Rechercher dans ce blog

Monday, May 30, 2022

โควิดชลบุรีดับ1 ติดเชื้อ 79 ไร้ผู้ป่วยใส่ท่อ-ปอดอักเสบ - สยามรัฐ

วันที่ 30 พ.ค.65 สสจ.ชลบุรี มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันรายใหม่ RT-PCR เพียง 79 ราย ผู้เข้าข่ายติดเชื้อโควิด-19 ATK 784 ราย เสียชีวิต 1 ราย ไม่มีผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจและปอดอักเสบ โดยมี อ.บางละมุง ติดเชื้อสูงสุด 23 ราย ประชากรในจังหวัดชลบุรี ฉีดวัคซีนเข็ม 1 แล้ว 89.50% ฉีดวัคซีนเข็ม 3 แล้ว 44.39%  โดยมี ผู้เสียชีวิตรายใหม่ 1 ราย อายุ 53 ปี จากโรคประจำตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และที่สำคัญไม่พบประวัติการรับวัคซีน รวมเสียชีวิตสะสมระลอกใหม่ จำนวน 322 ราย

Adblock test (Why?)


โควิดชลบุรีดับ1 ติดเชื้อ 79 ไร้ผู้ป่วยใส่ท่อ-ปอดอักเสบ - สยามรัฐ
Read More

Thursday, May 26, 2022

Wednesday, May 25, 2022

สธ.เตือนระวังติดโควิดกลุ่ม น.ร. หลังพบคลัสเตอร์เปิดเทอม ชี้อัตราครองเตียง ป่วยหนักลด - มติชน

[unable to retrieve full-text content]

  1. สธ.เตือนระวังติดโควิดกลุ่ม น.ร. หลังพบคลัสเตอร์เปิดเทอม ชี้อัตราครองเตียง ป่วยหนักลด  มติชน
  2. หมอย้ำวัคซีน 2 เข็มไม่พอ ปรับคำแนะนำสวมหน้ากาก เริ่มพื้นที่มีความพร้อมก่อน  ไทยรัฐ
  3. เผยมากกว่า 6 ล้านคน ยังไม่ฉีดเข็ม 3 วอนมาฉีด หากอยากเปิดประเทศ ใช้ชีวิตปกติ - ข่าวสด  ข่าวสด
  4. สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข  สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
  5. หากอยากเปิดประเทศปลอดภัย กลับมาใช้ชีวิตปกติ ต้องฉีดวัคซีนเข็มสามเกิน 60% พบป้องกันป่วยหนัก-ดับ 93%  ผู้จัดการออนไลน์
  6. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

สธ.เตือนระวังติดโควิดกลุ่ม น.ร. หลังพบคลัสเตอร์เปิดเทอม ชี้อัตราครองเตียง ป่วยหนักลด - มติชน
Read More

Tuesday, May 24, 2022

สธ.สั่งเพิ่มด่านคัดกรองโรคฝีดาษลิงในสนามบิน เข้มคนมาจาก 17 ประเทศกลุ่มเสี่ยง - ข่าวสด - ข่าวสด

รมช.สธ.วอนปชช.อย่าตื่นโรคฝีดาษลิง สั่งเพิ่มด่านคัดกรองในสนามบิน เข้มคนมาจาก 17 ประเทศกลุ่มเสี่ยง จ่อถกสสจ.ประสานคลินิกผิวหนัง-กามโรค

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

เมื่อวันที่ 24 พ.ค.65 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) การระบาดของโรคฝีดาษลิง ที่กำลังระบาดในต่างประเทศว่า ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข โดยไม่ตื่นตระหนก

ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งคณะกรรมการพนักงานปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง ซึ่งเป็นระดับกรมที่มี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงค์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และมีรองอธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นที่ปรึกษา

รวมถึงมีหน่วยคัดกรอง ฝ่ายติดตาม และฝ่ายกำหนดแผน ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะพยายามติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคดังกล่าว ทั้งในต่างประเทศและในประเทศ โดยเรากำลังติดตามและพยายามคัดกรองบุคคลที่มาจากประเทศเสี่ยง 17 ประเทศ ซึ่งแต่ละสนามบินมีด่านคัดกรองของกรมควบคุมโรค ที่กำลังทำหน้าที่ตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้นมากขึ้น

รมช.สธ. กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันทางกระทรวงจะประชุมแจ้งเตือนและกำชับสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศให้ไปทำความเข้าใจ และติดตามข้อมูลจากคลินิกโรคผิวหนังและคลินิกกามโรคภายใประเทศว่า พบโรคนี้เข้ามาบ้างแล้วหรือไม่

นอกจากนี้ อาจต้องพิจารณาว่าควรปรับนิยามของโรคนี้ให้ไปอยู่ในนิยามของคำว่าโรคติดต่อร้ายแรงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าสถานการณ์ในประเทศขนาดนี้ยังไม่มีอะไรที่น่าตื่นตกใจ และยังไม่พบการระบาดของโรคดังกล่าวภายในประเทศไทย แต่ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลคำชี้แจงของกรมควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด

รวมถึงสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนการฉีดวัคซีนของประชาชนที่เกี่ยวกับโรคฝีดาษนั้น ที่จริงเป็นการปลูกฝีที่มีขึ้นในช่วงปี 2523 ซึ่งผู้ที่เกิดจากหลังจากปีดังกล่าวจะไม่ได้รับการปลูกฝีประเภทนี้ โดยการปลูกฝีไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่ช่วยป้องกันอาการรุนแรงของโรคได้ 80 เปอร์เซ็นต์

เมื่อถามว่า ประชาชนจะสามารถสังเกตอาการตัวเองได้อย่างไร นายสาธิต กล่าวว่า ตามคำแนะนำของกรมการแพทย์ ระบุให้สังเกตว่ามีอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีตุ่มฝีภายใน 1 สัปดาห์หรือไม่ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจทำให้แยกแยะจากอาการของโรคอื่นได้ยาก จึงอาจทำให้ต้องคอยฟังคำเตือนจากกรมควบคุมโรคและคณะกรรมการพนักงานปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินฯด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นจะต้องรื้อฟื้นการปลูกฝีดาษขึ้นมาหรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า ต้องติดตามแผนงานว่าในการระบาดของโรคฝีดาษลิงในแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการผลิตวัคซีนตอนนี้มีหลายบริษัทที่ผลิต

ขณะเดียวกันเราก็ต้องดูว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ในการลงทุนเรื่องการปลูกฝีให้กับผู้ที่เกิดหลังปี 2523 เมื่อเทียบกับสถิติการระบาด ทั้งนี้ การระบาดของโรคดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย เหมือนกับโรคโควิด-19 ถึงยังจำเป็นที่ต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าว

Adblock test (Why?)


สธ.สั่งเพิ่มด่านคัดกรองโรคฝีดาษลิงในสนามบิน เข้มคนมาจาก 17 ประเทศกลุ่มเสี่ยง - ข่าวสด - ข่าวสด
Read More

Monday, May 23, 2022

หมู่บ้านใกล้ฝูงลิง กังวลโรคฝีดาษ วอนขอความช่วยเหลือแก้ปัญหาถูกรังควานยาวนาน (มีคลิป) - มติชน

หมู่บ้านใกล้ฝูงลิง กังวลโรคฝีดาษ วอนขอความช่วยเหลือแก้ปัญหารังควานยาวนาน

วันที่ 23 พฤษภาคม โรคฝีดาษลิงที่พบการระบาดในต่างประเทศ ขณะที่ประเทศไทยยังไม่พบนั้น เริ่มสร้างความกังวลใจให้กับชาวบ้านที่อาศัยใกล้ริมเขาโดยเฉพาะในชุมชนซอยม้าขาว ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 60 ครัวเรือน 500 คน ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับลิงแสมนับร้อยตัวในบริเวณนี้

ทั้งถูกแย่งชิงอาหาร รื้อค้นทำลายทรัพย์สินบ้านเรือน และทำร้ายด้วยการกัดบ้าง ข่วนบ้างทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ประสบปัญหาพอกัน ไม่น้อยกว่า 10 คน เป็นปัญหาที่หมักหมมและยังไม่พบการจริงใจในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง และยิ่งมาพบการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงอีก ยิ่งสร้างความกังวลว่าพวกตนจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรนับจากนี้

น.ส.พจนีย์ อิตกี ประธานชุมชนม้าขาว กล่าวว่า ชาวบ้านต้องเฝ้าระวังกันเองทั้งทรัพย์สินและบ้านเรือน รวมทั้งเด็กๆ ไม่ให้ถูกลิงกัด หรือข่วน เฉพาะปีที่ผ่านมาพบว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถูกลิงกัดไม่น้อยกว่า 10 คน นับวันพบว่าประชากรลิงจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งพบว่ามีข่าวโรคฝีดาษลิง ก็มีความกังวลว่าป้องกันอย่างไร จึงวอนให้หน่วยงานเกี่ยวข้องแจ้งเตือนให้ความรู้ด้วย

น.ส.ลัดดา อิตรกี รองประธานชุมชนม้าขาว กล่าวว่า ลิงหลายร้อยตัวที่อยู่ในบริเวณชุมชนนี้หากหลุดเข้าบ้านใคร บ้านนั้นก็จะถูกรื้อค้นกระจุยกระจายไปหมด ทางการก็มาบอกเพียงว่าต้องอยู่กับลิงให้ได้เพราะเรามาแย่งลิงอยู่อาศัยเอง

นางกัญญา อิตรกี กรรมการชุมชนม้าขาว กล่าวว่า อย่าว่าแต่โรคระบาดฝีดาษลิงเลยชาวบ้านเองก็ยังไม่เห็นการแก้ปัญหา ลิงทำลายทรัพย์สิน ปัญหาประชากรลิงที่เพิ่มขึ้นเลย อยากให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องจริงใจ ตั้งใจ ในการแก้ปัญหาเรื่องลิงอย่างจริงจังเสียที ไม่ใช่มีใครมากระตุ้นทีก็ทำสักที แล้วก็หยุดไป โรคระบาดฝีดาษลิงก็กำลังจะเข้ามาอีกชาวบ้านก็ต้องอยู่กันแบบกังวลอยู่แบบนี้

ทั้งนี้ ด้านกลุ่มงานควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล แนะนำประชาชน ไม่ให้ไปสัมผัสใกล้ชิดกับลิงป่า ไม่ดักจับลิง หลังจากมีข่าวพบผู้ป่วยฝีดาษลิงในต่างประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการเฝ้าระวังผู้เดินทางมาจากประเทศที่พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง

ได้ประสานงานไปยังพื้นที่ด่านพรมแดนวังประจัน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอ คอยตรวจตราเข้มกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ทำหนังสือขอผ่านด่านชายแดน หากเป็นผู้เดินทางจากกลุ่มประเทศเสี่ยงเฝ้าระวัง เน้นย้ำมาตรการเข้มป้องกัน โรคฝีดาษลิง และรายงานทางจังหวัดสตูลเป็นการด่วน

นายวิเชียร ตันติอาภรณ์ นายกเทศมนตรีเมืองสตูล ยอมรับว่า ปัญหาลิงที่สร้างความรำคาญและก่อกวนชาวบ้านนั้น ทางเทศบาลอยู่ระหว่างการประสานกับปศุสัตว์ในการที่จะฉีดวัคซีนในลิง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงาน สถานที่มีความพร้อมในการที่จะฉีดวัคซีนและทำหมัน ขาดแต่เพียงบุคลากรที่เชียวชาญ ซึ่งจะต้องรอทางทีมสัตวแพทย์ซึ่งก็ไม่ได้นิ่งเฉยเมื่อรู้ว่าพี่น้องประชาชนเดือดร้อนจะได้มีการทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน

Adblock test (Why?)


