟการแพร่ระบาดเอาไว้ เราน่าจะผ่านคลื่น “โอมิครอน” ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ไปได้ และหวังว่า จะช่วยกวาดเอา “สายพันธุ์เดลตา” ที่รุนแรงกว่า ออกไปด้วย เหมือนในประเทศอื่นได้ (สาธุ)
ทั้งนี้ ดร.เจษฎา ได้ยกผลวิจัย จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้พบว่า ผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” อาจมีภูมิคุ้มกัน “สายพันธุ์เดลตา” ด้วย โดยการค้นพบอาจมีนัยสำคัญต่อประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่การติดเชื้อโอมิครอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของสายพันธุ์โอมิครอนกับเดลตาคือ อาการป่วยรุนแรงน้อยกว่า
“การติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันชนิดลบล้างฤทธิ์ (Neutralizing Antibody) ที่สามารถต้านไวรัสสายพันธุ์เดลตา เนื่องจากโอมิครอน สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้การติดเชื้อซ้ำกับเดลตามีโอกาสน้อยลง”
ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย Khadija Khan จากสถาบันวิจัยสุขภาพแอฟริกาเขียนไว้ในผลการวิจัยของพวกเขา ในการวิจัยเกิดจากการติดตามผู้ติดเชื้อจำนวน 13 คน โดย 11 คนในนั้นติดเชื้อด้วยตัวแปรโอมิครอน โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 7 ราย ที่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยได้ทั้งวัคซีนของ Pfizer, BioNTech และ johnson & johnson โดยการตอบสนองของแอนติบอดีของผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน ดูเหมือนจะเพิ่มการป้องกันตัวแปรเดลตาได้มากกว่า 4 เท่าในสองสัปดาห์ หลังจากที่ผู้เข้าร่วมลงทะเบียนในการศึกษา โดยผู้เข้าร่วมยังแสดงให้เห็นว่า ความสามารถของแอนติบอดีในการสกัดกั้นการติดเชื้อโอมิครอนได้เพิ่มขึ้น 14 เท่า
ดังนั้น หากสายพันธุ์โอมิครอนแทนที่เดลตา และไม่รุนแรงกว่าสายพันธุ์ในอดีต ความร้ายแรงของ COVID-19 จะลดลง และการติดเชื้ออาจเปลี่ยนไปรบกวนบุคคลและสังคมน้อยลง
อย่างไรก็ตาม การศึกษายังไม่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ในสาขานี้ และยังไม่ชัดเจนว่าการป้องกันที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากแอนติบอดีที่มาจากโอมิครอน, การฉีดวัคซีน หรือภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งก่อนหรือไม่ แต่บุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนแสดงให้เห็นถึงการป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาจากแอฟริกาใต้และสหราชอาณาจักรพบว่า ผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอน จะมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรง โดยผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีโอกาสเกิดโรคร้ายแรงน้อยกว่า 70% เมื่อเทียบกับเดลตา แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นข้อมูลเบื้องต้นและมีความไม่แน่นอนสูง” เนื่องจากโอมิครอนยังไม่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในกลุ่มอายุสูงอายุและกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่นักระบาดวิทยาเตือนว่า แม้โอมิครอนจะรุนแรงน้อยกว่าเดลตา แต่ก็ยังสามารถสร้างภาระให้โรงพยาบาลได้ง่าย ๆ ด้วยการแพร่กระจายเร็วกว่าเดลตามาก
โดยองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า โอมิครอนกำลังแพร่กระจายเร็วกว่าเชื้อโควิดรุ่นก่อน ๆ การศึกษาจากฮ่องกงพบว่า โอมิครอนแพร่กระจายได้เร็วกว่า 70 เท่าในทางเดินหายใจของมนุษย์ แต่การติดเชื้อในปอดนั้นรุนแรงน้อยกว่า
“อ.เจษฏา”เผยข่าวดี “โอมิครอน”มีแววจะเป็นวัคซีนธรรมชาติ ยับยั้งโควิด “เดลตา”ได้ - เดลีนีวส์
Read More
ช่วงปีใหม่นี้ หลีกเลี่ยงกินหมูดิบ สุกๆดิบๆ เสี่ยงโรคไข้หูดับ หูหนวกถาวร - กรุงเทพธุรกิจ
กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนช่วงปีใหม่นี้ หลีกเลี่ยงการกินหมูดิบ หรือสุกๆ ดิบๆเสี่ยงป่วยโรคไข้หูดับ และอาจทำให้หูหนวกถาวรหรือเสียชีวิตได้ แนะทำสดใหม่ ปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อน
วันนี้ (29 ธ.ค. 2564) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ประชาชนมักเดินทางกลับภูมิลำเนา กรมควบคุมโรค ขอแนะนำให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องการกินอาหารในช่วงปีใหม่ โดยเฉพาะการทำอาหารกินเองในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนๆ หากนำเนื้อหมูที่ชำแหละกันเองในหมู่บ้านมากินดิบหรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ หลู้หมูดิบ ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านที่มีการใส่เลือดหมูดิบผสม หรือการปิ้งย่างไม่สุก เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับ หรือโรคติดเชื้อ สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส อาจทำให้หูหนวกถาวรหรือเสียชีวิตได้
ที่สำคัญในช่วงนี้มีการระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด โดยการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ลดการรวมกลุ่มของคนจำนวนมากและเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ให้น้อยที่สุด หากจำเป็นต้องเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ขอให้สแกนไทยชนะเพื่อให้สามารถติดตามตัวได้ง่าย หรืออาจทำอาหารกินเองภายในครอบครัว หากกินร่วมกันหลายคนให้เว้นระยะห่าง และแยกสำรับอาหารของแต่คนด้วย
- รู้สาเหตุเกิดโรคไข้หูดับ
ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 17 ธันวาคม 2564 พบผู้ป่วยโรคไข้หูดับ จำนวน 557 ราย เสียชีวิต 24 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุและวัยทำงาน ได้แก่ อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมา 55-64 ปี และ 45-54 ปี ตามลำดับ ส่วนภาคที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ ภาคเหนือ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ลำปาง พะเยา อุตรดิตถ์ น่าน และสุโขทัย ตามลำดับ

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย ที่สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1.เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2.การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค โดยติดต่อสู่คนทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตาที่มีเชื้ออยู่ โดยกลุ่มเสี่ยงมีอาการป่วยรุนแรงถ้าติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไต มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ
- แนะวิธีการป้องกันโรคไข้หูดับ
นพ.โอภาส กล่าวเพิ่มเติม หลังรับประทานเนื้อหมู หรือสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย 3-5 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะ จนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูหนวก ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากมีอาการดังกล่าว ขอให้รีบพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูให้ทราบ เพราะหากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้
สำหรับวิธีการป้องกัน คือ
1.ควรบริโภคอาหารที่สุก ทำสดใหม่ โดยเฉพาะเนื้อหมู ควรผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อน หากกินอาหารปิ้งย่างหรือหมูกระทะควรมั่นใจว่าเนื้อหมูที่รับประทานสุกก่อนเสมอ และแยกอุปกรณ์ที่ใช้หยิบเนื้อหมูสุกและดิบออกจากกัน ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากตลาดสดหรือห้างสรรพสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์ ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ
2.ผู้ที่สัมผัสกับหมูที่ติดโรคโดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้าบู๊ทยางสวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้งขอแนะนำให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” ยังเป็นการลดความกังวลต่อการติดเชื้อของโรคโควิด 19 ด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
ช่วงปีใหม่นี้ หลีกเลี่ยงกินหมูดิบ สุกๆดิบๆ เสี่ยงโรคไข้หูดับ หูหนวกถาวร - กรุงเทพธุรกิจ
Read More
10 ข่าวเด่นแห่งปี ลำดับที่ 8/10 คุยกับ "หมอยง" พยากรณ์สถานการณ์โรคโควิด-19 ปี 2022 ขาลงจริงหรือ? - TrueID News

สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่มวลมนุษยชาติเผชิญกันมาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกือบ 300 ล้านคน เสียชีวิตแล้ว กว่า 5 ล้านคน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2564) ขณะที่ในด้านเศรษฐกิจก็ต้องเจอปัญหาการปิดประเทศ ล็อกดาวน์ ส่งผลให้ธุรกิจที่สู้ไม่ไหวต้องล้มพับกันเป็นแถว
ในวันนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 และยังเกิดสายพันธ์ุใหม่ๆ ขึ้นมาอีก สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป จะจบลงเมื่อไร โควิด-19 จะหายไปจากโลกนี้หรือไม่
ทีมข่าว TNN ONLINE ได้เชิญ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติทางด้านไวรัสวิทยา โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก และโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ มาร่วมวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์โควิด-19 ในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป…
โควิด-19 จบได้ใน 1 ปี แต่ไทยจะเสียชีวิตถึง 700,000 คน!
ศ.นพ.ยง ประเมินสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา 2 ปี โดยระบุว่า ต้องยอมรับว่าโลกนี้กำลังยื้อ กับไวรัสอยู่หากโควิด-19 เกิดขึ้น เมื่อร้อยกว่าปีก่อน อย่าง “ไข้หวัดใหญ่สเปน” โดยการระบาด ขณะที่ไม่มีวัคซีน ประชาชนไม่หนาแน่น การระบาดของโรคเพียงปีเดียวเท่านั้น ก็จบ และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล
เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วคนจะติดเชื้อ แล้วเกิดภูมิต้านทานขึ้นตามธรรมชาติ แต่ความสูญเสียเยอะ สำหรับประเทศไทยในตอนนั้น (ปี 2461 มีประชากร 8 ล้านคน) มีผู้เสียชีวิต 80,000 กว่าคน อัตราการเสียชีวิตคิดเป็น 1% ของประชากรทั้งประเทศ
ขณะเดียวกัน เมื่อดูสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นขณะนี้ หากไม่มีการมาตรการใดๆ ปล่อยให้เกิดการติดเชื้อ ตามธรรมชาติ จะทำให้โรคสงบภายในระยะเวลา 1 ปี โดยคนส่วนใหญ่จะติดเชื้อ ระบบสาธารณสุขรองรับไม่ไหว ถ้าอัตราการเสียชีวิตคิดเป็น 1% ของประชากร จะทำให้ไทยมีผู้เสียชีวิตถึง 700,000 คน
มนุษยชาติกำลังยื้อเวลา ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิฯ เหมือนกับการติดเชื้อในธรรมชาติ
ศ.นพ.ยง เผยว่า ขณะนี้ทั่วโลกกำลังพยายามยื้อเวลา เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคโควิด-19 การเกิดภูมิต้านทานเกิดขึ้นได้ 2 วิธี คือ การติดเชื้อโดยธรรมชาติ และจากวัคซีน นักวิทยาศาสตร์จึงต้องรีบคิดค้นวัคซีนให้เร็วที่สุด จึงออกมาเป็นวัคซีนในรูปแบบต่างๆ ที่จะมาทดแทนการติดเชื้อตามธรรมชาติ
เราเสียเวลา 1 ปี ในการคิดค้นวัคซีน พอเข้าปีที่ 2 เป็นการดำเนินการฉีดวัคซีน โดยประชากรโลกมีถึง 7,000 กว่าล้านคน แต่วัคซีนนั้น เพิ่งจะฉีดไปเกือบ 9,000 ล้านโดส ซึ่งหากจะต้องได้รับวัคซีน 2 เข็ม จะต้องฉีด 15,000 ล้านโดส แสดงว่าการดำเนินการฉีดวัคซีนในปีที่ 2 ของการระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่ครอบคลุม และยังพบว่า ภูมิต้านทานของผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วเริ่มตกลง จึงต้องฉีดบูสเตอร์เข็ม 3 ต่อ
สำหรับในปีที่ 3 ของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกจึงต้องตามหาคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน พร้อมกับฉีดบูสเตอร์เข็ม 3 ให้กับคนที่ฉีดครบ 2 เข็ม โดยในปีหน้าจะต้องเพิ่มภูมิต้านทาน เพื่อป้องกันสายพันธุ์ใหม่โดยการฉีดวัคซีนเข็ม 3
ไทม์ไลน์โรคโควิด-19 เดินมาถึงครึ่งทาง ต่อไปอยู่ในช่วงขาลง จริงหรือ?
สำหรับสถานการณ์โรคโควิด-19 ณ วันนี้ ศ.นพ.ยง มองว่า เราควรจะมาได้ครึ่งทางแล้ว น่าจะอยู่ขาลงไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าในปีแรก อัตราการเสียชีวิตจะอยู่ที่ 3-5% ต่อจำนวนผู้ติดเชื้อ เมื่อเข้าปีที่สอง อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือ 2% ต่อจำนวนผู้ติดเชื้อ
ส่วนในปีที่สาม เชื่อว่า อัตราการเสียชีวิตจะลดลงมาน้อยกว่า 1% ต่อจำนวนผู้ติดเชื้อ และจะลดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดโรคนี้จะอยู่กับเรา เช่นเดียวกับโรคไข้หวัดในประเทศไทย พบผู้ป่วยเสียชีวิต 100-200 คนต่อปี
เมื่อเข้าปีที่สี่ อาจจะมีอัตราการเสียชีวิตที่สามารถเริ่มยอมรับได้ อาจจะหลักพันคนต่อปี เมื่อเข้าปีที่ห้าหรือหก อาจจะเหลือผู้เสียชีวิตเท่ากับโรคไข้หวัดใหญ่ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทานมากขึ้น ทั้งจากการรับวัคซีนและจากการติดเชื้อ มาช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง
พยากรณ์ปี 65 ทั่วโลกยังต้องสู้ต่ออีกปี หลังจากนั้นสถานการณ์จะดีขึ้น
“ถ้าให้ผมพยากรณ์ มองว่าปีหน้าเรายังต้องต่อสู้กับโควิด-19 ไปอีกปี และปีต่อไปจะดีขึ้น ซึ่งปีหน้าจะเริ่มเบากว่าปีที่สองแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มมีภูมิต้านทานแล้ว แต่ถ้าจะทำให้โรคนี้เป็นศูนย์ ไม่มีเคสผู้ป่วยเลยนั้น เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราจะต้องอยู่ด้วยกันกับโรค ในแนวทางที่ว่าทุกคนจะต้องมีภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสอาศัยร่างกายเราได้ แต่จะต้องไม่สร้างภาระให้เรา ให้เป็นแค่ไข้หวัด เจ็บคอ ไอ ให้เป็นเพียงแค่โรคทางเดินหายใจปกติที่เคยเป็นกัน เด็กเกิดรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีภูมิต้านทานก็จะเกิดการติดเชื้อ การติดเชื้อในเด็กจะมีอาการน้อยเหมือนโรคทางเดินหายใจทั่วไป และเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านการติดเชื้อมาแล้วก็จะมีภูมิต้านทานโดยธรรมชาติ
ปีต่อๆ ไป หากเราเคยติดเชื้อ แล้ว 1 ครั้ง หรือ 2-3 ครั้ง ต่อไปภูมิต้านทานของร่างกายจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อภูมิดีขึ้นเรื่อยๆ ก็จะติดเชื้อแบบไม่มีอาการ เหมือนกับโรคทางเดินหายใจที่เป็นในเด็กเยอะ เพราะว่าเด็กยังไม่มีภูมิ เมื่อติดหลายครั้งพอโตเป็นผู้ใหญ่ก็มีภูมิต้านทาน ก็จะไม่เดือดร้อนกับการป่วยเพราะไม่มีอาการ แต่จะไปเดือดร้อนอีกครั้งในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น ตอนเป็นผู้สูงวัย หรือกลุ่มเปราะบาง” ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา ให้ความเห็น
ตอบชัดๆ ปี หน้าโลกยังต้องเจอโควิด-19 กลายพันธ์ุอีกหรือไม่?
คำถามที่หลายคนอยากจะรู้ นั่นคือ พัฒนาการของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปีหน้าจะเจอการกลายพันธ์ุอีกหรือไม่ และจะรุนแรงแค่ไหน?
ศ.นพ.ยง ตอบว่า เชื้อไวรัสตัวนี้มีการกลายพันธ์ุอยู่ตลอดเวลาทุก 3-4 เดือน สายพันธ์ุไหนแพร่เร็วก็มาแทนที่สายพันธ์ุเก่า ด้วยหลักการแล้วต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน ทั้งมนุษย์ ทั้งไวรัส โดยมนุษย์ก็เพิ่มภูมิต้านทานเพื่อลดความรุนแรงลง และตามหลักวิวัฒนาการแล้วจะต้องอยู่ด้วยกันได้ พอไปถึงช่วงเวลาหนึ่ง จะอยู่ในจุดสมดุลเอง
สำหรับกลุ่มโคโรนาไวรัส มีในมนุษย์มาก่อน เช่น ไวรัสอัลฟ่าโคโรนา 229E และ NL63 ไวรัสเบต้าโคโรนา OC43 และ HKU1 เหล่านี้ทำให้เกิดหวัดในเด็ก พบได้ประมาณ 4% ต่อไปในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าโคโรนา 2019 ก็จะเป็นตัวที่ 5 แต่ไม่ได้หมายความว่า ตัวที่ 1-4 จะหายไป แต่ยังคงอยู่ต่อไปไม่ได้เป็นการแทนที่ แต่เป็นเชื้ออีกตัวหนึ่งที่อยู่ในโรคทางเดินหายใจ ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นได้ยังต้องใช้เวลา
“ถามว่า โควิด-19 จะกลายพันธ์ุรุนแรงขึ้น กว่าเดิมหรือไม่นั้นคงตอบไม่ได้ แต่ตามหลักวิวัฒนาการ ควรจะมีการปรับตัวให้อยู่ได้ทั้งสองฝ่าย ระหว่างมนุษย์และไวรัส หากมนุษย์อยู่ไม่ได้ ไวรัสก็คงอยู่ไม่ได้เช่นกัน ที่ผ่านมาอย่างไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็ยังคงอยู่แต่ความรุนแรงลดลงจนกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล” ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา อธิบาย
พัฒนาการวัคซีนต้านโควิดปีหน้า ต้อง “ปลอดภัย” มากกว่านี้
ศ.นพ.ยง เผยว่า ปัจจุบันวัคซีนออกมาค่อนข้างเร็ว แต่ในปีหน้าที่อยากเห็นคือ การพัฒนาวัคซีนที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หากฉีดวัคซีนในเด็กแล้วเด็กมีอาการไข้ หรือป่วยจากผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน คิดว่าครอบครัวคงไม่มีใครอยากให้ฉีด เนื่องจากเมื่อเด็กติดโควิดจะมีอาการน้อยมาก โดยไทยพบเด็กติดเชื้อโควิดราว 2.6 แสนคน เสียชีวิตร่วม 40 คน ส่วนใหญ่พบว่ามีโรคประจำตัว เช่น มะเร็ง โรคทางสมอง โรคไตวายเรื้อรัง และอื่นๆ เด็กที่แข็งแรง โอกาสจะเสียชีวิตน้อยมากๆ
ดังนั้น ผู้ใหญ่เมื่อติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงมากกว่า แม้ว่าวัคซีนจะมีอาการข้างเคียง แต่เมื่อนำมาชั่งน้ำหนักแล้ว จะเห็นว่าอันตรายจากเกิดโรคนั้นมีมากกว่าวัคซีน จึงเป็นที่ยอมรับได้ ขณะที่ในเด็กวัคซีนจะต้องปลอดภัยมากกว่าของผู้ใหญ่ เพราะถึงติดเชื้อแต่อาการไม่รุนแรง หากฉีดวัคซีนแล้วเด็กมีอาการป่วยก็คงไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
นอกจากนี้ แม้นักวิทยาศาสตร์พยายามคิดค้นวัคซีนเพื่อป้องกันการกลายพันธ์ุของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมว่าในอนาคตข้างหน้าก็จะเกิดสายพันธ์ุใหม่ขึ้นอยู่ดี
มนุษย์จะต้องอยู่กับโควิด-19 ไปอีก นานแค่ไหน?
ศ.นพ.ยง ระบุว่า การเกิดโควิด-19 กระตุ้นให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ต่อไปเกิดวิถีชีวิตใหม่ต่อไป (Next Normal) การใช้ชีวิตประจำวันจะเปลี่ยนไปมีการลดการสัมผัส เช่น การใช้เซ็นเซอร์เข้ามาเป็นตัวช่วยในการลดการสัมผัสพื้นผิวที่ต้องใช้ร่วมกัน หรือการจ่ายเงินผ่านมือถือ ลดการใช้เงินสดและอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ 2 ปีที่ผ่านมา ทุกคนมีการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างระหว่างกันเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ทำให้โรคติดเชื้อต่างๆ ลดลงอย่างมาก
เมื่อถามว่า ยังต้องใส่แมสก์ไปอีกนานแค่ไหนนั้น นพ.ยง ให้ความเห็นว่า “การใส่แมสก์มีข้อเสียคือสร้างความรำคาญหายใจไม่ค่อยออก แต่ข้อดีก็เยอะ ลดการแพร่กระจายโรค ซึ่งมองว่า หากจะใส่แมสก์กันต่อไปก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย”
เปิด 3 ข้อกังวลที่วงการแพทย์ทั่วโลกกำลังจับตาเกี่ยวกับเชื้อโควิด-19
1.เชื้อหลบหลีกภูมิต้านทาน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เชื้อแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น
2.แพร่ระบาดเร็ว ก็จะทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ แต่หากระบาดระลอกใหม่พบว่าผู้ป่วยมีอาการน้อย ก็เหมือนกับมาช่วยฉีดวัคซีน เพิ่มภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติให้แทนการฉีดวัคซีน จะทำให้ประชากรส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานเกิดขึ้นได้มากยิ่งขึ้น ร่วมกับการฉีดวัคซีน
3.ความรุนแรงของโรคจะเป็นอย่างไรต่อไป ขณะที่ยอดติดเชื้อทั่วโลกขึ้นไป 5-6 แสนคนต่อวันอีกครั้ง ในสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยวันละ 1.2 แสน เสียชีวิตวันละ กว่า 1,000 กว่าคน ในอังกฤษมีผู้ป่วยวันละหลายหมื่นคน หากเปรียบเทียบแล้วไทยยังถือว่าควบคุมได้ดี ซึ่งวงการแพทย์ทั่วโลกต่างจับตามอง ขออย่าให้โรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ส่งผลให้มีอาการรุนแรงขึ้นมาเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีก
ทีมข่าว TNN ONLINE รายงาน
ภาพจาก AFP , Reuters , กระทรวงสาธารณสุข
10 ข่าวเด่นแห่งปี ลำดับที่ 8/10 คุยกับ "หมอยง" พยากรณ์สถานการณ์โรคโควิด-19 ปี 2022 ขาลงจริงหรือ? - TrueID News
Read More
Monday, December 27, 2021
หนักแน่! ผอ.รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ห่วงหลังปีใหม่ยอดติดเชื้อโควิด-19 พุ่งกระฉูด เหตุคนแน่นร้านเหล้า-จัดสังสรรค์ - ผู้จัดการออนไลน์
เชียงใหม่ - ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ห่วงหลังปีใหม่ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 กลับมาพุ่งกระฉูดอีกครั้ง เหตุคนแห่ใช้บริการคึกคักร้านอาหารขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเลี้ยงสังสรรค์เฉลิมฉลอง ย้ำต้องเคร่งครัดมาตรการป้องกันต่อเนื่อง หวังยื้อยอดติดเชื้อรายวันแค่หลักร้อยที่ระบบสาธารณสุขยังรองรับได้
วันนี้ (27 ธ.ค. 64) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่จะดีขึ้นหากดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่ลดลงเหลือเพียงหลักสิบในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งติดเชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว ที่พบผู้ป่วยในประเทศไทยแล้วในช่วงนี้ ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการให้ร้านอาหารขายและนั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ รวมทั้งเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผู้คนมีการจัดเลี้ยงสังสรรค์และเฉลิมฉลองกัน ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงอย่างมากว่าหลังจากผ่านพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว อาจเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งใหญ่และรุนแรงอีกครั้ง พร้อมกับมีผู้ติดเชื้อจำนวนเพิ่มสูงขึ้นมาก
ทั้งนี้ แม้ว่าประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกคนยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอาจจะไม่มีอาการรุนแรงเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงอยากขอความร่วมมือและเน้นย้ำประชาชนว่าการเข้าไปใช้บริการร้านอาหารและการเลี้ยงสังสรรค์ฉลองเทศกาลปีใหม่ทั้งในที่ทำงานหรือครอบครัว ยังมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดรุนแรงและมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากเกินกว่าที่ระบบสาธารณสุขจะรองรับได้ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าหลังเทศกาลปีใหม่มีความเป็นไปได้สูงที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันของจังหวัดเชียงใหม่จะเพิ่มขึ้นจากหลักสิบในช่วงนี้เป็นหลักร้อย แต่หวังว่าจะไม่ถึงหลักพันที่เกินขีดความสามารถที่ระบบสาธารณสุขจะรองรับ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อทั้งระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
หนักแน่! ผอ.รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ห่วงหลังปีใหม่ยอดติดเชื้อโควิด-19 พุ่งกระฉูด เหตุคนแน่นร้านเหล้า-จัดสังสรรค์ - ผู้จัดการออนไลน์
Read More
ยธ.เผยไม่พบนักโทษเสียชีวิตจากโควิดในเรือนจำเเล้ว 15 วัน | ข่าวช่อง 8 - ช่อง8