หมู่บ้านใกล้ฝูงลิง กังวลโรคฝีดาษ วอนขอความช่วยเหลือแก้ปัญหาถูกรังควานยาวนาน (มีคลิป) - มติชน
Read More

"หมอแล็บฯ" เผยโอกาสติด "โรคฝีดาษลิง" คุมการระบาดได้ด้วยวัคซีนไข้ทรพิษ - ไทยรัฐ

หมอแล็บแพนด้า เผยข้อมูลโรค "ฝีดาษลิง" คนติดจากการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ เปิดอาการเบื้องต้น ย้ำยังไม่มีการรักษา แต่คุมการระบาดได้ ด้วยการฉีดวัคซีนโรคไข้ทรพิษ

จากกรณี โรค "ฝีดาษลิง" ซึ่งขณะนี้พบว่ามีผู้ติดเชื้อแล้วในแถบยุโรป ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ "หมอแล็บแพนด้า" ได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง (Monkeypox) ไว้ดังนี้ "ฝีดาษลิง" เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน และเริ่มมีติดจากคนสู่คนได้

ที่จริงโรคนี้พบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก แต่ตอนนี้มันเริ่มระบาดเพราะการเดินทางไปทั่วโลกเดี๋ยวนี้มันง่าย

องค์การอนามัยโลกได้ออกมาบอกรายละเอียดการติดเชื้อ 3 อย่างหลักๆ ที่เจอในตอนนี้ก็คือ

1. ผู้ติดเชื้อทุกคนไม่มีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่ที่เป็นจุดที่มีแพร่ระบาดของฝีดาษลิง (ถึงจะเดินทางไปประเทศในแอฟริกา แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก)

2. ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีกิจกรรมทางเพศ และเป็นกลุ่มชายรักชาย

3. พื้นที่ที่พบการติดเชื้อ คือในยุโรป และเชื่อว่าน่าจะมีการแพร่เชื้อมาสักระยะนึงแล้ว
"โรคฝีดาษลิง" เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus พบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์มีใช้ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า คนก็สามารถติดโรคได้

ซึ่งคนสามารถติดโรคจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน กาทำอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่ค่อยสุก หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย

การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่ตอนนี้เกิดขึ้นแล้วจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่ง จากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ พอเข้าสู่ร้างกายมันจะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน

อาการเริ่มแรกจะมีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ โดยอาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก ซึ่งในประเทศแอฟริกาพบอัตราการเสียชีวิต 10%

สำหรับการป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ป่า
2. หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ
3. หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ หรือเดินทางเข้าไปในป่า
4. ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยง หรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการคัดกรองโรค
5. กรณีมีการเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที และทำการแยกกักตัว

ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงโดยตรง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้ ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ 85%.

ที่มาจาก เฟซบุ๊กเพจ หมอแล็บแพนด้า

Adblock test (Why?)


"หมอแล็บฯ" เผยโอกาสติด "โรคฝีดาษลิง" คุมการระบาดได้ด้วยวัคซีนไข้ทรพิษ - ไทยรัฐ
Read More

Sunday, May 22, 2022

จส. 100 - จส. 100


          หลังจากที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานสถานการณ์ระบาดของโรคฝีดาษลิง (monkeypox) ยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อ จำนวน 92 คน สงสัย 28 คน ใน 12 ประเทศ ระหว่าง 13-21 พ.ค. 65 ได้แก่ ออสเตรเลีย, เบลเยียม, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส, สเปน สวีเดน, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ  


         นพ.สก็อตต์ ก็อตต์ลีบ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เปิดเผยในรายการ "Squawk Box" ของสำนักข่าว CNBC ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯและยุโรป ชี้ว่า ไวรัสดังกล่าวได้แพร่กระจายไปทั่วชุมชนต่างๆเป็นวงกว้างแล้ว คาดว่า การแพร่ระบาดอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับโรคโควิด-19


          โรคฝีดาษลิงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่พบได้ยาก ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นขึ้นตามร่างกายและใบหน้า โดยฝีดาษลิงแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับแผลของผู้ติดเชื้อและมีระยะฟักตัวนาน 21 วันขึ้นไป นั่นหมายความว่าหลายคนอาจกำลังมีไวรัสฟักตัวอยู่ เนื่องจากผู้ติดเชื้อมักไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือวินิจฉัยผิดพลาด


          โรคฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้งในไนจีเรียเมื่อปี 2560 และได้แพร่ระบาดในหลายประเทศในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องแจ้งเตือนแพทย์และประชาชนเกี่ยวกับไวรัสดังกล่าว


          นพ.ก็อตต์ลีบ กล่าวว่า มีผู้ติดเชื้อหลายรายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกัน ชี้ว่า มีการแพร่ระบาดในชุมชนเป็นวงกว้างแล้ว ตัวเลขจริงอาจมีมากกว่าที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขพบอยู่มาก เนื่องจากไวรัสมีระยะฟักตัวนาน และแพทย์ยังไม่ทราบวิธีตรวจพบโรคดังกล่าว


           เดลี่เมล รายงาน เบลเยียม กลายเป็นประเทศแรกที่ออกมาตรการบังคับให้ผู้ที่ผลตรวจยืนยันติดเชื้อฝีดาษลิงที่กำลังระบาดในหลายประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศในทวีปยุโรป โดยกระทรวงสาธารณสุขเบลเยียมได้ออกคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและผลออกมายืนยันว่าติดเชื้อฝีดาษลิงจะต้องกักตัวเป็นเวลา 21 วัน หรือ 3 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสฝีดาษลิงแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น


 


#ฝีดาษลิง


แฟ้มภาพ 


 

Adblock test (Why?)


จส. 100 - จส. 100
Read More

พบเชื้อ "ไข้มาลาเรีย" สายพันธุ์ "โนวไซ" แพร่จากลิงสู่คนแล้ว 11 ราย ที่จ.ตราด - SpringNews

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• กรมควบคุมโรค เตือน ไข้มาลาเรียสายพันธุ์ “โนวไซ” ระบาด หลังพบติดเชื้อ 70 ราย

• หมอธีระวัฒน์ เผย 7 ความแปลก "ฝีดาษลิง" ในยุคปลายโควิด แนะเฝ้าติดตามใกล้ชิด

• เช็กอาการ "โรคฝีดาษลิง" โรคจากสัตว์สู่คน พร้อมวิธีป้องกัน

 โดยระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 31 มีนาคม 2565 พบผู้ป่วยไข้มาลาเรียจากเชื้อชนิดนี้แล้ว 70 ราย ซึ่งจังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ระนอง สงขลา และตราด ดังนั้นผู้ที่พักอาศัย ทำงานในป่าหรือใกล้แนวป่า หากมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่น เหงื่อออกมาก ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเจาะเลือดตรวจหาเชื้อมาลาเรีย และเร่งให้การรักษา หากช้าอาจมีอาการแทรกซ้อนร้ายแรงและเสียชีวิตได้

  ขณะที่ นายสังเวียน วัฒนชัย ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข เทศบาลตำบลน้ำเชี่ยว ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่ติดป่าชายเลน ต.น้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ และมีฝูงลิงแสมอาศัยอยู่ประมาณ 300 ตัว ได้แจ้งเตือนชาวบ้านผ่านหอกระจายเสียง และทำโครงการกำจัดยุงลาย ยุงก้นปล่องตัวแก่ ด้วยการฉีดพ่นหมอกควัน แม้จะยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อมาลาเรียจากลิงในตำบลน้ำเชี่ยวก็ตาม 

 ด้าน นส.จรัญ จันทร์จรูญ ชาวบ้านเกาะลอย ต.น้ำเชี่ยว อ.แหลมงอบ บอกว่า เฝ้าระวังด้วยการนอนกางมุ้ง จุดยากันยุง และทาโลชั่นกันยุง ช่วงค่ำทุกวัน

Adblock test (Why?)


พบเชื้อ "ไข้มาลาเรีย" สายพันธุ์ "โนวไซ" แพร่จากลิงสู่คนแล้ว 11 ราย ที่จ.ตราด - SpringNews
Read More

กรมควบคุมโรค ตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน "โรคฝีดาษลิง" - ช่อง8

กรมควบคุมโรค สธ. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข กรณีโรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เพื่อเฝ้าระวัง คัดกรองผู้เดินทางจากประเทศที่มีการระบาด ช่วยให้ตรวจจับกลุ่มเสี่ยงได้รวดเร็วขึ้น และป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศ หลังพบการแพร่ระบาดในหลายประเทศ และสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ย้ำ ขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อในไทย

วันที่ 22 พฤษภาคม 2565 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า จากรายงานข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก กรณีสหราชอาณาจักรพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงนั้น กรมควบคุมโรคในฐานะที่เป็นหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ป้องกันควบคุมโรค โดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่ และโรคอุบัติซ้ำ จึงได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรณีโรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์แนวโน้ม พร้อมทั้งคาดการณ์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อจัดทำแผนทั้งในระยะยาว ระยะกลาง ในการปรับปรุงกลยุทธ์ และมาตรการให้เหมาะสม

โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงการณ์ยืนยันว่า พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงแล้วประมาณ 80 ราย และมีผู้ป่วยสงสัยเป็นฝีดาษลิงอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 50 ราย ใน 11 ประเทศที่ไม่ใช่แหล่งระบาดของโรคฝีดาษลิง และมีแนวโน้มที่จะพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในอีกหลายประเทศ โดยผู้ป่วยรายแรกที่พบในการระบาดครั้งนี้เป็นผู้ป่วย ในประเทศสหราชอาณาจักรอังกฤษ ที่มีประวัติเดินทางไปยังประเทศไนจีเรียช่วงปลายเดือนเมษายน ด้วยเหตุนี้ ทางประเทศสหราชอาณาจักรอังกฤษจึงเริ่มดำเนินการเฝ้าระวัง และค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม ซึ่งในขณะนี้ พบผู้ป่วยกว่า 100 รายแล้ว จาก 15 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักรอังกฤษ สเปน โปรตุเกส อิตาลี เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย อิสราเอล เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และกรีซ

ด้านนายแพทย์โอภาสกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยยังไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง อย่างไรก็ตามในระยะนี้ เป็นช่วงที่เริ่มเปิดให้มีการเดินทางเข้าประเทศได้มากขึ้น และเป็นช่วงเตรียมการเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นของโรคโควิด 19 ดังนั้น อาจมีความเสี่ยงจากผู้เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด ได้แก่ สหราชอาณาจักรอังกฤษ สเปน โปรตุเกส อิตาลี เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน สหรัฐอเมริกา แคนาดาและออสเตรเลีย หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศในทวีปแอฟริกากลาง และแอฟริกาตะวันตกได้ ทั้งในช่องทางการเข้า-ออกระหว่างประเทศ หรือผู้ที่เดินทางจากประเทศดังกล่าวไปในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ จากข้อมูลกองด่านควบคุมโรคติดต่อ ระหว่างประเทศ และกักกันโรค กรมควบคุมโรค ได้รายงานว่า จำนวนผู้เดินทางที่ลงทะเบียนจากประเทศเสี่ยงสูง ได้แก่ สหราชอาณาจักร สเปน โปรตุเกส โดยระหว่างวันที่ 1-22 พ.ค.65 นี้ มีผู้เดินทางจากสหราชอาณาจักร จำนวน 13,142 คน จากสเปน 1,352 คน และโปรตุเกส 268 คน

กรมควบคุมโรคได้มีการยกระดับเพื่อเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางจากประเทศเสี่ยงเหล่านี้ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และหากต้องเดินทางไปยังประเทศที่พบผู้ป่วยฝีดาษลิง ควรระมัดระวัง ดังนี้

1) หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์พาหะ ได้แก่ สัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก และสัตว์ตระกูลไพรเมต เช่น ลิง ถึงแม้ว่ายังไม่มีรายงานพบเชื้อในสัตว์เหล่านี้ในประเทศไทยก็ตาม หากมีการสัมผัสสัตว์ให้รีบล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด และหลังจากเดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคฝีดาษลิง ให้สังเกตอาการ หากพบมีความผิดปกติ เช่น มีไข้ มีตุ่มผื่นที่ใบหน้า แขน และขา ให้รีบพบแพทย์ทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง

2) ปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention (UP) โดยการหมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ แยกของใช้ส่วนตัวทุกชนิดไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก กินอาหารปรุงสุก เป็นต้น

3) หลีกเลี่ยงการสัมผัส สารคัดหลั่ง บาดแผล เลือดน้ำเหลืองของสัตว์ หรือกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อที่ปรุงไม่สุก และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย ละอองฝอย หรือน้ำเหลืองจากผู้ที่สงสัยป่วยหรือมีประวัติเสี่ยง ทั้งนี้ การแพร่เชื้อจากคนสู่คน แม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่ง จากทางเดินหายใจ หรือผิวหนังที่เป็นตุ่ม

ซึ่งทางกรมควบคุมโรคจะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบเป็นระยะ หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02 5903839 หรือ 1422

Adblock test (Why?)