ก.ยุติธรรม เผยสถานการณ์โควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ดีขึ้นต่อเนื่อง ไม่พบรายงานเสียชีวิตในช่วง 15 วัน ผู้ต้องขังรับวัคซีนสองเข็มเเล้วกว่า 94%
วันที่ 27 ธ.ค. 2564 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 85/2564 โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล Vdeo Conference) ร่วมกับผู้บัญซาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถานวันนี้ยังคงดีขึ้น มีเรือนจำสีขาว 133 แห่ง และเรือนจำสีแดง 9 แห่ง โดยในจำนวนดังกล่าว เป็นเรือนจำที่อยู่ระหว่างควบคุมการระบาด 4 แห่ง และเรือนจำอยู่ในแผนสิ้นสุดการระบาดของโรค (แผน EXIT) อีก 5 แห่ง
ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 18 ราย (พบในห้องแยกกักโรค 10 ราย และในเรือนจำสีแดง 8 ราย) โดยไม่มีรายงานการเสียชีวิตติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 874 ราย (กลุ่มสีเขียว 79.19 สีเหลือง 20.5% และสีแดง 0.48 ) มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 83,765 ราย หรือ 96.39 ของผู้ติดเชื้อสะสม 86,960 ราย เสียชีวิตสะสม 185 ราย คิดเป็น 0.219 ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
ส่วนการบริหารจัดการวัคซีนของกรมราชทัณฑ์ปัจจุบัน มีผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำและทัณฑสถานได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือครบโดสแล้ว จำนวน 265,757 ราย หรือคิดเป็น 94.69 ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 280,916 ราย
นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมสรุปว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเรือนจำถือว่าดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับแผนการบริหารจัดการเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. การป้องกันเชื้อจากภายนอกและภายใน ทั้งการบริหารจัดการห้องกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ให้ได้มาตรฐาน การระวังเชื้อจากเจ้าหน้าที่และสิ่งของที่อาจแพร่เข้าเรือนจำอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการฉีดวัคซึนเพื่อสร้างภูมิแก่ผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่ให้ครบจนสามารถเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ นอกจากนี้ ยังต้องเร่งลดความแออัดในเรือนจำทัณฑสถานทั่วประเทศ
2.การรักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อตามมาตรฐานและแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข และ 3. การปล่อยตัวผู้พ้นโทษจากเรือนจำ ต้องดำเนินการภายใต้มาตรการมิให้นำเชื้อออกภายนอกตามที่กรมราชทัณฑ์กำหนด ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเฝ้าระวังและยกระดับมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดขึ้นภายในเรือนจำและทัณฑสถานได้อีก
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันจันทร์ที่ 27 ธ.ค. 2564 มีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัว จำนวน 14 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 2 ราย และเยาวชน 12 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 52 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 4 แห่ง พบมีการติดเชื้อ 3 แห่ง และหมดสถานะ 1 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นรวมจำนวน 3,176 ราย หรือคิดเป็น 81.58% จากทั้งหมด 3,893 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 3,925 ราย หรือคิดเป็น 93.169 จากทั้งหมด 4,213 ราย
ยธ.เผยไม่พบนักโทษเสียชีวิตจากโควิดในเรือนจำเเล้ว 15 วัน | ข่าวช่อง 8 - ช่อง8
Read More
Sunday, December 26, 2021
ประกันสังคม เริ่มฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ผู้ประกันตน ม.ค. 65 ย้ำนายจ้างรีบลงทะเบียนให้ลูกจ้าง - pptvhd36.com
ประกันสังคม เริ่มฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ผู้ประกันตน ม.ค. 65 ย้ำ นายจ้างเร่งลงทะเบียนให้ลูกจ้างผ่านระบบ e-service ภายใน31 ธ.ค.นี้
นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยถึงการเร่งดำเนินการกระจายวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มไปแล้ว ให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ตามระยะเวลาที่เหมาะสมตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานประกันสังคม ได้เริ่มให้ผู้ประกันตนที่มีความประสงค์จะรับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 หรือบูสเตอร์โดส สามารถแจ้งนายจ้าง ฝ่ายบุคคล หรือ HR เพื่อลงทะเบียนฉีดวัคซีนดังกล่าวผ่านระบบ e-Service ในเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th
"ผู้ประกันตน ม.33" เตรียมลงทะเบียนฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ผ่าน ระบบ e-service
สธ.เผยประชาชนได้วัคซีนเข็ม 3 ต้นปีหน้า

ซึ่งได้เปิดให้บริการลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา และมีนายจ้างลงทะเบียนให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมาก โดยสำนักงานประกันสังคมจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับผู้ประกันตนในเดือนมกราคม 2565 นี้
ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ยังได้เน้นย้ำและเชิญชวนให้นายจ้างเร่งลงทะเบียนให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ผ่านระบบ e-Service ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และควบคุมโรคด้วยการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline
ประกันสังคม เริ่มฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ผู้ประกันตน ม.ค. 65 ย้ำนายจ้างรีบลงทะเบียนให้ลูกจ้าง - pptvhd36.com
Read More
Saturday, December 25, 2021
สหรัฐฯ เปิดตัว "ซูเปอร์วัคซีน" ป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์! - TNN24
สถาบันวิจัยกองทัพบกสหรัฐ เปิดตัว "ซูเปอร์วัคซีน" ชนิด เฟอร์ริติน นาโนพาร์ติเคิล ที่ป้องกันโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ หลังผ่านการทดลองแล้วในคน ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
วันนี้ (24 ธ.ค.64) นักไวรัสวิทยา เผยสูตรการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นของฮ่องกงและในอังกฤษ ถึงประสิทธิภาพในการยับยั้งโควิดสายพันธุ์ "โอมิครอน" (Omicron) พบว่า สูตรฉีดวัคซีนชนิด mRNA 3 เข็ม สามารถสู้โอมิครอนได้
ขณะที่ สูตรแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม ตามด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ก็สู้โอมิครอนได้เช่นกัน ส่วนสูตรวัคซีนซิโนแวค 3 เข็ม ไม่สามารถสร้างแอนติบอดีได้มากพอที่จะต้านสายพันธุ์โอมิครอน
ด้าน สถาบันวิจัยกองทัพบกสหรัฐ เปิดตัว "ซูเปอร์วัคซีน" ชนิด เฟอร์ริติน นาโนพาร์ติเคิล ที่ป้องกันโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ หลังผ่านการทดลองแล้วในคน ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ทีมนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันเพื่อการวิจัยกองทัพบก วอลเตอร์ รีด ของสหรัฐอเมริกา เตรียมแถลงเปิดตัววัคซีนที่สถาบันฯ พัฒนาขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า วัคซีนดังกล่าวซึ่งนิวสวีคเรียกว่าเป็น "ซูปเปอร์วัคซีน" เพราะเชื่อกันว่า จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันทั้งโรคซาร์ส และเชื้อโควิด-19 ทุกตัวรวมทั้งเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนอีกด้วย
นพ.เคย์ยอน โมดจาร์ราด ผู้อำนวยการสถาบันวอลเตอร์ รีด ระบุว่า วัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนชนิด เฟอร์ริติน นาโนพาร์ติเคิล วัคซีน มีโมเลกุลลักษณะรูปลูกฟุตบอลที่มีผิวหน้าแตกต่างกันถึง 24 แบบ ทำให้สามารถจับเกาะกับโปรตีนหนามของโคโรนาไวรัสที่มีสไปค์โปรตีนได้แทบทุกชนิด
โดยกองทัพบกสหรัฐเริ่มวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ของอนุภาคขนาดนาโน สไปค์-เฟอร์ริติน (SpFN) ตั้งแต่ต้นปี 2563 ซึ่งประสบผลสำเร็จในห้องปฏิบัติการกับหนูทดลอง
กระทั่งวัคซีนนี้เพิ่งแล้วเสร็จจากการทดลองในคน ระยะที่ 1 และแสดงผลในทางบวกจนน่าพอใจในการทดสอบกับโอมิครอนและสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีอยู่เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองในคนระยะที่ 2 และ 3 พร้อมๆ กัน
ด้าน ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เผยถึงกรณีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้นานแค่ไหน
โดยข้อมูลทีมวิจัยจากฮ่องกงทดลองเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ ถึงระดับภูมิคุ้มกัน ดังนี้
- สูตร ซิโนแวค - ซิโนแวค - กระตุ้นเข็ม 3 ด้วยไฟเซอร์ (SV-SV-PZ) ได้ระดับที่มากเพียงพอในการยับยั้งการติดเชื้อโอมิครอน
- สูตร ซิโนแวค - ซิโนแวค - กระตุ้นเข็ม 3 ด้วยแอสตร้า (SV-SV-AZ) มีค่าเฉลี่ยที่ต่ำกว่า ระดับแอนติบอดีในการยับยั้งการติดเชื้อโอมิครอน
- สูตร ซิโนแวค - ซิโนแวค - กระตุ้นเข็ม 3 ด้วยซิโนแวค (SVx3) ไม่มีระดับแอนติบอดีมากพอจะป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนได้
- สูตร 2 เข็ม ทั้งไฟเซอร์ 2 เข็ม และซิโนแวค 2 เข็ม มีระดับแอนติบอดีไม่เพียงพอต่อเชื้อเชื้อโอมิครอนเช่นกัน
ส่วนข้อมูลทีมวิจัยของสหราชอาณาจักร จากฐานข้อมูลผู้ป่วยผู้ติดเชื้อโอมิครอน จำนวน 68,489 ราย ในการฉีดเข็มกระตุ้นสู้โอมิครอน สรุปได้ว่า
1.ผู้ที่ได้รับการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็ม (AZ+AZ) ตามด้วยไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา ในเข็มที่ 3 พบว่า ประสิทธิภาพป้องกัน 60% ทั้งคู่ แต่ผ่าน 10 สัปดาห์ประสิทธิภาพไฟเซอร์เหลือ 35% ส่วนโมเดอร์นาผ่านไป 5-9 สัปดาห์ เหลือ 45%
2.ผู้ที่ได้รับ mRNA อย่างไฟเซอร์มา 2 เข็ม ตามด้วยไฟเซอร์ เข็ม 3 ประสิทธิภาพ 70% ภายใน 1 สัปดาห์ แต่ผ่านไป 10 สัปดาห์ เหลือ 45% แต่หากฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม และกระตุ้นด้วยโมเดอร์นา พบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนสูงที่ 70-75% ยาวนานไปถึงมากกว่า 9 สัปดาห์ ซึ่งดูเหมือนว่าสูตรนี้ตกช้ากว่าสูตรอื่นๆ สำหรับโอมิครอนแต่คนไทยใช้สูตรนี้น้อยมาก
3.ข้อมูลสำหรับคนที่ฉีดโมเดอร์นา 2 เข็มแบบไม่กระตุ้น ประสิทธิภาพป้องกันโอมิครอนที่ 50% ภายใน 2-4 สัปดาห์ เริ่มตกมาที่ 30% ในสัปดาห์ที่ 10 และ 0% ในสัปดาห์ที่ 20 ดังนั้นก็ต้องฉีดกระตุ้นเช่นกัน
สหรัฐฯ เปิดตัว "ซูเปอร์วัคซีน" ป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์! - TNN24
Read More
Friday, December 24, 2021
"สมาคมสายการบินฯ" ยันเดินทางด้วยเครื่องบินเสี่ยงต่ำติดเชื้อ “โอมิครอน” - เดลีนีวส์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.
"สมาคมสายการบินฯ" ยันเดินทางด้วยเครื่องบินเสี่ยงต่ำติดเชื้อ “โอมิครอน” - เดลีนีวส์
Read More
จส. 100 - จส. 100

สำนักงานประกันสังคมเตรียมฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็ม 3 ให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ภายในระยะเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้
นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคม ได้เริ่มให้ผู้ประกันตนที่มีความประสงค์จะรับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 หรือบูสเตอร์โดส สามารถแจ้งนายจ้าง ฝ่ายบุคคล หรือ HR เพื่อลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านระบบ e-Service ในเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th ซึ่งได้เปิดให้บริการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2564 และมีนายจ้างลงทะเบียนให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมาก โดยสำนักงานประกันสังคมจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับผู้ประกันตนในเดือนมกราคม 2565 และขอเชิญชวนนายจ้างเร่งลงทะเบียนให้ลูกจ้างภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
....
#สำนักงานประกันสังคม
#วัคซีนบูสเตอร์
จส. 100 - จส. 100
Read More
Thursday, December 23, 2021
ผลวิจัยชี้ แอสตร้าเซนเนก้า เข็มบูสเตอร์ป้องกัน "โอไมครอน" ได้ - TNN24

ผลวิจัยออกซ์ฟอร์ดชี้วัคซีนโควิด "แอสตร้าเซนเนก้า" เข็ม 3 เพิ่มภูมิคุ้มกันโควิดสายพันธุ์ "โอมิครอน" ได้
วันนี้( 23 ธ.ค.64) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้รับรายงานว่า วันนี้บริษัท แอสตร้าเซนเนก้าได้เผยแพร่ข้อมูลการศึกษาจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 สามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้
ทั้งนี้ งานศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ยังระบุว่า การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มกระตุ้นนั้นได้สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ได้รับวัคซีนในระดับที่สูงกว่าผู้ที่เคยติดเชื้อและหายป่วยได้เอง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีงานศึกษาหลายชิ้นยืนยันถึงประสิทธิภาพของวัคซีนแอสต้าเซนเนก้า โดยการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 โดส ก็สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ไปทั่วโลกในช่วงก่อนหน้านี้ได้ดี
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ยินดีที่วัคซีนที่ได้ตัดสินใจเลือกเป็นวัคซีนหลักของประเทศไทยตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสามารถป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้ศึกษาและทำงานอย่างหนักเพื่อเลือกวัคซีนที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย
ซึ่งการที่ขณะนี้แอสตร้าเซนเนก้าอยู่ระหว่างการพัฒนาประสิทธิภาพของวัคซีนให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนนี้ รัฐบาลได้มีข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตว่า สำหรับวัคซีนที่จัดส่งให้แก่ประเทศไทยนั้น จะต้องเป็นวัคซีน Generation ใหม่ที่ผ่านการวิจัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
รัฐบาลโดยกระทรวงสาธาราณสุขยังคงเดินหน้าจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพสำหรับประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งตามแผนการจัดหาในปี 2565 ที่ 120 ล้านโดส โดยมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนหลัก จำนวน 60 ล้านโดส ซึ่งมีข้อตกลงว่าจะเปลี่ยนเป็นวัคซีน Generation ใหม่ที่รองรับการกลายพันธุ์ของไวรัสทันทีที่งานวิจัยต่างๆเสร็จสิ้น
รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ครอบครัวและสังคมและขอให้มั่นใจว่าวัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลจัดหาเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ
ข้อมูลจาก เว็บรัฐบาล
ภาพจาก AFP
ผลวิจัยชี้ แอสตร้าเซนเนก้า เข็มบูสเตอร์ป้องกัน "โอไมครอน" ได้ - TNN24
Read More
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ แนะนำฉีดวัคซีนเข็ม 3 คนภูมิต่ำต้องซ้ำ mRNA ทุกเดือน - ข่าวสด
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ออกคำแนะนำฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 3 กระตุ้น โดยคนภูมิต่ำ มักตอบสนองต่อวัคซีนโควิดไม่ดี ต้องซ้ำด้วยวัคซีน mRNA ทุกเดือน
เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ออกคำแนะนำเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.64 เรื่องการให้วัคซีนโควิด-19 เข็ม 3 แก่ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยระบุว่า เนื่องด้วยผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (immunocompromised patients) มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ที่รุนแรงและมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก จึงควรได้รับวัคซีน ครบ 2 เข็ม โดยเร็ว

แต่แม้รับวัคซีนครบแล้ว ก็มักตอบสนองต่อวัคซีนโควิด-19 ไม่ดี จึงมีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งมีคำแนะนำจากคณะอนุกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมกับ สมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทยและสมาคมรูมาติซั่มแห่งประเทศไทย ที่พิจารณาจากข้อมูลปัจจุบัน ออกข้อแนะนำการรับวัคซีนเข็มที่ 3 แก่ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

ดังนี้ 1.เป็นผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ 2.ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ 3.ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบหรือแพ้ภูมิตนเอง ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive drugs) หรือ ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ได้แก่ methotrexate, azathioprine, mycophenolate mofetil, leflunomide, cyclophosph amide หรือ cyclosporine ในช่วง 3 เดือนก่อนที่จะให้วัคซีน
หรือยาชีววัตถุและยาสังเคราะห์มุ่งเป้าฯ ได้แก่ ยายับยั้ง JAK, ยายับยั้งTNF, ยายับยั้งไซโตไคน์ ได้แก่ IL-6R, IL-1, IL-17 , IL-1 2/23 หรือ LL-23 ในช่วง 3 เดือนก่อนที่จะรับวัคซีนและ rituximab ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
โดยคนที่เคยได้รับวัคซีนซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม ครบ 2 เข็ม ต้องรับวัคซีนชนิด mRNA 3 เข็ม ห่างกันเข็มละ 1 เดือน โดยเริ่มหลังจากได้รับวัคซีนเข็มสุดท้าย ส่วนคนที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2เข็ม / ไฟเซอร์ 2 เข็ม/โมเดอร์นา 2 เข็ม ให้รับวัคซีน mRNA 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 1 เดือน โดยเริ่มหลังจากได้รับวัคซีนเข็มสุดท้าย
ส่วนคนที่รับวัคซีนสูตรไขว้ ทั้ง ซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม +แอสตร้าฯ หรือ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม+ mRNA หรือ แอสตร้าฯ + mRNA ต้องรับวัคซีน mRNA 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน โดยเริ่มหลังจากได้รับวัคซีนเข็มสุดท้าย
ส่วนผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำ และเคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แนะนำให้กระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีนชนิด mRNA โดยคนภูมิต่ำ เคยติดโควิด-19 รับวัคซีน 2 เข็ม ทั้งซิโนแวค/ ซิโนฟาร์ม ให้รับวัคซีน mRNA 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน ส่วนคนเคยติดโควิด-19 และภูมิต่ำรับวัคซีน ทั้ง แอสตร้าฯ 2 เข็ม หรือ mRNA 2 เข็ม หรือ สูตรไขว้ ให้รับ วัคซีนชนิด mRNA 1 เข็ม
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ แนะนำฉีดวัคซีนเข็ม 3 คนภูมิต่ำต้องซ้ำ mRNA ทุกเดือน - ข่าวสด
Read More
อย.สหรัฐอนุมัติฉุกเฉิน ยารักษาโควิด "แพกซ์โลวิด" ของไฟเซอร์ - เดลีนีวส์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.
อย.สหรัฐอนุมัติฉุกเฉิน ยารักษาโควิด "แพกซ์โลวิด" ของไฟเซอร์ - เดลีนีวส์
Read More
Wednesday, December 22, 2021
ปชช.จ่อเที่ยวปีใหม่หลังฉีดวัคซีนมั่นใจปลอดภัยมากขึ้น - สำนักข่าว ไอเอ็นเอ็น