กรมควบคุมโรค ตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน "โรคฝีดาษลิง" - ช่อง8
Read More

"หมอโอภาส" เตือนจับตา "ฝีดาษวานร" ระบาดจากคนไปคน พบผู้ป่วย 120 รายใน 11 ประเทศ - ผู้จัดการออนไลน์



ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ ภาควิชาอายุรศาสตร์ เตือนจับตาเป็นพิเศษ "ฝีดาษวานร" พบผู้ป่วยแล้ว 120 รายใน 11 ประเทศ และพบมีระบาดในกลุ่มชายรักชาย โดยการติดต่อมักจะเกิดขึ้นจากคนที่มีอาการ คนไข้จะไม่แพร่เชื้อหลังจากที่ผื่นหายดี

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. เฟซบุ๊ก "Opass Putcharoen" หรือ ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โพสต์ข้อความระบุว่า "จับตาเป็นพิเศษ ผู้ป่วยฝีดาษวานร" ผู้ป่วยฝีดาษวานร (Monkeypox) ระบาดจากคนไปยังคน กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายๆ ประเทศ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ 120 รายใน 11 ประเทศ แต่ยังอยู่ในยุโรปและอเมริกา มีระบาดเป็น cluster รายงานในกลุ่มชายรักชายแต่ยังไม่ทราบความสัมพันธ์แน่ชัด คาดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ sexual network ส่วนหนึ่งของคนไข้ที่อังกฤษไปรับการวินิจฉัยที่คลินิกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคนี้ติดต่อผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่งที่มีไวรัส และอาจจะติดผ่านทาง droplet ได้บ้าง ระยะฟักตัว 12 วัน

ส่วนอาการช่วงแรก ไม่จำเพาะอาจจะแยกไม่ได้จากไข้สาเหตุอื่นๆ แต่จะมีต่อมน้ำเหลืองโต และมีผื่นแดงกระจายที่ใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ผื่นกลายเป็นตุ่มน้ำและผื่นมักจะเจ็บ บางรายอาจมีแผลที่อวัยวะเพศ คล้ายๆ กับเริมหรือแผลซิฟิลิส

โดย การติดต่อมักจะเกิดขึ้นจากคนที่มีอาการ คนไข้จะไม่แพร่เชื้อหลังจากที่ผื่นหายดี ซึ่งใช่เวลาหลายสัปดาห์

การแยกโรค ขณะนี้ CDC อเมริกาแนะนำให้แยกในห้องความดันลบและใส่ PPE เวลาเข้าไปดูแลคนไข้ คงต้องเฝ้าระวังการระบาดที่อาจจะนำเข้ามาในเมืองไทยจากการเดินทาง แต่โรคนี้ไม่ได้ติดง่ายเหมือนโควิด-19 คนที่เป็นก็มักจะมีผื่นให้เห็น อัตราเสียชีวิตต่ำ แพทย์อาจจะต้องสงสัยในกรณีที่คนไข้มีไข้และมีผื่นแปลกๆ"

Adblock test (Why?)


"หมอโอภาส" เตือนจับตา "ฝีดาษวานร" ระบาดจากคนไปคน พบผู้ป่วย 120 รายใน 11 ประเทศ - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

ผู้ป่วยบัตรทอง "โรคความดันโลหิตสูง" รับบริการผู้ป่วยนอกมากที่สุด - NEW18

สปสช.เปิด 10 อันดับโรค ผู้ใช้สิทธิบัตรทอง "โรคความดันโลหิตสูง" เข้ารับบริการผู้ป่วยนอกมากที่สุด 25.47 ล้านครั้ง จากทั้งหมด 161.71 ล้านครั้ง 

เมื่อวันที่ 22 พ.ค.65  พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง” สปสช.ได้แยกงบประมาณบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่จำเป็น โดยในส่วนของงบเหมาจ่ายรายหัว ปีงบประมาณ 2564 จัดสรรที่จำนวน 177.20 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 3,719.23 บาทต่อคน ในจำนวนนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบริการทางการแพทย์ทั้งบริการผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยกำหนดเป็นงบบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 1,280.01 บาทต่อคน และงบบริการผู้ป่วยในจำนวน 1,440.03 บาทต่อคน สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทอง 47.64 ล้านคน รายงานผลการดำเนินงานสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2564 พบว่าการรับบริการผู้ป่วยนอกจาก 111.95 ล้านครั้งในปีงบประมาณ 2546 เพิ่มเป็น 161.71 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ยจาก 2.45 เพิ่มเป็น 3.437 ครั้งต่อคนต่อปี ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในจาก 4.30 ล้านครั้ง ในปีงบประมาณ 2546 เพิ่มเป็น 5.75 ล้านครั้ง คิดเป็นอัตราเฉลี่ยจาก 0.094 เป็น 0.122 ครั้งต่อคนต่อปี


พญ.ลลิตยา กล่าวต่อว่า จากข้อมูลการรับบริการดังกล่าว พบว่าในจำนวนการรับบริการผู้ป่วยนอก 161.71 ล้านครั้ง โรคหรือกลุ่มโรคที่เข้ารับบริการมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ โรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งมีการรับบริการสูงสุดจำนวน 25.47 ล้านครั้ง รองลงมาก ได้แก่ โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินจำนวน 13.84 ล้านครั้ง ความผิดปกติของเมตะบอลิซึมของไลโปโปรตีนและภาวะไขมันในเลือดอื่นหรือไขมันในเลือดผิดปกติจำนวน 11.24 ล้านครั้ง โรคไตวายเรื้อรังจำนวน 5.47 ล้านครั้ง เยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลันหรือโรคหวัดจำนวน 5.13 ล้านครั้ง ความผิดปกติแบบอื่นของเนื้อเยื่ออ่อน ปวดกล้ามเนื้อจำนวน 4.16 ล้านครั้ง โรคกระเพาะอาหารจำนวน 3.21 ล้านครั้ง ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและกระดูกอื่นจำนวน 2.73 ล้านครั้ง โรคฟันผุจำนวน 2.72 ล้านครั้ง และเวียนศีรษะ วิงเวียน จำนวน 2.20 ล้านครั้ง


ส่วนการรับบริการผู้ป่วยในจำนวน 5.75 ล้านครั้ง โรคหรือกลุ่มโรคที่เข้ารักษาโดยนอนในโรงพยาบาลระบบบัตรทองสูงสุด 10 อันดับแรก คือ ภาวะต้องการมาตรการป้องกันโรคโดยการแยกกักตัวและรักษาโรคติดเชื้อโควิด-19 (Need for other prophylactic measures) มีการรับบริการมากที่สุดจำนวน 2.68 แสนครั้ง รองลงมา ได้แก่ ปอดบวมที่เกิดจากเชื้อไวรัสจำนวน 2.28 แสนครั้ง ทารกปกติที่คลอดในโรงพยาบาล (Liveborn infants according to place of birth) จำนวน 2.25 แสนครั้ง กระเพาะอาหารกับลำไส้อักเสบและลำไส้ใหญ่อักเสบจากการติดเชื้อ และจากสาเหตุที่ไม่ระบุ จำนวน 1.92 แสนครั้ง โรคปอดบวมไม่ระบุเชื้อต้นเหตุ จำนวน 1.45 แสนครั้ง โรคไตวายเรื้อรัง 1.21 แสนครั้ง มารดาคลอดธรรมชาติ (ครรภ์เดี่ยว) จำนวน 1.08 แสนครั้ง ภาวะหัวใจล้มเหลว จำนวน 1.08 แสนครั้ง โรคธาลัสซีเมีย จำนวน 1.03 แสนครั้ง และการผ่าตัดต้อกระจกในผู้สูงอายุ จำนวน 9.76 หมื่นครั้ง


พญ.ลลิตยา กล่าวอีกว่า จากข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่เข้ารับบริการเท่านั้น ซึ่งกองทุนบัตรทองได้ดูแลให้ประชาชนผู้มีสิทธิทั่วประเทศเข้าถึงการรักษาได้ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วยและครอบครัว แม้แต่ในภาวะสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยโรคต่างๆ เหล่านี้ยังคงได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันข้อมูลที่ปรากฏนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสาธารณสุขของประเทศ ในการใช้เป็นฐานข้อมูลที่นำไปสู่การวางแผนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเหล่านี้ มุ่งลดจำนวนผู้ป่วยเพื่อให้ประชากรไทยมีสุขภาพที่ดี และลดภาระค่ารักษาพยาบาลของประเทศในอนาคตต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง

Adblock test (Why?)


ผู้ป่วยบัตรทอง "โรคความดันโลหิตสูง" รับบริการผู้ป่วยนอกมากที่สุด - NEW18
Read More

Saturday, May 21, 2022

สัญญาณอันตราย! หมอมนูญ เตือนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A ส่อกลับมาระบาดหนัก - เอ็มเอสเอ็น

© สนับสนุนโดย เดลินิวส์

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC" ระบุว่า "สัญญาณเตือนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กำลังกลับมาระบาดใหม่ หลังจากว่างเว้นไปมากกว่า 2 ปี ทำให้ภูมิคุ้มกันของคนไทยส่วนใหญ่ต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ลดลงตามเวลา เนื่องจากไม่ได้รับเชื้อตามธรรมชาติและคนจำนวนมากไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี ขอให้คนกลุ่มเสี่ยง คนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว เด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ รีบไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยเร็ว

© สนับสนุนโดย เดลินิวส์

คนที่มีอาการสงสัยโรคโควิด มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ต่อไปนี้ต้องตรวจหาทั้งไวรัสโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่พร้อมกัน บางคนอาจติดเชื้อไวรัส 2 เชื้อในเวลาเดียวกัน ถ้าตรวจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่ รีบให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ทันที ผู้ป่วยหญิงอายุ 75 ปีมีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มาพบแพทย์วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ด้วยไข้ 1 วัน ไอ มีเสมหะ เจ็บคอบ้าง ไม่มีน้ำมูก มึนหัว คลื่นไส้ 4 วัน อยู่บ้านเดียวกับหลานอายุ 7 ,9 ,10 ขวบ หลานทั้ง 3 คนทยอยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม

ตรวจร่างกาย ไม่มีไข้ ระดับออกซิเจนปกติ เอกซเรย์ปกติ ตรวจล้วงจมูกส่งตรวจแบบให้ผลเร็ว พบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ตรวจ ATK สำหรับโควิด-19 ให้ผลลบวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ Baloxavir กิน 2 เม็ดทันที เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 มีอีก 1 ครอบครัวติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เหมือนกัน"

ขอบคุณ ข้อมูล - ภาพ เพจ "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC"

Adblock test (Why?)


สัญญาณอันตราย! หมอมนูญ เตือนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A ส่อกลับมาระบาดหนัก - เอ็มเอสเอ็น
Read More

ทำความเข้าใจ “ฝีดาษลิง” โรคระบาดในอดีตหวนคืน | TNN ข่าวดึก | 21 พ.ค. 65 - TNN Online

Adblock test (Why?)


ทำความเข้าใจ “ฝีดาษลิง” โรคระบาดในอดีตหวนคืน | TNN ข่าวดึก | 21 พ.ค. 65 - TNN Online
Read More

ต่อมน้ำเหลืองโต นี่..มะเร็ง หรือไม่ ? แพทย์แจงคนไข้ หลังฉีดวัคซีน mRNA - MCOT Plc

กังวลหนักใจหนักมาก นี่..มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือไม่..? หลังไปฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้นชนิด mRNA ซึ่งกรณีคนไข้รายนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ออกมาชี้แจงสาเหตุแล้วว่า ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ บวมโตผิดปกติมากนั้น เกิดจากอะไร ? นอกจากนี้ Backbone MCOT มีคำแนะนำวิธีสังเกต อาการป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มาฝาก ย้ำ..ตรวจพบเร็ว รักษาหายขาด...