21 ธันวาคม 2021 - 14:24
ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดเป้าหมายการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชนในประเทศไทย ให้ได้ 100 ล้านโดส เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน ช่วยลดการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 นั้น ล่าสุดข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขรายงานว่า สามารถฉีดวัคซีนได้บรรลุเป้าหมายแล้ว 100 ล้านโดสเป็นที่เรียบร้อย
ในวันนี้ ทีมข่าวไอ.เอ็น.เอ็น ลงพื้นที่ศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหลักที่ให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนตลอดมา ก่อนที่จะนับถอยหลังสู่เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยบรรยากาศพบว่า ประชาชนที่ประสงค์รับวัคซีน ทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีนตามการนัดหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสูตรวัคซีนที่ใช้ในขณะนี้ของของศูนย์ฉีดสถานีกลางบางซื่อ ให้บริการ “ไฟเซอร์” เป็นวัคซีนหลัก ทั้งเข็มที่ 1,2 และเข็มที่ 3 ส่วนประชาชนที่ประสงค์วัคซีนซิโนแวค, แอสตร้าเซนเนก้า และโมเดอร์นา สามารถแจ้งความประสงค์ได้ โดยจะมีทีมแพทย์พิจารณาเป็นรายกรณีไป พร้อมกันนี้ ทีมข่าวยังได้เข้าไปพูดคุยกับประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนในวันนี้ ประชาชนส่วนใหญ่เปิดเผยว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เช่นนี้ และมีสายพันธุ์ใหม่อย่างโอไมครอน เมื่อฉีดวัคซีนแล้วทำให้มีความมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกันกับ นางสาวเกตุวดี รุ่งวันชัย อายุ 39 ปี เปิดเผยว่า ในวันนี้เข้ารับวัคซีนเข็มที่ 3 โดยก่อนหน้านี้เข็มที่ 1 และ 2 ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ส่วนในนี้เลือกรับวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งนี้ โดยส่วนตัวไม่ได้มีความกังวลมากขึ้น แต่แค่ระวังตัวมากขึ้นเสียมากกว่า พร้อมยังบอกว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จริงๆแล้วมีแพลนที่จะไปท่องเที่ยว แต่ขอดูสถานการณ์และติดตามข่าวเรื่องโอไมครอนก่อน
ด้านนายปิยะบุตร สิงห์ชัย อายุ 33 ปี และนางสาวสุวงค์ เย็นเพิ่ม อายุ 40 ปี ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนในวันนี้บอกว่า วัคซีนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พึ่งพาได้ ก็ต้องมั่นในใจเรื่องของความปลอดภัย ส่วนการออกไปเฉลิมฉลองในเทศกาลปีใหม่หลังฉีดวัคซีน มีการวางแพลนไว้แล้วแต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นช่วงปีใหม่หรือหลังปีใหม่
ขณะเดียวกันในส่วนของศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ของทาง กทม. ได้ประกาศหยุดให้บริการ “ฉีดวัคซีนโควิด” เนื่องในเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2564 – 4 ม.ค. 2565 ส่วนสถานีกลางบางซื่อยังคงเปิดให้บริการถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2564 แต่ วันที่ 29 และ 30 ธ.ค. เป็นการให้บริการสำหรับผู้ลงทะเบียนไว้แล้วมีกำหนดมารับวัคซีนเท่านั้น ก่อนที่จะปิดให้บริการในวันที่ 31 ธ.ค. 2564 – 4 ม.ค. 2565 ก่อนกลับมาเปิดให้บริการแก่ประชาชนอีกครั้งในวันที่ 5 ม.ค. 2565
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
ปชช.จ่อเที่ยวปีใหม่หลังฉีดวัคซีนมั่นใจปลอดภัยมากขึ้น - สำนักข่าว ไอเอ็นเอ็น
Read More
Tuesday, December 21, 2021
ศ.นพ.มานพ เจาะลึกวัคซีน mRNA ความหวังป้องกัน "โอไมครอน" - Tnews - ทีนิวส์
ในขณะนี้ บริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่างก็กำลังค้นคว้าอย่างเร่งด่วนเพื่อที่จะได้รู้จักและเข้าใจเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนวัคซีนโควิด-19 ที่ทันต่อการกลายพันธุ์ เช่น บริษัทโมเดอร์นากำลังดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ของวัคซีนโมเดอร์น่าทั้ง 3 สูตร ได้แก่
1) วัคซีนเข็มกระตุ้นสูตร mRNA-1273 ในขนาด 100 ไมโครกรัม
2) วัคซีนสูตรผสมที่รวมสายพันธุ์เบต้าและเดลต้า ซึ่งมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งเหมือนกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน
และ3) จะเร่งดำเนินการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 สูตรใหม่ที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน

ในระหว่างที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนยังไม่แพร่กระจายมากจนเข้ามาแทนที่สายพันธุ์อัลฟ่า เบต้า และเดลต้า ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไทยขณะนี้ วัคซีนชนิด mRNA ทั้งสองยี่ห้อที่มีอยู่ในประเทศไทยยังคงมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดี แม้จะใช้หลักการและเทคโนโลยีเดียวกันในการผลิต วัคซีนทั้งสองยี่ห้อก็มีส่วนปลีกย่อยที่ส่งผลให้มีประสิทธิผลที่แตกต่างกัน
สิ่งที่ทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 มีความแตกต่างกันนั้นศ.นพ.มานพอธิบายว่า ข้อแรก คือ ตัวห่อหุ้ม หรือ Lipid nanoparticles ที่ใช้หุ้มmRNA เพื่อป้องกันไม่ให้สลายตัวก่อนฉีดเข้าไปในร่างกาย ที่วัคซีนแต่ละยี่ห้อใช้นั้นไม่เหมือนกัน ส่วนข้อสอง ซึ่งมีความสำคัญมาก คือ ปริมาณ mRNA ในวัคซีนที่ต่างกันซึ่งปริมาณที่เหมาะสมนี้ได้จากการศึกษาในอาสาสมัครที่พบว่ามีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี และไม่มีผลข้างเคียงมากเกินไป ก่อนนำมาศึกษาทางคลินิกเพื่อทดสอบประสิทธิภาพเทียบกับยาหลอก แล้วจึงนำมาใช้จริง
จากผลการศึกษาทางคลินิกเฟสสามวัคซีนชนิด mRNA ทั้งสองยี่ห้อมีประสิทธิภาพสูงเกิน 95% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดิมโดยผลการติดตามการใช้จริงในประเทศกาตาร์เมื่อต้นปี 2564 แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีนโมเดอร์น่าเข็มแรกต่อเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่าสูงถึง 88.1% และถ้าได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มจะได้สูงถึง 100% ในขณะที่ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อต่อเชื้อสายพันธุ์เบต้า สูงถึง 96.4% เมื่อได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม
การศึกษาเปรียบเทียบวัคซีนทั้งสองชนิดในรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนธันวาคม 2563 - กรกฎาคม 2564 โดยใช้อาสาสมัครกลุ่มละกว่า 25,000 คน ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวของการระบาดทั้งสายพันธุ์อัลฟ่าและเดลต้า พบว่าจำนวนอาสาสมัครที่ติดเชื้อภายหลังได้รับวัคซีนโมเดอร์น่ามีน้อยกว่าวัคซีนไฟเซอร์เกือบ 2 เท่า (38:72 คนตามลำดับ) โดยในเดือนสุดท้ายของการศึกษาพบว่าประสิทธิผลในการป้องกันอาการหนักต้องเข้ารพ. ยังดีมาก โดยวัคซีนโมเดอร์น่ายังคงมีประสิทธิผลที่81% (ลดลงจาก 91.6%) ขณะที่วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิผลที่ 75% (ลดลงจาก 85%)
ด้านผลข้างเคียงของวัคซีนmRNA มี 2 เรื่องหลัก เรื่องแรก คือ การแพ้รุนแรง ซึ่งวัคซีนทั้งสองยี่ห้อมีอุบัติการณ์ใกล้เคียงกัน คือ พบในอัตราประมาณ 1 ต่อ 300,000 คน
ส่วนเรื่องที่สอง คือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รายงานจากบริษัทโมเดอร์น่าระบุว่า ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์น่า มีโอกาสที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มากกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ โดยอ้างอิงข้อมูลจากประเทศฝรั่งเศสในชายวัย 12-29 ปี โดยข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พบผู้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 13.3 รายจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนโมเดอร์น่าทั้งหมด 100,000 ราย เมื่อเทียบอุบัติการณ์2.7 ต่อ 100,000 รายในผู้ที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับผลดีในการป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว การฉีดวัคซีนถือได้ว่ามีประโยชน์มากกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการไม่ฉีดวัคซีนและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ รวมถึงองค์การอนามัยโลกยังคงเน้นย้ำว่า วัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับมือกับโรคโควิด-19 และเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ศ.นพ.มานพ เจาะลึกวัคซีน mRNA ความหวังป้องกัน "โอไมครอน" - Tnews - ทีนิวส์
Read More
Monday, December 20, 2021
กทม. เจอคลัสเตอร์ร้านอาหาร ติด 19 ราย พบปิดทึบ-อากาศไม่ไหลเวียน แม้ทำตามมาตรฐาน - ข่าวสด
กทม. เจอคลัสเตอร์ร้านอาหาร ติด 19 ราย พบปิดทึบ-อากาศไม่ไหลเวียน แม้จำกัดผู้รับบริการ-ทำตามมาตรฐาน แจงไม่สวมหน้ากาก อ้างฉีดวัคซีนครบไม่ได้
วันที่ 20 ธ.ค.64 พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผอ.สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค เป็นตัวแทน ศบค.แถลงสถานการณ์โควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,525 ราย สะสม 2,194,053 ราย หายป่วย 4,190 ราย สะสม 2,132,548 ราย เสียชีวิต 31 ราย สะสม 21,408 ราย กำลังรักษา 40,097 ราย อยู่ใน รพ. 19,729 ราย และรพ.สนามและอื่นๆ 20,368 ราย มีอาการหนัก 899 ราย ใส่เครื่อช่วยหายใจ 246 ราย มีทิศทางลดลง ทำให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้น แต่เชื้อโควิดไม่รุนแรง บางคนไม่มีอาการ การเตรียมพร้อมจัดการเรื่องเตียงจึงสำคัญให้แต่ละจังหวัดเตรียมพร้อมกระตุ้นระบบกักตัวที่บ้านและชุมชนให้เพิ่มขึ้น
ผู้เสียชีวิต 31 ราย เป็นชาย 17 ราย หญิง 14 ราย ค่ากลางอายุ 71 ปี โดย 81% เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป นับระยะเวลาตั้งแต่ทราบติดเชื้อจนถึงเสียชีวิต ครึ่งหนึ่งเสียชีวิตก่อน 10 วัน ผู้เสียชีวิต 58% ไม่ได้รับวัคซีนที่เหลือรับเพียงเข็มเดียว เสียชีวิตมากที่สุด คือ เชียงใหม่และตาก จังหวัดละ 4 ราย
4 จังหวัด ติดเชื้อเกินร้อย
สำหรับจังหวัดที่ติดเชื้อเกิน 100 ราย มี 4 จังหวัด โดย 10 อันดับติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ 1.กทม. 408 ราย 2.นครศรีธรรมราช 175 ราย 3.สมุทรปราการ 136 ราย 4.ชลบุรี 128 ราย 5.สงขลา 88 ราย 6.เชียงใหม่ 78 ราย 7.สุราษฎร์ธานี 75 ราย 8.กระบี่ 70 ราย 9.พัทลุง 67 ราย และ 10.ตรัง 58 ราย
ทั้งนี้ 4 จังหวัดติดเชื้อเกิน 100 ราย คลัสเตอร์อยู่ในชุมชนเป็นหลัก มีการรายงานขึ้นๆ ลงๆ ขอให้เคร่งครัดมาตรการ ส่วนจังหวัดรายงานเป็น 0 มี 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร อุทัยธานี และอำนาจเจริญ
กทม.พบคลัสเตอร์ร้านอาหาร
กทม. รายงานสถานการณ์ของคลัสเตอร์ที่มีการระบาด มีในร้านอาหารเขตบางกอกน้อย พบติดเชื้อ 19 ราย เมื่อสอบสวนพบว่า เป็นร้านที่อากาศไหลเวียนไม่สะดวก มืดทึบ ให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เล่นวงดนตรีผลัดเปลี่ยนวันละ 2 วง มีการสำรวจพื้นที่ร้านอาหาร แม้จำกัดผู้รับบริการและทำตามมาตรฐาน ให้เจ้าหน้าที่ในร้านรับวัคซีนและสุ่มตรวจ ATK แล้วก็ยังมีการระบาดเป็นคลัสเตอร์ขึ้นมา
เพราะฉะนั้นมาตรการ COVID Free Setting ในร้านอาหารไม่ว่าประเภทไหน ศบค.ขอเน้นย้ำผู้ประกอบกิจการทำมาตรการ COVID Free Setting รักษาพื้นที่ไม่ให้ปิดทึบ มีจุดให้บริการแอลกอฮอล์ชัดเจน สุ่มตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ทั้งผู้ให้บริการ พนักงาน ผู้รับบริการ คนมาใช้บริการเองก็ขอให้เตรียมผลการฉีดวัคซีนไปแสดงด้ว เพื่อความปลอดภัยทั้ง 2 ฝ่าย
ถ้าร้านใดยังไม่พร้อมดำเนินมาตรการ กรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. มีสิทธิสั่งปิดแล้วไปดำเนินมาตรการจนกว่าจะพร้อม ซึ่งเราไม่อยากให้ร้านค้าเหล่านี้หยุดทำการ เพราะใกล้ปีใหม่มีวันหยุดยาว ขอความร่วมมือเข้มข้นทำตามมาตรการด้วย
“กรณีไม่สวมหน้ากากอ้างว่าฉีดวัคซีนครบแล้ว เรายังไม่ได้อนุญาตว่าฉีดวัคซีนครบแล้วไม่ให้สวมหน้ากาก เพราะการไม่สวมหน้ากากถือว่าผิดกฎหมาย โดนปรับได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาท มาตรการส่วนบุคคลจึงยังสำคัญ ไม่ว่าใช้บริการใดๆ ต้องเข้มเรื่องนี้ สวมหน้ากากตลอดเวลา อยู่ห่าง ล้างมือ กินอาหารปรุงสุก ไม่ไปพื้นที่แออัดสูง” พญ.สุมนีกล่าว
กทม. เจอคลัสเตอร์ร้านอาหาร ติด 19 ราย พบปิดทึบ-อากาศไม่ไหลเวียน แม้ทำตามมาตรฐาน - ข่าวสด
Read More
Saturday, December 18, 2021
ข่าวดี! 'หมอมนูญ' เผย 'ยาแพกซ์โลวิด'ของไฟเซอร์ สู้โควิด'โอไมครอน'ได้ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