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC โดยระบุว่า

คนไข้กังวลมาก มาหาด้วย ต่อมน้ำเหลือง ที่คอโตทั้ง 2 ข้างหลัง ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเข็มกระตุ้น ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ เพราะอ่านข่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด โดยเฉพาะชนิด mRNA มีผลข้างเคียง อาจทำให้เกิด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ผู้ป่วยหญิงอายุ 45 ปี ปกติแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว ได้รับวัคซีน แอสตร้าเซเนก้า 2 เข็มแรก ฉีดเข็มกระตุ้น ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ เดือนมกราคม 2565 หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ก้อนที่คอเหนือกระดูกไหปลาร้า ค่อย ๆ โตขึ้น ...ข้างซ้ายโตกว่าข้างขวา ไม่เจ็บ, ไม่มีไข้, ไม่เบื่ออาหาร, น้ำหนักไม่ลด, ไม่ไอ, ไม่สูบบุหรี่, ไม่มีประวัติวัณโรคในครอบครัว มาพบแพทย์ วันที่ 30 เมษายน 2565

ตรวจร่างกายพบ ต่อมน้ำเหลือง ที่เหนือกระดูกไหปลาร้า supraclavicular โตผิดปกติ ข้างซ้ายโตกว่าข้างขวา 4 เท่า (ดูรูปเฉพาะข้างขวา) เอกซเรย์ปอดปกติ ได้ทำการผ่าตัด ด้วยการฉีดยาชา ตัดชิ้นเนื้อ จากต่อมน้ำเหลือง ที่คอข้างซ้าย ผลพยาธิวิทยาของชิ้นเนื้อ เข้าได้กับ วัณโรคของต่อมน้ำเหลือง ย้อมเชื้อพบ เชื้อวัณโรค เริ่มให้ยารักษาวัณโรค ผู้ป่วยไม่แพ้ยา

สรุป : ผู้ป่วยรายนี้ เป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง ไม่ได้เกิดจากการฉีดวัคซีน

คนไทยอย่าไปเชื่อ ข่าวปลอม การฉีดวัคซีนป้องกัน โรคโควิด-19 โดยเฉพาะชนิด mRNA กระตุ้นให้เกิด ระดับภูมิคุ้มกันสูงเกินไป มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อย่างไรก็ตาม นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ได้โพสต์เตือนภัยเกี่ยวกับ วัณโรค เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2562 ว่า วัณโรค ยังไม่ได้หมดจากเมืองไทย ยังมีคนไทยทุกเพศ ทุกวัย เสียชีวิตจากโรคนี้ทุกวัน วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อ ที่เกิดจากเชื้อ มัยโคแบคทีเรีย M.tuberculosis ติดต่อทางการหายใจ เมื่อผู้ป่วยวัณโรคไอ หรือจาม เชื้อวัณโรค จะลอยออกมาในอากาศ เชื้อวัณโรคมีขนาดเล็กมาก เหมือนฝุ่น PM2.5 สามารถเข้าสู่ถุงลม ผ่านเข้าหลอดเลือด กระจายไปตามอวัยวะต่าง ๆ วัณโรคเป็นได้ทุกอวัยวะ ยกเว้นเส้นผมและเล็บ แต่ส่วนใหญ่ มักจะเป็นที่ปอด คนไทยป่วยเป็นวัณโรครายใหม่ ปีละ 1.2 แสนคน ตายจากวัณโรค ปีละ 14,000 คน

ทั้งนี้ ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2562 นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ได้โพสต์ถึงความร้ายกาจของวัณโรค ระบุว่า

วัณโรค เป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส ที่พบบ่อยที่สุด ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้ป่วยเอดส์บางคน ป่วยเป็นวัณโรค แต่ไม่แสดงอาการ เพราะมีภูมิต้านทานต่ำ หลังรับยาต้านไวรัส ภูมิต้านทานดีขึ้น จึงแสดงอาการของวัณโรค เรียกว่า Unmasking TB (หรือเปิดหน้ากากวัณโรค) เมื่อเริ่มยาต้านไวรัส ในผู้ป่วยเอดส์ ที่ภูมิต้านทานต่ำ ต้องคิดถึง และวินิจฉัยวัณโรคให้ได้ ถ้าผู้ป่วยเริ่มมีอาการ หลังทานยาต้านไวรัส

ผู้ป่วยชายไทย อายุ 35 ปี ทราบว่า ติดเชื้อเอชไอวีนาน 5 ปี แต่ไม่ได้พบแพทย์ แข็งแรงดี จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว (2561) เริ่มป่วย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด 10 กิโลกรัม มีไข้ เหนื่อย แต่ไม่ไอ ไปเข้าโรงพยาบาลใกล้บ้าน ทำเอกซเรย์ปอด มีเงาผิดปกติทั้ง 2 ข้าง เข้าได้กับการติดเชื้อรา PCP ในปอด ตรวจเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำมาก 27 cells/uL มีเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือด 447,000  copies/ml หลังจากรักษาเชื้อราในปอด ผู้ป่วยอาการดีขึ้น ขอย้ายมารักษาต่อ

ผู้ป่วยไม่มีไข้ ไม่เหนื่อย เอกซเรย์ปอดดีขึ้น หลังจากตรวจยีนดื้อยาเชื้อเอชไอวี ไม่พบการดื้อยา ได้เริ่มยาต้านไวรัส 3 ขนาน หลังให้ยาต้านไวรัส 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาการแย่ลง มีไข้ขึ้นอีก เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณคอ เหนือไหปลาร้าข้างขวาโตคลำได้ เอกซเรย์ปอดเห็นต่อมน้ำเหลือง ที่บริเวณด้านหน้าของช่องอก (mediastinum)โต (ดูรูป)

ทำคอมพิวเตอร์ปอด พบต่อมน้ำเหลืองขนาด 3.4 x 2.4 เซนติเมตร ที่บริเวณด้านหน้าของช่องอก (ดูรูป) ได้ใช้เข็มเจาะดูด ต่อมน้ำเหลืองเหนือไหปลาร้า ส่งย้อมเชื้อ และเพาะเชื้อ พบเชื้อวัณโรคไม่ดื้อยา ส่งพยาธิวิทยาของชิ้นเนื้อ พบการอักเสบ ไม่พบเนื้องอก ได้ให้ยารักษาวัณโรคนาน 9 เดือน และยาสเตียรอยด์นาน 1 เดือน ผู้ป่วยดีขึ้น ต่อมน้ำเหลือง ที่เหนือไหปลาร้าข้างขวา และต่อมน้ำเหลือง ด้านหน้าของช่องอกยุบหายไป (ดูรูป) ผู้ป่วยยังกินยา ต้านไวรัสเอชไอวีต่อเนื่อง แข็งแรงดี กลับไปทำงานได้ตามปกติ

ส่วนท่านใด ที่สงสัยและกังวลว่า ตนเองจะป่วยด้วยโรค มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือไม่นั้น ? ให้รีบพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยโรค ซึ่งหากตรวจพบเร็ว รักษาเร็ว สามารถหายขาดได้ โดยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา (11 ก.ค. 2561) นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึง เคสผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถรักษาให้หายขาด ด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งเปิดเผยว่า

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ในผู้ป่วยโรคเอดส์ สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยยาเคมีบำบัด

ผู้ป่วยชายไทย อายุ 69 ปี มาโรงพยาบาล เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ด้วยอาการปวดท้อง ด้านบนซ้าย จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลด 3 กิโลกรัม ภายในเวลา 3 เดือน วินิจฉัยว่า ลำไส้เล็กอุดตัน ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง พบก้อนเนื้อ ในลำไส้เล็กส่วนบน ต้องตัดลำไส้เล็กออก ประมาณ 10 เซนติเมตร ผลชิ้นเนื้อของก้อนในลำไส้เล็ก เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด Non-Hodgkin Lymphoma (NHL) โดยมะเร็งเริ่มต้นในลำไส้เล็ก แล้วกระจายเข้า ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง เจาะเลือด Anti-HIV ตรวจผลเป็นบวก ค่าเม็ดเลือดขาว CD4 ตำ่ เจาะไขกระดูก ตรวจไม่พบมะเร็ง กระจายเข้าไขกระดูก

สรุป ผู้ป่วยรายนี้ เป็นโรคเอดส์ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ในลำไส้เล็ก

ได้เริ่มยาต้านไวรัสเอชไอวี และได้ยาเคมีบำบัด ทั้งหมด 8 ครั้ง ติดตามผู้ป่วยรายนี้มา 15 ปี ผู้ป่วยแข็งแรงดี ทำงานได้ตามปกติ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไม่กลับมาอีก แสดงว่า หายขาดจากโรคมะเร็งแล้ว ผู้ป่วยยังต้องทาน ยาต้านไวรัสเอชไอวี ต่อเนื่องต่อไป จำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 เพิ่มมากขึ้น และจำนวนเชื้อไวรัสเอชไอวี ในเลือดต่ำกว่า 10 copies/ml

และสำหรับโรค มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มักพบส่วนใด ตรงไหนของคนเรา มีสาเหตุมาจากอะไร และผู้ป่วย จะมีอาการอย่างไร ? Backbone MCOT มีบทความจาก อาจารย์แพทย์ ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลเรื่องนี้ ผ่านเว็บไซต์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มาแนะนำ ดังนี้

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคร้ายใกล้ตัวที่ไม่อาจมองข้าม

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นอีกหนึ่งโรคร้าย ที่อยู่ใกล้ตัวเรา เมื่อพบเจอสิ่งผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ โรคที่มีเนื้องอกร้ายชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลือง หรือโครงสร้างต่อม ซึ่งระบบน้ำเหลือง ก็เป็นระบบหนึ่งของภูมิคุ้มกัน ประกอบไปด้วย อวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ม้าม และไขกระดูก ซึ่งภายในอวัยวะเหล่านี้ จะเต็มไปด้วยน้ำเหลือง มีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกาย และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้ เกิดความผิดปกติ จึงทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้นมา

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถเกิดได้ในทุกที่

เพราะต่อมน้ำเหลือง มีอยู่ทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น คอ, รักแร้, ข้อพับแขน, ข้อพับขา, ช่องอก หรือช่องท้อง แต่ยังไงก็ตาม เซลล์น้ำเหลือง ก็ยังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ หรือกระเพาะ จึงสามารถเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้หมดทุกที่

สาเหตุที่ทำให้เกิด โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการคาดการณ์เบื้องต้น พบว่า มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

+ ปัจจัยทางเคมี วัตถุทางเคมีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สารเคมีปราบศัตรูพืช น้ำยาย้อมผม เป็นต้น

+ ปัจจัยทางภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีสมรรถภาพภูมิคุ้มกันโรคลดลง เช่น โรคเอดส์ การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น

+ ปัจจัยทางพันธุกรรม การเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้น มีความชัดเจน ที่เกิดมาจาก กรรมพันธุ์ทางครอบครัว เช่น พี่น้อง อาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตามลำดับ หรือเป็นพร้อมกัน

สาเหตุจากไวรัส การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัส HIV เป็นต้น

ปัจจุบัน มีการตรวจวินิจฉัยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากวิวัฒนาการทางการแพทย์ ที่ดีขึ้นมาก ส่งผลทำให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น เนื่องจากการรักษาที่ดีขึ้น สำหรับวัยที่ตรวจพบ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถพบได้ในกลุ่มวัยรุ่น อายุตั้งแต่ 20 ปีถึง 40 ปี ทั้งนี้ ก็ยังมีการตรวจพบ ในผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป

ในส่วนของอาการ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ ?