วันเสาร์ ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2564, 19.12 น.
วันที่ 18 ธันวาคม 2564 นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ รพ.วิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” ระบุข้อความว่า กรณีศึกษาเปรียบเทียบโมโนโคลนอลแอนติบอดีกับยาฟาวิพิราเวียร์ในการรักษาโรคโควิด-19
ผู้ป่วยหญิงอายุ 89 ปีเป็นโรคความดันสูง เบาหวาน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาครบ 2 เข็ม มารพ.ด้วยไอ น้ำมูก ตาแดง 3 วัน ไม่มีไข้ ไม่ปวดหัว ไม่ปวดตัว จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส แยงจมูกตรวจรหัสพันธุกรรม RT-PCR พบไวรัสโควิด-19 ปริมาณมาก เอกซเรย์ปอดปกติ เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้อายุมาก มีโรคประจำตัวหลายโรค มีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสโควิดจะลงปอด จึงตัดสินใจให้ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี REGEN-COV (Casirivimab and Imdevimab) หยดทางเส้นเลือด 1 โดส และไม่ให้ฟาวิพิราเวียร์ หลังได้รับแอนติบอดี ผู้ป่วยสบายดีตลอด อาการดีขึ้น ติดตามเอกซเรย์ปอดปกติ
ในขณะที่ลูกชายอายุ 55 ปี อยู่บ้านเดียวกันและใกล้ชิดกับมารดา ไม่มีโรคประจำตัว ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาครบ 2 เข็ม ไม่มีอาการ ไม่มีไข้ ไม่ไอ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส แยงจมูกตรวจรหัสพันธุกรรม RT-PCR พบไวรัสโควิด-19 ปริมาณเชื้อมากพอๆกับมารดา เอกซเรย์ปอดปกติ ได้ให้ยาฟาวิพิราเรียร์ (favipiravir) กิน 5 วัน หลังหยุดยา เริ่มมีไอแห้งๆ ไม่มีไข้ ไม่เหนื่อย เอกซเรย์ปอดซ้ำ มีปอดอักเสบที่ปอดด้านขวาล่างและซ้ายล่าง (ดูรูป) ติดตามอาการดีขึ้น ในที่สุดหายเป็นปกติใน 3 สัปดาห์
ข้อมูลข้างบนแสดงให้เห็นว่า:
1.ฉีดวัคซีน AZ ครบ 2 โดสไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ แต่ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
2.ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดีมีประสิทธิภาพ สามารถลดการติดเชื้อในปอดมากถึง 80 % และยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ช่วยป้องกันปอดติดเชื้อ เนื่องจากยาโมโนโคลนอลแอนติบอดีมีราคาแพงจึงต้องเลือกให้กับคนที่มีความเสี่ยงสูง ไม่อาจให้กับทุกคน และต้องให้เร็วภายใน 5 วันหลังตรวจพบว่าติดเชื้อ ในอนาคตอันใกล้เรากำลังจะมียาใหม่แพ็กซ์โลวิด (PAXLOVID) ของบริษัทไฟเซอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงพอๆกับโมโนโคลนอลแอนติบอดี แต่ราคาถูกกว่า และสะดวกกว่าให้รับประทานนาน 5 วัน
3.ข้อมูลล่าสุดพบว่าประสิทธิภาพของโมโนโคลนอลแอนติบอดีชนิดฉีด REGEN-COV ที่มีในประเทศไทยต่อเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนลดลงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า บริษัทยากำลังเร่งผลิต REGEN-COV รุ่นใหม่ โมโนโคลนอลแอนติบอดีตัวใหม่ Sotrovimab มีประสิทธิภาพดีในการต่อต้านโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ข่าวดียาแพ็กซ์โลวิดมีประสิทธิภาพต่อเชื้อไวรัสโควิดทุกสายพันธุ์รวมทั้งสายพันธุ์โอมิครอน
ข่าวดี! 'หมอมนูญ' เผย 'ยาแพกซ์โลวิด'ของไฟเซอร์ สู้โควิด'โอไมครอน'ได้ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Read More
Thursday, December 16, 2021
โควิดสงขลาสังเวย5ชีวิต ติดเชื้อใหม่ยังสูง105ราย - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
วันพฤหัสบดี ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2564, 14.37 น.
โควิดสงขลา ”ดุ” คร่าชีวิตเพิ่ม 5 ราย สะสม 289 ราย แต่พบติดเชื้อรายใหม่ 105 ราย วัคซีนเข็ม 3 ยังน้อยนิดแค่ 7 % หวั่น “โอไมครอน”มาระบาดแทน ”เดลต้า”หลังเปิดประเทศปีใหม่
16 ธ.ค.64 กลุ่มภารกิจสื่อสารความเสี่ยง สสจ.สงขลา รายงานผลตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชนพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 105 ราย ผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 รวมยอดสะสม 65,675 ราย ที่น่าตกใจมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย รวมสะสม 289 ราย ยังอยู่ในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รีบวัคซีน ยังนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 2,600 กว่าราย
พื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ลงตรวจคัดกรอง 16 อำเภอด้วยชุดตรวจ ATK พบผู้ติดเชื้อติดอันดับต้นๆของ จ.สงขลา อ.เมือง สิงหนคร รัตภูมิ หาดใหญ่ และอยู่ในกลุ่มสัมผัสผู้ป่วยยืนยันในพื้นที่มากที่สุด รองลงมากลุ่มจากคลินิกตรวจคัดกรองโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน
“ยังมีการรณรงค์การฉีดวัคซีนสะสมเข็ม 1 ในทุกกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 75.05 และเข็ม 2 สะสมร้อยละ 69.05 แต่ฉีดวัคซีนสะสมเข็ม 3 ยังน้อยคือเพียงร้อยละ 7.22 ของกลุ่มเป้าหมาย 1.48 ล้านรายเท่านั้น”
- 009

โควิดสงขลาสังเวย5ชีวิต ติดเชื้อใหม่ยังสูง105ราย - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Read More
หมอยง ชี้ โอมิครอน แพร่กระจายเร็ว ในไม่ช้า ทุกประเทศคงหนีไม่พ้น - Bright Today

หมอยง ชี้ โอมิครอน แพร่กระจายเร็ว ติดต่อง่าย ในไม่ช้า ทุกประเทศคงหนีไม่พ้น แนะรีบฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้เร็วที่สุดมากที่สุดเพื่อรับมือ
วันนี้ (16 ธ.ค.) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan ระบุว่าโควิด 19 โอมิครอน สายพันธุ์ที่ติดต่อง่ายแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า โควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน มีการระบาด และติดต่อกันง่ายกว่าทุกสายพันธุ์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่กระจายได้ง่าย และพบเป็นสายพันธุ์หลัก ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
โอมิครอน แพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้า เห็นได้จาก การกระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และคงจะเข้ามาแทนที่ สายพันธุ์เดลต้าในที่สุด
จากข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ที่มีการเผยแพร่บนฐานข้อมูลสาธารณะ GISAID ขณะนี้ มีร่วม 7,000 ตัว และส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ BA1 มีจำนวนที่เพิ่มตัวเร็วมาก
สายพันธุ์เดลต้าที่แพร่กระจายได้น้อยกว่า โอมิครอน ยังระบาดไปทั่วโลก และยึดครองพื้นที่อยู่หลายเดือน สายพันธุ์ โอมิครอน ระบาดได้เร็วกว่า จึงคาดว่าทุกประเทศคงหนีไม่พ้น การระบาดด้วยสายพันธุ์ โอมิครอน ในไม่ช้านี้
การเตรียมรับมือกับสายพันธุ์ โอมิครอน ขณะนี้ด้วยวิธีการที่เคร่งครัด และระเบียบวินัยใน ตามมาตรฐานที่เราทำกันอยู่ ล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย กำหนดระยะห่าง รวมทั้ง การฉีดวัคซีน และกระตุ้น เข็ม 3 ให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุดเพื่อเตรียม และลดการระบาดของ โอมิครอน
หมอยง ชี้ โอมิครอน แพร่กระจายเร็ว ในไม่ช้า ทุกประเทศคงหนีไม่พ้น - Bright Today
Read More
สงขลาโควิดคร่าชีวิต 5 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 105 ราย ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ยังอืด 7.22% - สยามรัฐ

วันที่ 16 ธ.ค.64 กลุ่มภารกิจสื่อสารความเสี่ยง สสจ.สงขลา รายงานผลตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชนพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 105 ราย ผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 รวมยอดสะสม 65,675 ราย ที่น่าตกใจมีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย รวมสะสม 289 ราย ยังอยู่ในกลุ่มผู้ที่ยยังไม่ได้รีบวัคซีน ยังนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 2,600 กว่าราย
พื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ลงตรวจคัดกรอง 16 อำเภอด้วยชุดตรวจ ATK พบผู้ติดเชื้อติดอันดับต้นๆของ จ.สงขลา อ.เมือง สิงหนคร รัตภูมิ หาดใหญ่ และอยู่ในกลุ่มสัมผัสผู้ป่วยยืนยันในพื้นที่มากที่สุด รองลงมากลุ่มจากคลินิกตรวจคัดกรองโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน
“ยังมีการรณรงค์การฉีดวัคซีนสะสมเข็ม 1 ในทุกกลุ่มเป้าหมายร้อยละ 75.05 และเข็ม 2 สะสมร้อยละ 69.05 แต่ฉีดวัคซีนสะสมเข็ม 3 ยังน้อยคือเพียงร้อยละ 7.22 ของกลุ่มเป้าหมาย 1.48 ล้านรายเท่านั้น”
สงขลาโควิดคร่าชีวิต 5 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 105 ราย ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ยังอืด 7.22% - สยามรัฐ
Read More
Wednesday, December 15, 2021
WHO ห่วง 'โอไมครอน' ระบาดหนักทั่วโลกผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลอีกครั้ง - TNN24