จะพบก้อน ที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คอ, รักแร้, ขาหนีบ โดยก้อนเหล่านั้น จะไม่มีอาการเจ็บ ต่างจากการติดเชื้อ ที่จะมีอาการเจ็บที่ก้อนเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น, มีเหงื่อออกมากในกลางคืน, เบื่ออาหาร, น้ำหนักลดเร็ว, อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ, ไอเรื้อรัง, หายใจไม่สะดวก, ต่อมทอนซิลโต, ปวดศีรษะ ซึ่งอาการนี้ มักพบบริเวณต่อมน้ำเหลือง ในระบบประสาท แต่บางครั้ง การคลำเจอก้อน ก็อาจไม่ใช่ก้อนมะเร็งเสมอไป เพราะอาจเป็นเรื่องของ การอักเสบจากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นตัวโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง

โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สามารถรักษาให้หายเด็ดขาดได้ ถ้าไม่ได้อยู่ในระยะแพร่กระจาย จึงควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากคลำเจอก้อน เวลาอาบน้ำ ก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อการรักษาได้อย่างทันท่วงที

สำหรับระยะของ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่

+ ระยะที่ 1 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพียงตำแหน่งเดียว เช่น บริเวณลำคอด้านซ้าย หรือบริเวณรักแร้ด้านขวา บริเวณใดบริเวณหนึ่ง

+ ระยะที่ 2 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป แต่จะต้องอยู่ด้านเดียวกัน ของกระบังลม เช่น บริเวณคอด้านซ้าย และคอด้านขวา หรือคอซ้ายกับรักแร้ซ้าย

+ ระยะที่ 3 พบมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทั้งส่วนบน และส่วนล่าง ของกระบังลม เช่น มีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้ ร่วมกับที่ขาหนีบ

+ ระยะที่ 4 โรคจะกระจาย ออกนอกระบบน้ำเหลือง เช่น เกิดที่ไขกระดูก หรือเนื้อเยื่ออวัยวะอื่น เช่น ตับ, ปอด, สมอง, กระดูก

วิธีการตรวจหา มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

แพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ และตรวจร่างกายเป็นลำดับ หรือตัดชิ้นเนื้อ ของต่อมน้ำเหลือง ออกไปตรวจทางพิษวิทยา ส่วนการรักษา จะใช้วิธีการให้ยาเคมีบำบัด จำนวนครั้งในการให้ ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ดูแลในเคสนั้น ๆ ซึ่งการรักษาโรคนี้ จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดูแลอยู่ หากตัวโรคมีความรุนแรงมาก จะใช้วิธีการฉายแสง จากภายนอก หรือในคนไข้ที่มีข้อห้าม ในเรื่องของการให้ยา ก็จะได้รับการรักษา ด้วยวิธีนี้เช่นกัน โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากเป็นโรคที่ตอบสนองต่อยาและแสงเคมีบำบัดมากๆ อยู่แล้ว

วิธีการดูแลตนเอง สำหรับโรคนี้ คือ ?

พยายามทานอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ อาจจะเน้นอาหาร ที่มีพลังงานเยอะ เช่น ไข่ขาว หรืออาหารที่มีโปรตีนสูง ก็ช่วยได้ เช่น เนื้อสัตว์ต่าง ๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงพวกยาชุด, ยาหม้อ, ยาลูกกลอน และควรออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้สุขภาพดี

ข้อมูลจาก อ. พญ.กีรติกานต์ บุญญาวรรณดี หน่วยรังสีรักษา และมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :

เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC
https://www.facebook.com/FC-604030819763686

เว็บไซต์ : คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล RAMA CHANNEL
https://www.rama.mahidol.ac.th

เว็บไซต์ : โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
https://www.vichaiyut.com

Adblock test (Why?)


ต่อมน้ำเหลืองโต นี่..มะเร็ง หรือไม่ ? แพทย์แจงคนไข้ หลังฉีดวัคซีน mRNA - MCOT Plc
Read More

Friday, May 20, 2022

อัปเดต "ฝีดาษลิง" ระบาด พบผู้ป่วยรายแรกอีก 4 ประเทศ - กรุงเทพธุรกิจ

อัปเดต "ฝีดาษลิง" ระบาดทั่วโลก ล่าสุดพบเพิ่มอีก 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, อิตาลี และสวีเดน หลังรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงรายแรกในประเทศ

ทางการออสเตรเลีย แถลงเมื่อวันศุกร์ (20 พ.ค.) ว่า พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง (monkeypox) รายแรกของประเทศ เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากสหราชอาณาจักร และยังมีผู้ต้องสงสัยติดเชื้ออีก 1 ราย อยู่ระหว่างตรวจยืนยัน

ทั้งนี้ ฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่พบได้ยาก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่โอกาสเสียชีวิตยังถือว่าต่ำมาก

กระทรวงสาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ ระบุว่า ผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรกเป็นชายวัย 30 ปีเศษ มีอาการป่วยเล็กน้อยก่อนเดินทางกลับนครเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย และตรวจพบเชื้อที่นั่น โดยขณะนี้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียยังพบชายอีกคน วัย 40 ปีเศษ มีอาการป่วยเล็กน้อยมาหลายวัน หลังจากกลับมาถึงนครซิดนีย์ด้วยอาการคล้ายเป็นฝีดาษลิง

ขณะเดียวกัน สำนักงานสาธารณสุขสวีเดนรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (19 พ.ค.) ว่า พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกในประเทศ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศว่า โรคนี้เป็นอันตรายต่อสังคม เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการต่างๆ อาทิ การติดตามผู้สัมผัสติดต่อ และการกักกันโรค

นางคลารา ซอนเดน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และผู้สอบสวนโรคประจำสำนักงานสาธารณสุขสวีเดนแถลงว่า นี่เป็นโรคที่ไม่ปกติอย่างมาก ขณะนี้หน่วยงานกำลังสอบสวนโรคร่วมกับหน่วยควบคุมการแพร่ระบาดระดับภูมิภาค หากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสวีเดน

“บุคคลในสวีเดนที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสนี้ มีอาการไม่รุนแรง และได้รับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างเต็มที่ เรายังไม่ทราบว่าบุคคลนั้นติดเชื้อมาจากที่ใด ทางการกำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวน” นางซอนเดนเสริม

รายงานระบุด้วยว่า สำนักงานสาธารณสุขสวีเดนได้แจ้งให้องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป (ECDC) ทราบแล้ว ซึ่งเมื่อวันพฤหัสบดี (19 พ.ค.) พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในอังกฤษและโปรตุเกส รวมถึงผู้ต้องสงสัยติดเชื้อในสเปน

นอกจากนั้น ทางการแคนาดาและอิตาลีรายงานในวันพฤหัสบดีว่า พบผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรกในประเทศเช่นกัน โดยแคนาดาพบผู้ป่วยยืนยันพร้อมกัน 2 รายในนครมอนทรีอัล รัฐควิเบค และยังมีเคสต้องสงสัยอีก 17 ราย

ขณะที่ผู้ป่วยรายแรกในอิตาลี ถูกตรวจพบเชื้อฝีดาษลิงหลังเดินทางกลับมาจากหมู่เกาะคานารี แคว้นปกครองตนเองของสเปน ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก และอยู่ระหว่างตรวจสอบผู้ป่วยต้องสงสัยอีก 2 ราย

ก่อนหน้านี้ ECDC รายงานว่า โปรตุเกสพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง 5 ราย และผู้ต้องสงสัยติดเชื้อมากกว่า 20 ราย

นอกจากนั้น WHO ยังออกประกาศเตือนเมื่อคืนวันพุธ (18 พ.ค.) หลังมีรายงานว่า อาจพบผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงเพิ่มขึ้นในอังกฤษ

Adblock test (Why?)


อัปเดต "ฝีดาษลิง" ระบาด พบผู้ป่วยรายแรกอีก 4 ประเทศ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

อัปเดต "ฝีดาษลิง" ระบาด พบผู้ป่วยรายแรกอีก 4 ประเทศ - กรุงเทพธุรกิจ

อัปเดต "ฝีดาษลิง" ระบาดทั่วโลก ล่าสุดพบเพิ่มอีก 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, อิตาลี และสวีเดน หลังรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงรายแรกในประเทศ

ทางการออสเตรเลีย แถลงเมื่อวันศุกร์ (20 พ.ค.) ว่า พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง (monkeypox) รายแรกของประเทศ เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากสหราชอาณาจักร และยังมีผู้ต้องสงสัยติดเชื้ออีก 1 ราย อยู่ระหว่างตรวจยืนยัน

ทั้งนี้ ฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่พบได้ยาก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่โอกาสเสียชีวิตยังถือว่าต่ำมาก

กระทรวงสาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ ระบุว่า ผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรกเป็นชายวัย 30 ปีเศษ มีอาการป่วยเล็กน้อยก่อนเดินทางกลับนครเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย และตรวจพบเชื้อที่นั่น โดยขณะนี้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียยังพบชายอีกคน วัย 40 ปีเศษ มีอาการป่วยเล็กน้อยมาหลายวัน หลังจากกลับมาถึงนครซิดนีย์ด้วยอาการคล้ายเป็นฝีดาษลิง

ขณะเดียวกัน สำนักงานสาธารณสุขสวีเดนรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (19 พ.ค.) ว่า พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกในประเทศ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศว่า โรคนี้เป็นอันตรายต่อสังคม เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการต่างๆ อาทิ การติดตามผู้สัมผัสติดต่อ และการกักกันโรค

นางคลารา ซอนเดน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และผู้สอบสวนโรคประจำสำนักงานสาธารณสุขสวีเดนแถลงว่า นี่เป็นโรคที่ไม่ปกติอย่างมาก ขณะนี้หน่วยงานกำลังสอบสวนโรคร่วมกับหน่วยควบคุมการแพร่ระบาดระดับภูมิภาค หากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสวีเดน

“บุคคลในสวีเดนที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสนี้ มีอาการไม่รุนแรง และได้รับการดูแลจากทีมแพทย์อย่างเต็มที่ เรายังไม่ทราบว่าบุคคลนั้นติดเชื้อมาจากที่ใด ทางการกำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวน” นางซอนเดนเสริม

รายงานระบุด้วยว่า สำนักงานสาธารณสุขสวีเดนได้แจ้งให้องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป (ECDC) ทราบแล้ว ซึ่งเมื่อวันพฤหัสบดี (19 พ.ค.) พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในอังกฤษและโปรตุเกส รวมถึงผู้ต้องสงสัยติดเชื้อในสเปน

นอกจากนั้น ทางการแคนาดาและอิตาลีรายงานในวันพฤหัสบดีว่า พบผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรกในประเทศเช่นกัน โดยแคนาดาพบผู้ป่วยยืนยันพร้อมกัน 2 รายในนครมอนทรีอัล รัฐควิเบค และยังมีเคสต้องสงสัยอีก 17 ราย

ขณะที่ผู้ป่วยรายแรกในอิตาลี ถูกตรวจพบเชื้อฝีดาษลิงหลังเดินทางกลับมาจากหมู่เกาะคานารี แคว้นปกครองตนเองของสเปน ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก และอยู่ระหว่างตรวจสอบผู้ป่วยต้องสงสัยอีก 2 ราย

ก่อนหน้านี้ ECDC รายงานว่า โปรตุเกสพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง 5 ราย และผู้ต้องสงสัยติดเชื้อมากกว่า 20 ราย

นอกจากนั้น WHO ยังออกประกาศเตือนเมื่อคืนวันพุธ (18 พ.ค.) หลังมีรายงานว่า อาจพบผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงเพิ่มขึ้นในอังกฤษ

Adblock test (Why?)


อัปเดต "ฝีดาษลิง" ระบาด พบผู้ป่วยรายแรกอีก 4 ประเทศ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Thursday, May 19, 2022

"ไข้หวัดใหญ่"ตามฤดูกาล เหมือนและต่างจาก"โควิด"อย่างไร - กรุงเทพธุรกิจ

ไข้หวัดใหญ่เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่วนโควิด-19 เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ที่พบในปี 2019 และเป็นที่ทราบกันดีอีกว่าโควิด-19 นั้น สามารถแพร่กระจายและติดต่อได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโควิดบางส่วนจะมากกว่าเยอะ และแน่นอนว่าการจะวินิจฉัยแยกโรคการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิดมีความจำเป็น

นพ.ณฐนัท ช่างเงินชญช์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลนวเวช ให้ข้อมูลไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไว้อย่างรอบด้าน ทั้งลักษณะการติดต่อ สาเหตุ อาการ กลุ่มเสี่ยง รวมไปถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ

ไข้หวัดใหญ่เป็นได้ตลอดปี 

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่รู้จักกันดี และเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากสำหรับคนไทย เมื่อเป็นแล้วสามารถเป็นซ้ำได้อีก ติดต่อได้ง่าย จึงทำให้มีการระบาดของโรคเกิดขึ้น ถึงแม้ไข้หวัดใหญ่จะไม่มีความรุนแรงสำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง แต่คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอาจจะเกิดความรุนแรงได้

สำหรับประเทศไทยสามารถพบไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งจะตรงกับการเปิดภาคเรียนแรก หลังจากนั้นจะพบมากอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวหลังปีใหม่จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่การระบาดในช่วงนี้ไม่สูงเท่ากับการระบาดในช่วงฤดูฝน

โดยในช่วง 2 ปีที่มีระบาดอย่างหนักของโรคโควิด-19 ทำให้พบว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่ และโรคไวรัสก่อโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ลดลงอย่างมาก ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่สันนิษฐานว่า น่าจะมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คน 

ไข้หวัดใหญ่ติดต่อผ่านละอองฝอย

การติดต่อโรคของไข้หวัดใหญ่ จะเป็นการติดต่อจากละอองฝอยขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็กจากผู้ที่ติดเชื้อแล้ว และมีการไปสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ แล้วไปสัมผัสโดนเนื้อเยื่อบุตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ตา จมูก ปาก หรือการหายใจเข้าไป 

โดยระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อไวรัสอยู่ที่ 1-4 วัน หลังจากสัมผัสโรค (โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน) เชื้ออาจจะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น และสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ตั้งแต่วันแรกก่อนมีอาการ จนถึงช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ หลังจากนั้นประมาณ 5-10 วัน ปริมาณเชื้อจะลดลงจนไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ 

แต่ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่อ้วน หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจตรวจพบเชื้อได้นานเป็นหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

สาเหตุการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ก่อนที่จะกลายมาเป็นโรคในคน มีสาเหตุมาจากเชื้อ Human Influenza Virus A, B, C โดยชนิด C พบได้น้อยจึงไม่ได้กล่าวถึง

เริ่มต้นจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะพบอยู่ 2 ชนิดย่อยที่สำคัญคือ ชนิด H1N1 และอีกชนิดคือ H2N3 ที่ยังวนเวียนก่อโรคไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์มาตลอด 

ส่วนที่เหลือมากกว่า 130 สายพันธุ์ จะก่อโรคในสัตว์ เช่น นก หมู และอื่น ๆ ในอนาคตยังพยากรณ์ไม่ได้ว่าจะมีการติดต่อมาแพร่ระบาดสู่คนได้เมื่อไหร่ โดยจากประวัติการระบาดในอดีตที่ผ่านมาพบว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นั้น ได้มีการระบาดใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง 

ล่าสุด เมื่อปี ค.ศ. 2009 เป็นที่รู้จักกันดีคือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 2009 ซึ่งสายพันธุ์นี้ยังคงมีการระบาดมาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถกลายพันธุ์ได้ทีละเล็กทีละน้อย จึงทำให้สามารถหลบหลีกภูมิต้านทานที่มีอยู่ได้ เป็นที่มาของการทำให้ติดเชื้อซ้ำ 

ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นสายพันธุ์ที่มีอยู่ในคนเท่านั้น และยังไม่พบการระบาดใหญ่ โดยมี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ Victoria และสายพันธุ์ Yamagata

อาการไข้หวัดใหญ่

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการจับไข้เฉียบพลัน วัดไข้ได้ตั้งแต่ 37.8 จนสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอแห้ง ๆ และอาจพบอาการร่วมอื่น ๆ เพิ่ม เช่น อาการอ่อนเพลีย คัดจมูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ 

ในผู้ป่วยเด็กบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ค่อยพบในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ โดยอาการและความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ยกอย่างเช่น ในผู้ป่วยสูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี หรือ ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจจะตามมาด้วยอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกโคลงเคลง โดยมีอาการทางระบบทางเดินหายใจเล็กน้อย ไม่มีไข้ แต่จะมีอาการเซื่องซึมลงได้

กลุ่มเสี่ยงสูงจากไข้หวัดใหญ่

-เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี

-อายุมากกว่า 65 ปี

-สตรีตั้งครรภ์

-ผู้ที่มีภาวะอ้วน ดัชนีมวลกายมากกว่า 30 kg/m2

-ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหืด โรคถุงลมอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน

-ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น กินยากดภูมิต้านทาน เคมีบำบัด รังสีบำบัด หรือโรคที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคมะเร็ง และ โรคติดเชื้อเอชไอวี

หากสงสัยว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและตรวจ swab เข้าทางจมูก หรือโพรงจมูกด้านหลัง เพื่อยืนยันการวินิจฉัย หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา

โดยทั่วไปถ้าเป็นผู้ป่วยที่สุขภาพแข็งแรงดี แพทย์จะให้รักษาตามอาการ ประคับประคองรอเวลาให้ร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสให้หมด ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน 

สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง การดูแลจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน โดยเฉพาะภาวะปอดอักเสบ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ หากมีความจำเป็นในกรณีที่เข้าสู่วันที่ 2-3 แล้วอาการไม่ดีขึ้น ไข้ ไอหอบ ที่จะบ่งบอกถึงอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน

ในบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพื่อลดจำนวนของไวรัสในการที่จะเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจภายใน 48 ชั่วโมงแรก

การป้องกันไข้หวัดใหญ่

-ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่จะต้องดูแลสุขอนามัย หมั่นล้างมือก่อนสัมผัสใบหน้า รับประทานอาหารที่สะอาด หรือที่เรียกว่า กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ โดยล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ในกรณีที่ไม่มีน้ำ เพราะแอลกอฮอล์สามารถทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้

-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง สำหรับประเทศไทยควรให้วัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ประมาณช่วงปลายเดือนเมษายน จนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยสายพันธุ์ของไวรัสที่อยู่ในวัคซีนจะใช้สายพันธุ์ของวัคซีนซีกโลกใต้เป็นหลัก

Adblock test (Why?)


"ไข้หวัดใหญ่"ตามฤดูกาล เหมือนและต่างจาก"โควิด"อย่างไร - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

เปิดสัญญาณเสี่ยงโรค "ข้อกระดูกสันหลัง" อักเสบยึดติด - ผู้จัดการออนไลน์



หมอเผยปวดหลังเรื้อรัง หลังยึดติด อาจเป็นโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดยึดติด เสี่ยงภาวะสันหลังคด ทรงตัวลำบาก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยังหาสาเหตุไม่ได้ คาดเกิดจากพันธุกรรม มีญาติเป้นโรคเดียวกัน มักพบในอายุน้อย 20-30 ปี ชายมากกว่าหญิง

เมื่อวันที่ 19 พ.ค. นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดยึดติด ว่า ถือเป็นโรคหลักในกลุ่มโรคข้อและกระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีอาการคล้ายกัน คือ มีการอักเสบของข้อกระดูกสันหลัง ข้อต่อตามร่างกาย การอักเสบที่กระดูกบริเวณที่เส้นเอ็นยึดเกาะ การอักเสบของม่านตาและลำไส้ ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดสะโพกเรื้อรังโดยเฉพาะช่วงเช้าหรือหลังพักผ่อน อาการหลังติดยึดทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ทำงานไม่ได้ จนเกิดภาวะหลังคด ทรงตัวลำบากและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคได้ แต่คาดว่าโรคนี้อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น พันธุกรรม ตรวจพบโปรตีน HLA-B27 ผู้ป่วยโรคนี้มักมีญาติเป็นโรคเช่นเดียวกัน อายุจะเริ่มแสดงอาการในผู้ป่วยอายุน้อย ระหว่าง 20-30 ปี พบเพศชายมากกว่าเพศหญิง ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาบรรเทาอาการ เพราะหากปล่อยให้อาการรุนแรงมากขึ้น อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผอ.สถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของโรค ปัจจุบันใช้ Modified New York Criteria โดยให้การวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วยได้ตั้งแต่ระยะแรก และติดตามการเปลี่ยนแปลงผลการรักษาของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ ติดตามการดำเนินโรคได้อย่างถูกต้อง และปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายโดยอายุรแพทย์ทั่วไป อายุรแพทย์ทางด้านโรคข้อและรูมาติสซัม และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู วินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและแยกโรคร่วมหรือการอักเสบชนิดอื่นๆ

"การรักษาหลักคือ การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยในการสังเกตตัวเองและเข้าใจตัวโรคว่า ยังไม่มีวิธีป้องกันหรือรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมและชะลอการดำเนินโรคได้ การรักษาจำเป็นต้องให้ยาเพื่อคุมการอักเสบเรื้อรังและอาการปวดแบบต่างๆ ควรบริหารร่างกายเพื่อยืดหยุ่นข้อต่อและกล้ามเนื้อ จะช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้สะดวกใกล้เคียงปกติและป้องกันข้อติดยึด อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยได้รับการรักษาในระยะท้ายของโรค การรักษาด้วยยาและกายภาพอาจไม่เพียงพอ ต้องทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขโครงสร้างและมีการดูแลแบบสหวิชาชีพต่อไป" นพ.ธนินทร์กล่าว

Adblock test (Why?)


เปิดสัญญาณเสี่ยงโรค "ข้อกระดูกสันหลัง" อักเสบยึดติด - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

ปวดหลังนานอย่ามองข้าม เช็ก 4 อาการ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด - ไทยรัฐ

วันที่ 19 พ.ค. 2565 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า เป็นโรคหลักในกลุ่มโรคข้อและกระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการแสดงของโรคคล้ายกัน คือ มีการอักเสบของข้อกระดูกสันหลัง ข้อต่อตามร่างกาย การอักเสบที่กระดูกบริเวณที่เส้นเอ็นยึดเกาะ การอักเสบของม่านตาและลำไส้ ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดสะโพกเรื้อรังโดยเฉพาะช่วงเช้าหรือหลังพักผ่อน อาการหลังติดยึดทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ทำงานไม่ได้ จนเกิดภาวะหลังคด ทรงตัวลำบากและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ขณะที่ปัจจุบัน ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคได้ แต่คาดว่าโรคนี้อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น พันธุกรรม ตรวจพบโปรตีน HLA-B27 ผู้ป่วยโรคนี้มักมีญาติเป็นโรคเช่นเดียวกัน อายุจะเริ่มแสดงอาการในผู้ป่วยอายุน้อย ระหว่าง 20-30 ปี พบเพศชายมากกว่าเพศหญิง ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาบรรเทาอาการ เพราะหากปล่อยให้อาการรุนแรงมากขึ้น อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ทางด้าน นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยแต่ละรายอาจ มีอาการที่แตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของโรค ปัจจุบันใช้ Modified New York Criteria โดยให้การวินิจฉัย และการรักษาผู้ป่วยได้ตั้งแต่ระยะแรก และติดตามการเปลี่ยนแปลงผลการรักษาของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ ติดตามการดำเนินโรคได้อย่างถูกต้อง และปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายโดยอายุรแพทย์ทั่วไป อายุรแพทย์ทางด้านโรคข้อ และรูมาติสซั่ม และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู วินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและแยกโรคร่วมหรือการอักเสบชนิดอื่นๆ

ทั้งนี้ การรักษาหลักคือ การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยในการสังเกตตัวเองและเข้าใจตัวโรค ว่ายังไม่มีวิธีป้องกันหรือรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมและชะลอการดำเนินโรคได้ การรักษาจำเป็นต้องให้ยาเพื่อคุมการอักเสบเรื้อรังและอาการปวดแบบต่างๆ ควรบริหารร่างกายเพื่อยืดหยุ่นข้อต่อและกล้ามเนื้อ จะช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้สะดวกใกล้เคียงปกติและป้องกันข้อติดยึด อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยได้รับการรักษาในระยะท้ายของโรค การรักษาด้วยยาและกายภาพอาจไม่เพียงพอ ต้องทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขโครงสร้างและมีการดูแลแบบสหวิชาชีพต่อไป.

Adblock test (Why?)