องค์การอนามัยโลกเตือน ‘โอไมครอน’น่าจะระบาดในเกือบทุกประเทศทั่วโลกแล้ว หวั่นผู้ป่วยกลับมาล้นโรงพาบาลอีกครั้ง หากเตรียมการรับมือไม่ดี
วันนี้ ( 15 ธ.ค. 64 )องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เตือนว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “โอไมครอน” ที่สามารถกลายพันธุ์ได้หลายครั้ง อาจจะระบาดเข้าเกือบทุกประเทศทั่วโลกแล้วในขณะนี้ โดยมีการยืนยันพบการระบาดอยู่ใน 77 ประเทศ แต่เทดรอส เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการ WHO กล่าวว่า บางทีอาจยังมีอีกหลายประเทศที่ยังตรวจไม่พบ และโอไมครอนกำลังแพร่ระบาดในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดร.เทดรอส กล่าวว่า เขามีความวิตกกังวลว่า โอไมครอน ถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง แน่นอนว่า ขณะนี้ เราทราบว่า เราประเมินอันตรายของไวรัสสายพันธุ์นี้ต่ำไป แม้ว่าโอไมครอนไม่ได้ทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรง แต่จำนวนผู้ติดเชื้อ อาจล้นระบบสาธารณสุขที่ไม่ได้เตรียมการรับมืออีก
ไวรัสสายพันธุ์ โอไมครอน พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ในเดือนพฤศจิกายน และตั้งแต่นั้นมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อในแอฟริกาใต้ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก แม้แต่ตัวประธานาธิบดีไซริล รามาโฟซา ของแอฟริกาใต้ ก็ติดเชื้อไวรัสโควิด และปัจจุบันอยู่ระหว่างกักตัว มีอาการเล็กน้อย
หลายประเทศประกาศคำสั่งห้ามเดินทางส่งผลกระทบต่อแอฟริกาใต้และประเทศเพื่อนบ้าน หลังการปรากฏขึ้นของโอไมครอน แต่ก็ยังล้มเหลวที่จะหยุดยั้งไม่ให้ระบาดไปทั่วโลก
ดร.เทดรอส กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า โอไมครอน กำลังระบาดในอัตราที่เราไม่เคยเห็นจากโควิดสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ และกล่าวเพิ่มเติมว่า มีหลักฐานมากขึ้นที่บ่งชี้ว่า ประสิทธิผลของวัคซีนต่อโควิดกลายพันธุ์ลดลงเล็กน้อยในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิต รวมทั้งมีประสิทธิผลลดลงในการป้องกันการติดเชื้อและอาการป่วยเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ขณะที่ ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉินของ WHO กล่าวในวันอังคารว่า การฉีดวัคซีนโควิดให้กับกลุ่มที่ไม่มีภูมิคุ้มกันทั่วโลก ควรจะยังเป็นความสำคัญอันดับแรก ๆ ก่อนการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิเข็ม 3 ให้กับกลุ่มที่มีความเปราะบาง
ท่าทีขององค์การอนามัยโลก มีขึ้นหลังจากการศึกษาที่เก็บข้อมูลในโลกแห่งความเป็นจริงเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจัดทำโดย South African Medical Research Council and Discovery Health หน่วยงานด้านประกันสุขภาพของแอฟริกาใต้ ที่เปิดเผยเมื่ออังคาร ระบุว่า วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค ชนิด 2 โดส มีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันการติดเชื้อโควิดในแอฟริกา แต่ยังให้ปกป้องภาวะอาการป่วยหนักจากโควิดได้
การศึกษาล่าสุดจากแอฟริกาใต้ ชี้ว่า วัคซีนโควิด แบบ 2 โดสของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค มีระดับการป้องกันการติดเชื้อที่ร้อยละ 33 แต่ป้องกันการป่วยหนักได้ร้อยละ 70 และถึงแม้ว่ามีโอกาสที่ผู้ป่วยโควิดจะกลับมาติดเชื้อซ้ำภายใต้สถานการณ์การระบาดที่เป็นอยู่ แต่อัตราการเจ็บป่วยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของผู้ติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่ ต่ำกว่าช่วงการระบาดครั้งก่อน ๆ ที่ระดับร้อยละ 29
การศึกษาล่าสุดนี้ เก็บข้อมูลจากผู้ติดเชื้อโควิดราว 211,000 รายในแอฟริกาใต้ ช่วง 15 พฤศจิกายน ถึง 7 ธันวาคม ซึ่งราว 78,000 รายในนั้นเชื่อว่าเป็นผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนในแอฟริกาใต้
ในเรื่องนี้ ดร.ไมค์ ไรอัน กล่าวยืนยันว่า วัคซีนไม่ได้ล้มเหลวและยังให้การปกป้องผู้รับวัคซีนในระดับหนึ่ง และว่าการศึกษาดังกล่าวชี้ว่าวัคซีนให้การป้องกันอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนได้ พร้อมกันนี้ ยังประเมินว่าต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าที่โควิดโอไมครอนจะเอาชนะโควิดกลายพันธุ์เดลตา ขึ้นมาเป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ รัฐบาลทั่วโลกจำเป็นต้องมุ่งเน้นอีกครั้งด้วยมาตรการปกป้องพื้นฐาน เช่นสวมหน้ากากอนามัย และเตรียมพร้อมโรงพยาบาลในการรับมือ
ส่วนประเด็นการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ ผู้อำนวยการใหญ่อนามัยโลก ย้ำว่าวัคซีนกระตุ้นภูมิจะมีบทบาทสำคัญในการลดการระบาดของโควิด และกลุ่มเสี่ยงสูงควรที่จะได้รับวัคซีนก่อน ขณะที่ยังไม่มีการศึกษาวิจัยมากพอถึงประสิทธิภาพของวัคซีนบูสเตอร์ในขณะนี้
ภาพจาก : รอยเตอร์
WHO ห่วง 'โอไมครอน' ระบาดหนักทั่วโลกผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลอีกครั้ง - TNN24
Read More
ศบค. ห่วงคลัสเตอร์ตลาด-ร้านอาหารพุ่งช่วงหยุดยาวปีใหม่ กำชับเฝ้าระวัง : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์

พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ยังคงพบคลัสเตอร์ต่างๆ พบในโรงงานและสถานประกอบการ ที่ปราจีนบุรี ระยอง ขอนแก่น ในตลาด จันทบุรี สระแก้ว ลพบุรี ในค่ายทหารที่ ประจวบคีรีขันธ์ ในงานศพ ที่นราธิวาส และขอนแก่น ในร้านอาหารที่ กรุงเทพมหานคร และสุราษฏร์ธานี
ทั้งนี้ ทางศบค.มีความห่วงใยว่า อาจจะเกิดพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นในช่วงเทศกาลหยุดยาว และมีกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง คือ ในตลาดและร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านหมูกระทะ ที่อาจมีปัจจัยเสี่ยงจากการทานในกระทะเดียวกันและใช้เวลานานสำหรับการรายงานโควิดสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน รวมทั่วโลก 70 ประเทศแล้ว และมีการแพร่กระจายรวดเร็วใน 3 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และนอร์เวย์ และมีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศจีน ซึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศส่วนในประเทศไทย จากการรายงานกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบผู้ติดเชื้อสายพันธ์โอมิครอนแล้ว 11 ราย โดย 3 ใน 11 อยู่ระหว่างการยืนยันการตรวจถอดรหัสพันธุกรรม ซึ่งเมื่อแยกจากสายพันธุ์โควิดในไทย เป็นสายพันธุ์เดลตา 99.58% สายพันธุ์โอมิครอน 0.23% สายพันธุ์อัลฟา 0.17% และไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ไหนก็ตาม สามารถป้องกันการติดเชื้อได้โดยมาตรการส่วนบุคคล และไม่ควรไปอยู่ในสถานที่แออัด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ธ.ค. 64)
Tags: กรมควบคุมโรค, ศบค., สุมนี วัชรสินธุ์, โควิด-19ศบค. ห่วงคลัสเตอร์ตลาด-ร้านอาหารพุ่งช่วงหยุดยาวปีใหม่ กำชับเฝ้าระวัง : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์
Read More
Tuesday, December 14, 2021
ตำรวจ ปคบ.จับกุมคลินิกเถื่อนตรวจโควิด-19 - โพสต์ทูเดย์
เมื่อวันที่ 14ธ.ค.64 พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและภญ.สุภัทรา บุญเสริม รักษาราชการ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาร่วมกันแถลงผลจับกุมคลินิกเถื่อนลักลอบให้บริการห้องแล็บตรวจคัดกรองโควิด 19 แก่ประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยผู้ให้บริการก็ไม่ใช่บุคลากรทางสาธารณสุข สืบเนื่องจากได้รับการประสานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานีว่า พบเบาะแสการเปิดคลินิกเถื่อนแห่งหนึ่งให้บริการในลักษณะห้องปฏิบัติการตรวจสารคัดหลั่งของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโควิด 19 (COVID 19) ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) และออกใบรับรองผลในนามคลินิกให้แก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งอาจจะมีการดำเนินการที่ไม่ได้มาตรฐานสุ่มเสี่ยงให้เกิดการระบาดของโรคโควิด 19 จึงได้ประสานมายังบก.ปคม. ทำการสืบสวน ก่อนนำกำลังไปตรวจสอบ
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การตรวจสารคัดหลั่งของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะต้องกระทำในคลินิก หรือห้องปฏิบัติการที่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มิฉะนั้นก็อาจจะเป็นการเสียเวลาและเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยการที่ผู้ให้บริการขาดความชำนาญหรืออุปกรณ์การตรวจ คัดกรองที่ไม่ได้มาตรฐานผลตรวจที่ได้ก็อาจจะขาดความเที่ยงตรง

อีกทั้งวิธีการที่ไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการระบาดจากสถานที่เก็บตัวอย่าง จึงขอให้ประชาชนตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลทุกครั้งก่อนรับบริการ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ขึ้นทะเบียนได้ที่เว็บไซต์กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ และในส่วนของห้องปฏิบัติการหรือห้องแล็บที่ตรวจคัดกรองด้วยวิธี RT-PCR สามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่เว็บไชต์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งจะมีการแสดงที่ตั้งของสถานพยาบาล หรือห้องปฏิบัติการเหล่านั้นอย่างชัดเจน
"หากตรวจสอบรายชื่อไม่พบ หรือสถานที่ตั้งไม่ตรงกับที่แสดงในเว็บไซต์ ขอให้ตั้งข้อสงสัยไว้เบื้องต้นว่าเป็นคลินิกเถื่อน หรือห้องแล็บเถือนให้หลีกเลี้ยงรับบริการ เบื้องต้นจึงแจ้งข้อหาฐานประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาต และประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป" นายแพทย์ธเรศ กล่าว
ตำรวจ ปคบ.จับกุมคลินิกเถื่อนตรวจโควิด-19 - โพสต์ทูเดย์
Read More
Sunday, December 12, 2021
ข่าวจริง! อาการไอเรื้อรัง สัญญาณเตือนโรคมะเร็งปอด - TNN24