ปวดหลังนานอย่ามองข้าม เช็ก 4 อาการ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด - ไทยรัฐ
Read More

Wednesday, May 18, 2022

สหรัฐฯงานเข้า พบคนติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรก เพิ่งกลับจากแคนาดา - ไทยรัฐ

สหรัฐฯ ผวา พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกของปีนี้ เพิ่งเดินทางกลับจากแคนาดา ซีดีซีเร่งสอบสวนโรค ขณะที่ตอนนี้พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง ในสหราชอาณาจักร โปรตุเกส และสเปน

เมื่อ 19 พ.ค. 65 เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายงาน พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง (Monkeypox) รายแรกแล้ว เป็นผู้ชายซึ่งเพิ่งเดินทางไปประเทศแคนาดาเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกำลังสอบสวนโรคว่าการติดเชื้อฝีดาษลิง ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากเกี่ยวข้องกับการระบาดของฝีดาษลิงในยุโรปหรือไม่ และขณะนี้ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนไม่มากนักในสหราชอาณาจักร โปรตุเกส ขณะที่สเปนกำลังรอผลตรวจยืนยัน 8 ราย

เจนนิเฟอร์ แมคควิสตัน เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (ซีดีซี) ในสหรัฐฯ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ซีดีซีกำลังประสานติดต่อกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสหราชอาณาจักรและแคนาดา เพื่อสอบสวนโรค แต่ในขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลใดๆ ที่บ่งชี้ว่าการติดเชื้อฝีดาษลิงของชายในรัฐแมสซาชูเซตส์เกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อในสหราชอาณาจักร

"ถึงแม้ขณะนี้ยังพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในสหรัฐฯ เพียงรายเดียว แต่ซีดีซีกำลังเฝ้าระวัง และกำลังเตรียมตัวถึงความเป็นไปได้ที่จะพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงมากกว่านี้ โดยชายที่ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกไม่มีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อไปสู่สาธารณะ โดยขณะนี้เขาอยู่ระหว่างการรักษาในโรงพยาบาลและอาการไม่รุนแรง" แมคควิสตัน เจ้าหน้าที่ซีดีซีกล่าว

ทั้งนี้ ซีดีซีออกแถลงการณ์แจ้งด้วยว่า ชายที่ติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรกได้เดินทางไปหาเพื่อนในแคนาดา เมื่อปลายเดือนเมษายน ที่ผ่านมา และกลับมาสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนพ.ค. ซึ่งเขาเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว สำหรับการพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในรัฐแมสซาชูเซตส์นี้ นับเป็นรายแรกในปี 2022 หลังจากเมื่อปีที่แล้ว พบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในรัฐเทกซัส และแมรีแลนด์ ซึ่งเดินทางไปไนจีเรีย.

Adblock test (Why?)


สหรัฐฯงานเข้า พบคนติดเชื้อฝีดาษลิงรายแรก เพิ่งกลับจากแคนาดา - ไทยรัฐ
Read More

ผวา 'ฝีดาษลิง'ระบาดครั้งแรกบนโลก โปรตุเกสพบติดเชื้อแล้ว 6 สเปนรอผล 8 - ไทยรัฐ

สาธารณสุขโปรตุเกสแถลงพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 6 ขณะที่สเปนกำลังรอผลยืนยัน 8 ราย หลังจาก UK พบผู้ติดเชื้อ 7 ราย ด้านผู้เชี่ยวชาญหวั่น อาจเป็นการระบาดของโรคฝีดาษลิงครั้งแรกบนโลก

เมื่อ 18 พ.ค. 65 เดลี่เมลรายงานสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสฝีดาษลิง (Monkeypox) ที่กำลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสหราชอาณาจักร มีแนวโน้มกำลังระบาดในยุโรปแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขโปรตุเกสรายงานในวันนี้ว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง (Monkeypox) ในโปรตุเกส 6 ราย ในขณะที่ยังมีผู้ป่วยอีกกว่า 12 รายที่อยู่ระหว่างการตรวจวินิจฉัยว่าจะติดเชื้อฝีดาษลิงหรือไม่

ส่วนสเปนกำลังเฝ้าติดตามผู้ป่วยอีก 8 คน ที่เชื่อว่าอาจติดเชื้อฝีดาษลิง โดยขณะนี้กำลังรอผลตรวจวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงหรือไม่ โดยผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงล่าสุดทั้งหมดเป็นผู้ชาย และส่วนใหญ่ยังอายุน้อย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าติดเชื้อฝีดาษลิงได้อย่างไร ซึ่งการพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในโปรตุเกสและสเปน ต่อจากสหราชอาณาจักร อาจถือเป็นการระบาดของเชื้อไวรัสฝีดาษลิง ซึ่งเป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นยากเป็นครั้งแรกในโลกเลยทีเดียว

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อวิตกว่าขณะนี้กำลังเกิดการระบาดของเชื้อฝีดาษลิงในชุมชนเป็นครั้งแรกในสหราชอาณาจักร หลังจากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 4 ราย รวมเป็น 7 รายแล้ว ซึ่งในจำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง 7 รายในสหราชอาณาจักร ดูเหมือนติดเชื้อในประเทศ และส่วนใหญ่ไม่ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกัน

ดร.ไซมอน คลาร์ค นักจุลชีววิทยาประจำมหาวิทยาลัยรีดดิง กล่าวกับเมลออนไลน์ว่า ขณะนี้มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจมีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงในสหราชอาณาจักรแล้วหลายสิบราย อย่างไรก็ตาม ดร.คลาร์ค ยืนยันว่าเชื้อฝีดาษลิงไม่ได้แพร่ระบาดเหมือนเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด และหากมีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 100 ราย จะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก.

Cr ภาพ : ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (ซีดีซี)

Adblock test (Why?)


ผวา 'ฝีดาษลิง'ระบาดครั้งแรกบนโลก โปรตุเกสพบติดเชื้อแล้ว 6 สเปนรอผล 8 - ไทยรัฐ
Read More

หมอมนูญ ยกเคส เตือนอย่าเชื่อ ฉีดวัคซีนโควิด mRNA เสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง - เอ็มเอสเอ็น

© สนับสนุนโดย ไทยรัฐ

"หมอมนูญ" ยกเคสคนไข้ เตือนอย่าหลงเชื่อข่าว ฉีดวัคซีนโควิด mRNA กระตุ้นให้เกิดระดับภูมิคุ้มกันสูงเกินไป เสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

วันที่ 18 พ.ค. นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC" เกี่ยวกับข่าวปลอม ที่อ้างว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยเฉพาะชนิด mRNA กระตุ้นให้เกิดระดับภูมิคุ้มกันสูงเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยระบุว่า คนไข้กังวลมากมาหาด้วยต่อมน้ำเหลืองที่คอโตทั้ง 2 ข้างหลังฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ เพราะอ่านข่าวว่าวัคซีนป้องกันโควิดโดยเฉพาะชนิด mRNA มีผลข้างเคียง อาจทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ผู้ป่วยหญิงอายุ 45 ปี ปกติแข็งแรงดีไม่มีโรคประจำตัว ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็มแรก ฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์เดือนมกราคม 2565 หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ก้อนที่คอเหนือกระดูกไหปลาร้าค่อยๆ โตขึ้นข้างซ้ายโตกว่าข้างขวา ไม่เจ็บ ไม่มีไข้ ไม่เบื่ออาหาร น้ำหนักไม่ลด ไม่ไอ ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีประวัติวัณโรคในครอบครัว มาพบแพทย์วันที่ 30 เมษายน 2565

ตรวจร่างกายพบต่อมน้ำเหลืองที่เหนือกระดูกไหปลาร้า supraclavicular โตผิดปกติ ข้างซ้ายโตกว่าข้างขวา 4 เท่า เอกซเรย์ปอดปกติ ได้ทำการผ่าตัดด้วยการฉีดยาชา ตัดชิ้นเนื้อจากต่อมน้ำเหลืองที่คอข้างซ้าย ผลพยาธิวิทยาของชิ้นเนื้อ เข้าได้กับวัณโรคของต่อมน้ำเหลือง ย้อมเชื้อพบเชื้อวัณโรค เริ่มให้ยารักษาวัณโรค ผู้ป่วยไม่แพ้ยา

สรุป ผู้ป่วยรายนี้เป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง ไม่ได้เกิดจากการฉีดวัคซีน พร้อมเตือนคนไทยอย่าไปเชื่อข่าวปลอมว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด โดยเฉพาะชนิด mRNA กระตุ้นให้เกิดระดับภูมิคุ้มกันสูงเกินไป มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ที่มาจาก เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่

- Website : www.thairath.co.th

- LINE Official : Thairath

Adblock test (Why?)


หมอมนูญ ยกเคส เตือนอย่าเชื่อ ฉีดวัคซีนโควิด mRNA เสี่ยงมะเร็งต่อมน้ำเหลือง - เอ็มเอสเอ็น
Read More

สปสช.เปิดฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี! 4.2 ล้านโดส เน้น 7 กลุ่มเสี่ยงลดป่วยรุนแรง - ผู้จัดการออนไลน์

วันนี้ (18 พ.ค.) นพ.จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ตามที่ สปสช.ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในปี 2565 จำนวน 4.2 ล้านโดส สิทธิประโยชน์ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมเร่งรณรงค์การฉีดที่มีระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - วันที่ 31 สิงหาคม 2565 โดยเน้นฉีดให้กับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ทุกสิทธิการรักษาพยาบาล เพื่อลดอัตราเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดใหญ่

ทั้งนี้ บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ เป็นการให้บริการในรูปแบบวอล์ก อิน (Walk in) ใครมาก่อนมีสิทธิได้รับบริการก่อน (First come – Frist serve) โดยเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่หน่วยบริการหรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรืออาจโทรสอบถามกับหน่วยบริการก่อน ยกเว้น กรุงเทพมหานครที่ยังคงระบบเปิดให้จองฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ล่วงหน้า ด้วยการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยเป็นความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย

Adblock test (Why?)


สปสช.เปิดฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี! 4.2 ล้านโดส เน้น 7 กลุ่มเสี่ยงลดป่วยรุนแรง - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

Tuesday, May 17, 2022

ติดโควิด-19 แล้วไม่จบ เชื่อมโยงภาวะตับอักเสบรุนแรงในเด็กเล็ก - ไทยรัฐ

ผลเผยการวิจัย การติดเชื้อโรคโควิด-19 กับความผิดปกติของตับในเด็กเล็ก เชื่อมโยงภาวะตับอักเสบรุนแรงในเด็กเล็ก พร้อมแนะวิธีสังเกตอาการ

วันที่ 17 พ.ค. 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยผลการวิจัยจาก ทีมวิจัยโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat เรื่อง การติดเชื้อโรคโควิด-19 กับความผิดปกติของตับในเด็กเล็ก

โดยระบุว่า ทีมวิจัยจากโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาในเด็กอายุ 1-10 ปี จำนวนถึง 796,369 คน โดยมีเด็ก 245,675 คนที่ติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ตั้งแต่มีนาคม 2020 ถึงมีนาคม 2022 เปรียบเทียบกับเด็ก 550,694 คนที่ติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่โรคโควิด-19 ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

ผลการศึกษาพบว่า แม้จะผ่านไปแล้วนานถึง 6 เดือน เด็กที่ติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 นั้นจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาค่าเอนไซม์ตับสูง มากกว่ากลุ่มเด็กที่ติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ ถึง 2.52 เท่า (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 2.03 เท่า-3.12 เท่า) จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาค่า total bilirubin สูง มากกว่ากลุ่มเด็กที่ติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ ถึง 3.35 เท่า (ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 2.16 เท่า-5.18 เท่า)

งานวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในเด็กว่า จะเกิดผลกระทบตามมาระยะยาวหลังการติดเชื้อ

ทั้งนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวจะเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ของการติดเชื้อโรคโควิด-19 กับปัญหาภาวะตับอักเสบรุนแรงในเด็กเล็กที่พบทั่วโลกขณะนี้หรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป อย่างไรก็ตาม การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด

ขณะที่ พญ.พรนิภา ศรีประเสริฐ กุมารแพทย์ เจ้าของเพจ เรื่องเด็กๆ by หมอแอม โพสต์ข้อความว่า พบ ตับอักเสบปริศนา

1. ช่วงเดือนเมษายน 2565 องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า พบเด็กนับร้อยราย จู่ๆ ก็เป็นตับอักเสบเฉียบพลัน "แบบรุนแรง" มีเด็กต้องเปลี่ยนตับและบางรายเสียชีวิตในหลายประเทศแถบตะวันตก

2. ช่วงเดือนพฤษภาคม เริ่มมีรายงานเคสในแถบเอเชีย ล่าสุดพบเด็ก (อายุ < 16 ปี) เป็นตับอักเสบปริศนา มากกว่า 450 ราย เสียชีวิต 11 ราย