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรณีที่มีการแชร์ว่า "อาการไอเรื้อรัง เป็นสัญญาณเตือนมะเร็งปอด" พบเป็นข้อมูลจริง!
วันนี้ (12 ธ.ค.64) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการโพสต์และแชร์ข้อความในสื่อต่างๆ ถึงประเด็นเรื่อง "อาการไอเรื้อรัง เป็นสัญญาณเตือนมะเร็งปอด"
ล่าสุด ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น "เป็นข้อมูลจริง"
จากข้อมูลทางวิชาการที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบพบว่า อาการไอเรื้อรังนั้น เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนมะเร็งปอดจริง โดยมะเร็งปอดเกิดจากการเจริญของเซลล์ในเนื้อเยื่อปอดมีการแพร่กระจายที่ควบคุมไม่ได้
โดยทั่วไปอาการของมะเร็งปอดมักปรากฏเมื่อเนื้อร้ายลุกลามไปมากแล้ว อาการที่พบบ่อยของโรคมะเร็งปอด เช่น ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด เหนื่อยหอบง่าย ปอดติดเชื้อบ่อย เป็นต้น
สำหรับสาเหตุของมะเร็งปอดมาจากหลายปัจจัย เช่น การสูบบุหรี่ การสูดดมควันบุหรี่มือสอง แร่ใยหิน ก๊าซเรดอน สารเคมีและมลภาวะทางอากาศ รวมถึงผู้ที่เคยมีรอยโรคที่ปอด เช่น วัณโรค โรคถุงลมโป่งพอง จะมีความเสี่ยงเกิดมะเร็งปอดสูงกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดังกล่าวเรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์
เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ข้อมูลจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย
ข่าวจริง! อาการไอเรื้อรัง สัญญาณเตือนโรคมะเร็งปอด - TNN24
Read More
"ซิโนแวค" เข็ม 3 มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเว้นหลายเดือนจากเข็ม 2 - กรุงเทพธุรกิจ

ผลวิจัยล่าสุดชี้ "ซิโนแวค" เข็ม 3 หรือเข็มกระตุ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 มากขึ้น หากเว้นห่างหลายเดือนจากเข็ม 2
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ The Lancet ระบุว่า การเว้นระยะเวลาที่นานขึ้นระหว่างการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทซิโนแวคเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นนั้น จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่าการเว้นระยะเวลาที่สั้นลง
บรรดานักวิจัยจากบริษัทซิโนแวค ไบโอเทค, มหาวิทยาลัยฟูตันในนครเซี่ยงไฮ้ และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระดับภูมิภาคหลายแห่ง ระบุว่า ประชาชนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 (บูสเตอร์) หลังจากที่ได้รับเข็ม 2 ไปแล้วเป็นเวลา 8 เดือนนั้น มีระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับประชาชนที่ได้รับวัคซีนเข็มบูสเตอร์ภายใน 2 เดือนหลังจากที่ได้รับเข็มที่ 2
ขณะที่ผลวิจัยพบว่า หลังจากการฉีดวัคซีนโคโรนาแวค (CoronaVac) ครบ 2 โดสแล้วเป็นเวลา 6 เดือนนั้น ประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโควิด-19 ได้ลดลงอย่างมากนั้น การฉีดวัคซีนโดสที่ 3 หลังจากฉีดโดส 2 แล้วเป็นเวลา 8 เดือนนั้น ได้ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างมาก
การวิจัยดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้เร่งฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้กับประชาชน เนื่องจากมีการตรวจพบไวรัสโอมิครอน ซึ่งเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่สามารถแพร่เชื้อได้มากขึ้น
ในบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ได้ร่นระยะห่างระหว่างการฉีดเข็ม 2 กับเข็ม 3 ลงเหลือเพียง 3 เดือนนั้น ผลการวิจัยกลับระบุว่า การเร่งฉีดวัคซีนโดส 3 อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับวัคซีนเชื้อตายอย่างของซิโนแวค
ส่วนนายอูกูร์ ซาฮิน ซีอีโอของบริษัทไบออนเทค (BioNTech) ซึ่งผลิตวัคซีน mRNA ก็สนับสนุนกลยุทธ์การร่นระยะห่างของการฉีดวัคซีนเข็มสองกับเข็มบูสเตอร์
ถึงแม้ว่าวัคซีนซิโนแวคยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 แต่กลับมีความสามารถน้อยกว่าในการป้องกันการติดเชื้อและการเกิดโรคที่แสดงอาการที่เกิดจากสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์เดลตา เมื่อเทียบกับวัคซีนชนิด mRNA
ปัจจุบัน มีการใช้วัคซีนของซิโนแวคกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดทั่วโลก โดยมีการส่งมอบไปยังประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่แล้วราว 2,300 ล้านโดส และซิโนแวคกำลังทำการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน
ดร.หวัง หัวชิง หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน กล่าวในการบรรยายสรุปเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า มีประชาชนได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วราว 38 ล้านคนทั่วประเทศจีน
ส่วนฮ่องกงได้เริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมาให้กับกลุ่มเสี่ยงสูงซึ่งได้รับวัคซีนของซิโนแวค โดยผลการวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมายังบ่งชี้ด้วยว่า ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นได้รับภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในระดับที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มประชาชนที่มีอายุ 18-59 ปี
"ซิโนแวค" เข็ม 3 มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเว้นหลายเดือนจากเข็ม 2 - กรุงเทพธุรกิจ
Read More
Friday, December 10, 2021
มะเร็งรู้เร็วรักษาได้ - NEW18
ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติเผยร้อยละ 40 ของมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิต สามารถรักษาหายได้ถ้ารู้เร็ว เผย 7 สัญญาณเตือนการเกิดโรค
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. นพ.สกานต์ บุนนาค ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวในพิธิเปิดกิจกรรม 10 ธ.ค. วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติว่า วันที่ 10 ธ.ค. ของทุกปี เป็นวันเป็นวันสถาปนาสถาบันมะเร็งแห่งชาติและวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทยตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่าร้อยละ 40 ของมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตนั้น เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาหายได้ถ้ารู้เร็ว
ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน มีมะเร็งหลายอวัยวะที่สามารถรักษาให้หายได้ถ้ารู้เร็ว ซึ่งจากสถิติจะเห็นว่าร้อยละ 40 ของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาหายได้ ดังนั้น จุดสำคัญอยู่ที่เราจะทำอย่างไรให้ประชาชนรู้เร็ว และสามารถเข้าสู่การรักษาได้เร็ว เราก็จะรักษาชีวิตคนไข้ได้ถึง 40 เปอร์เซนต์ของจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่อาจเสียชีวิตได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ประชาชนตระหนักรู้ว่าอะไรคือความเสี่ยง อะไรคืออาการเริ่มแรกที่ควรจะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรอง ดังนั้น การรณรงค์ให้ประชาชนมีความตระหนัก มีความรู้เรื่องของปัจจัยเสี่ยง เรื่องของอาการแรกเริ่ม และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองได้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าการตั้งรับเพื่อรอให้การรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำไป โดยสัญญาณเตือนการเกิดโรค 7 ประการ ได้แก่ ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง เป็นแผลเรื้อรัง ร่างกายมีก้อนตุ่ม กลืนกินอาหารลำบาก ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล ไฝหูดเปลี่ยนไป ไอและเสียงแหบเรื้อรัง จะช่วยให้รู้ตัวและสามารถพบแพทย์ได้เร็วส่งผลให้การรักษาได้ผลดี ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลอาการเสี่ยงเบื้องต้นด้วยตนเอง ได้จากเว็บไซต์ allaboutcancer.nci.go.th และสามารถศึกษาข้อมูลได้จาก e-book “รู้สู้มะเร็ง” และ “12 สารก่อมะเร็งที่พบในชีวิตประจำวัน” ได้จาก QR code นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผักและผลไม้ให้ได้ปริมาณครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร การรู้ปัจจัยเสี่ยง รู้วิธีหลีกเลี่ยงโรคมะเร็ง ด้วยการลดการรับประทานเนื้อสัตว์สีแดงในปริมาณที่มากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และงดอาหารที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง รวมทั้งความตระหนักที่จะสร้างเสริมสุขภาพตนเองและใส่ใจการคัดกรองโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญควรมั่นใจว่า “โรคมะเร็ง รู้เร็ว รักษาทัน ป้องกันได้"
มะเร็งรู้เร็วรักษาได้ - NEW18
Read More
หมอยง เผยข้อมูลวัคซีนเข็ม 3 หลังฉีดวัคซีนเชื้อตาย แนะกระตุ้นด้วย mRNA - ไทยรัฐ

หมอยง เปิดข้อมูลการกระตุ้นเข็ม 3 ตามหลังวัคซีนเชื้อตาย เผยวัคซีนเชื้อตายเป็นตัวเริ่มต้นที่ดี แต่เป็นตัวกระตุ้นที่ไม่ดี แนะกระตุ้นด้วยวัคซีน virus vector หรือ mRNA
วันที่ 10 ธ.ค. 64 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก "Yong Poovorawan" เกี่ยวกับโควิด-19 วัคซีนการกระตุ้นเข็ม 3
โดยระบุว่า การกระตุ้นเข็ม 3 ตามหลังวัคซีนเชื้อตาย ได้รับการตีพิมพ์แล้วในวารสารที่เก่าแก่ และยอมรับทั่วโลก "VACCINE" เป็นการกระตุ้นด้วย AstraZeneca ได้ผลดี ดังรายละเอียดอ่านได้จากวารสาร
ส่วนการศึกษา การกระตุ้นเข็ม 3 ตามหลังวัคซีนเชื้อตาย ด้วยวัคซีนชนิดต่างกัน ได้แก่ กระตุ้นด้วยวัคซีนเชื้อตาย (Sinopharm) ไวรัส Vector (AstraZeneca) หรือ mRNA (Pfizer) ที่ระยะเวลา 3 เดือนหลังเข็ม ที่ 2 ได้ส่งไปในวารสารแล้ว พร้อมกับเผยแพร่ใน MedRxiv จะเห็นว่าทั้ง 3 วัคซีนที่ใช้กระตุ้น สามารถกระตุ้นภูมิต้านทานขึ้นได้ ในระดับที่แตกต่างกัน
ถ้าวัดภูมิต้านทานต่อ Spike โปรตีน การกระตุ้นด้วย mRNA จะได้ภูมิต้านทานสูงสุด รองลงมาคือ virus Vector แล้วตามด้วยเชื้อตาย
วัคซีนเชื้อตายมีส่วนของไวรัสทั้งตัวจึงมี nucleocapsid จึงตรวจพบภูมิต้านทานต่อ nucleocapsid
การตรวจวัดซีรั่ม IgA การตอบสนองสูงใน mRNA และไวรัส Vector มากกว่าวัคซีนเชื้อตาย ตามที่เคยกล่าวมาแล้ว วัคซีนเชื้อตายเป็นตัวเริ่มต้นที่ดี แต่เป็นตัวกระตุ้นที่ไม่ดี ในการกระตุ้น ควรใช้วัคซีน virus vector หรือ mRNA.
หมอยง เผยข้อมูลวัคซีนเข็ม 3 หลังฉีดวัคซีนเชื้อตาย แนะกระตุ้นด้วย mRNA - ไทยรัฐ
Read More
ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus
การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...
-
4.ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ อบจ.สมุทรปราการ เปิดวอล์คอินให้บริการฉีดวัคซีนโมเดอร์นา เข็ม 1, 2, 3 และ 4 ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 เม.ย.65 ณ...
-
กรมราชทัณฑ์ โดยศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) เปิดเผยสถานการณ์โควิด-19 ในเรือนจำแล...
-
กังวลหนักใจหนักมาก นี่..มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือไม่..? หลังไปฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้นชนิด mRNA ซึ่งกรณีคนไข้รายนี้ แพทย์ผู้เชี...