3. ซึ่งเป็นที่ งง-งวย ของทั่วโลก เพราะปกติแล้ว ตับอักเสบจากการติดเชื้อ มักเกิดจากเชื้อตับอักเสบ hepatitis virus (เช่นที่เราฉีดวัคซีนกัน = hepatitis A,B) แต่ครั้งนี้ เคสไหนๆ ก็ตรวจไม่เจอเจ้าเชื้อตับอักเสบเจ้าเก่าของเราเลย

4. แต่กลับพบเชื้อ adenovirus ที่ปกติเจ้าตัวนี้ ไม่ทำอันตรายกับตับเรา และ/หรือพบหลักฐานการติดเชื้อโอมิครอนในเด็กๆ เหล่านี้แทน

ล่าสุดยังไม่รู้สาเหตุ แต่สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากเชื้อ adenovirus กลายพันธุ์ หรือโอมิครอนทำให้เชื้อรุนแรงขึ้นแล้วมีผลที่ตับ หรือจากภาวะลองโควิด (ยังเป็นแค่สันนิษฐาน ทั่วโลกกำลังเร่งหาสาเหตุ) ทำให้ตอนนี้ยังไม่สามารถหาวิธีป้องกันได้ เพราะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด

สำหรับอาการที่ต้องสังเกต มีดังนี้

  • ปวดท้อง
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ถ่ายเหลว
  • ตรวจพบเอนไซม์ตับสูงขึ้น
  • ตาเหลืองตัวเหลือง

อย่างไรก็ตาม วัคซีนตับอักเสบที่เราฉีดกัน และฉีดให้ลูก เป็นวัคซีนตับอับเสบจากเชื้อ hepatitis virus ซึ่งภาวะตับอักเสบนี้ ไม่ได้เกิดจากเชื้อในวัคซีน แปลง่ายๆ คือ วัคซีนตัวนั้นไม่ช่วยตับอักเสบกรณีนี้ เพราะคนละเชื้อ คนละสาเหตุกัน

ข้อมูลจาก แฟนเพจ Thira Woratanarat, เรื่องเด็กๆ by หมอแอม

Adblock test (Why?)


ติดโควิด-19 แล้วไม่จบ เชื่อมโยงภาวะตับอักเสบรุนแรงในเด็กเล็ก - ไทยรัฐ
Read More

อังกฤษผวาไวรัสมรณะ!ผู้ป่วย 'ฝีดาษลิง' เพิ่ม เตือนเกย์ระวังผื่นผิวหนัง - เดลินิวส์ออนไลน์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.

Adblock test (Why?)


อังกฤษผวาไวรัสมรณะ!ผู้ป่วย 'ฝีดาษลิง' เพิ่ม เตือนเกย์ระวังผื่นผิวหนัง - เดลินิวส์ออนไลน์
Read More

Monday, May 16, 2022

"หมอยง" เผย โควิด-19 อยู่ในภาวะขาลง และจะเข้าสู่โรคตามฤดูกาล - กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ หรือ "หมอยง" หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความระบุถึง โควิด-19 อยู่ในภาวะขาลง และจะเข้าสู่โรคตามฤดูกาล

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หรือ "หมอยง" ระบุว่า จากข้อมูลการระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ในภาวะขาลง (รูปที่ 1) และการระบาดต่อไปในอนาคตก็น่าจะมีฤดูกาลคล้ายกับไข้หวัดใหญ่

เมื่อย้อนไปดูการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะมีการระบาดอย่างมากในปีแรก และต้นปีที่ 2 หลังจากนั้นก็เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดังแสดงในรูป 2

ไข้หวัดใหญ่ระบาดในแต่ละปี ก็ขึ้นอยู่กับชนิดสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ ที่มีทั้งไข้หวัดใหญ่ A และ B

"หมอยง" เผย โควิด-19 อยู่ในภาวะขาลง และจะเข้าสู่โรคตามฤดูกาล

การระบาดในแต่ละปี พบได้ตลอดทั้งปีแต่จะพบมาก ตามฤดูกาล โดยมีช่วงสูงสุดระยะแรก หลังเปิดเทอมแรกในฤดูฝน ที่มีโรคทางเดินหายใจสูง และจะสงบลงเมื่อเข้าสู่ช่วงตุลาคม พฤศจิกายน และจะพบการระบาดขึ้นช่วงที่ 2 แต่ต่ำกว่า ในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม และเมื่อเด็กปิดเทอมเข้าสู่ฤดูร้อน โรคทางเดินหายใจก็จะลดลง และจะไปเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเปิดเทอม เป็นไปตามฤดูกาลมาโดยตลอด

ในทำนองเดียวกัน เราก็เชื่อว่าการระบาดของ covid-19 ในอนาคต ในปีต่อ ๆ ไป ก็น่าจะมีรูปแบบที่คล้ายกัน

การให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ช่วงระยะเวลาที่ให้ดีที่สุดจึงเป็นก่อนเปิดเทอมแรกให้มีภูมิต้านทานที่สูงในการป้องกันในช่วงฤดูฝน

ทำนองเดียวกัน เมื่อเปิดเทอม covid-19 ก็จะเพิ่มสูงขึ้น และถ้าต่อไปโรคโควิด-19 จำเป็นต้องให้วัคซีนทุกปี ช่วงที่ให้วัคซีนดีที่สุด ควรจะเป็นช่วงก่อนที่นักเรียนจะเปิดเทอม

"หมอยง" เผย โควิด-19 อยู่ในภาวะขาลง และจะเข้าสู่โรคตามฤดูกาล

Adblock test (Why?)


"หมอยง" เผย โควิด-19 อยู่ในภาวะขาลง และจะเข้าสู่โรคตามฤดูกาล - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

ทุกเรื่องต้องรู้!! ก่อนรักษา 'โรคหัวใจ' ด้วยการผ่าตัด - Post Today

คุยกับศัลยศาสตร์ทรวงอก ศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก ไขความสงสัยการผ่าตัดหัวใจเหมาะกับใคร? การผ่าตัดหัวใจมีวิธีอย่างไร? พร้อมฟังแนวทางการเตรียมตัว ตลอดจนวิธีการดูแลร่างกาย รวมไปถึงความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ ช่วยคลายความกังวลให้กับผู้ป่วยในเบื้องต้น

ในแต่ละปีประเทศไทยมีอัตราการสูญเสียประชากรอันมีสาเหตุมาจาก “โรคหัวใจ” เป็นจำนวนไม่น้อย การรักษาด้วย “การผ่าตัด” จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญ ที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจให้กับคนไทย เนื่องจากในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า ประกอบกับการมีแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจที่มีประสบการณ์มาก ทำให้การผ่าตัดหัวใจมีความปลอดภัยสูงและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

นพ.บุลวัชร์ หอมวิเศษ

นพ.บุลวัชร์ หอมวิเศษ ศัลยศาสตร์ทรวงอก ศูนย์โรคหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลนวเวช ได้อธิบายถึงการรักษาโรคหัวใจด้วยการผ่าตัดไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่การผ่าตัดหัวใจเหมาะกับใคร รูปแบบการผ่าตัดหัวใจเป็นอย่างไร การเตรียมตัว วิธีการดูแลร่างกาย รวมไปถึงความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ เพื่อให้เข้าใจและเห็นถึงความปลอดภัยในการผ่าตัด พร้อมทั้งช่วยคลายความกังวลให้กับผู้ป่วยในเบื้องต้น

โดยปกติการรักษาหัวใจจะแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ การใช้ยา การทำหัตถการพิเศษผ่านสายสวน และสุดท้ายคือ การผ่าตัด โดยปกติการใช้ยาถือเป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยทุกราย แต่ก็จะมีข้อจำกัดว่าถ้าเส้นเลือดตีบรุนแรง ตีบจำนวนหลายเส้น หรือ ผู้ป่วยมีอาการมาก ก็ไม่สามารถใช้ยาอย่างเดียวได้และต้องมาพิจารณาถึงหัตถการหรือการผ่าตัดเพิ่มเติม

การผ่าตัดหัวใจมีหลักการเป็นอย่างไร?

สำหรับการผ่าตัดจะแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ

1.การผ่าตัดเปิดแบบปกติ

ศัลยแพทย์จำเป็นต้องตัดแยกกระดูกหน้าอกออก เพื่อที่จะสามารถทำการผ่าตัดได้ง่ายขึ้น ซึ่งวิธีนี้คือ แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่ ถือเป็นการผ่าตัดมาตรฐาน ข้อดีของวิธีนี้สามารถผ่าตัดหัวใจได้ทุกชนิด แต่มีข้อจำกัดคือ กระดูกจะต้องถูกตัด ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดได้

2.การผ่าตัดแบบแผลเล็ก

ปัจจุบันมีการพัฒนาการผ่าตัดมากขึ้น เป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ซึ่งแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กลงมาก แค่ 6-8 ซม. และมักจะอยู่บริเวณด้านข้างของผนังทรวงอก ทำให้ผู้ป่วยมีรอยแผลเป็นที่สวยงามมากขึ้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก สามารถทำได้กับผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพเฉพาะ และไม่รุนแรงจนเกินไปเท่านั้น ประกอบกับยังต้องอาศัย

ศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญการ ทีมแพทย์ รวมถึงโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือครบ วิธีการผ่าตัดแบบแผลเล็กจึงไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกราย ต้องให้ศัลยแพทย์เป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีการผ่าตัดเฉพาะให้แก่ผู้ป่วยแต่ละราย

การผ่าตัดหัวใจ มีวิธีอย่างไร?

การผ่าตัดหัวใจทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับโรคของคนไข้ ซึ่งโรคที่เราพบบ่อยในประเทศไทยเป็นอันดับที่ 1 ก็คือ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจของคนไข้ได้ ซึ่งหลักการผ่าตัดคือ เราจะนำเส้นเลือดแดงหรือเส้นเลือดดำจากบริเวณอวัยวะอื่น เช่น ใต้กระดูกหน้าอก ขา หรือ แขน มาทำเป็นทางเบี่ยง เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหัวใจให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น

โรคกลุ่มที่ 2 คือ โรคลิ้นหัวใจ จะแบ่งได้เป็น ลิ้นหัวใจตีบ และ ลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งการผ่าตัดจะมี 2 วิธี คือ การซ่อมลิ้นหัวใจ และ การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ โดยปกติแล้วการซ่อมลิ้นหัวใจ เราถือว่าจะมีผลในการรักษาระยะยาวที่ดีกว่า จึงแนะนำเป็นทางเลือกแรกของการรักษา แต่ในบางกรณีศัลยแพทย์ก็ไม่สามารถซ่อมลิ้นหัวใจให้คนไข้ได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจแทน

การเตรียมตัว เมื่อต้องผ่าตัดหัวใจ

ผู้ป่วยต้องเตรียมตัวทั้งทางร่างกาย คือ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่ดี และรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง นอกจากนั้นผู้ป่วยยังต้องเตรียมตัวทางด้านจิตใจด้วย คือ การทำจิตใจให้สบาย ไม่จำเป็นต้องเครียด หรือ วิตกกังวล เนื่องจากการผ่าตัดหัวใจมีความปลอดภัยสูงและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

การดูแลร่างกาย เมื่อผ่าตัดหัวใจ

หลังจากการผ่าตัดจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง

• ช่วงแรก คือ หลังผ่าตัดทันที ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 7 วัน โดยปกติหลังจากการผ่าตัดเสร็จ ภายใน 1-2 วันแรกคนไข้จะได้รับการรักษาอยู่ในห้องไอซียู หรือ หอผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดเพราะถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนก็สามารถที่จะรักษาและแก้ไขได้ทันที โดยในระยะเวลานี้คนไข้จะมีการใส่ท่อช่วยหายใจ การใช้เครื่องช่วยหายใจ การใส่สายวัดความดันในหัวใจ สายสวนปัสสาวะ และ สายระบายเลือดที่ค้างจากการผ่าตัด เมื่ออาการผู้ป่วยคงที่ก็จะนำสายทั้งหมดออกและย้ายผู้ป่วยกลับหอผู้ป่วยปกติ เพื่อทำกายภาพบำบัดและฟื้นฟูสมรรถนะของร่างกาย เมื่อผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่ง ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้

• ช่วงที่ 2 คือ หลังจากผู้ป่วยกลับบ้าน โดยปกติจะแนะนำให้มีคนช่วยดูแลผู้ป่วยอีก 1-2 สัปดาห์ที่บ้าน โดยผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ หลังจากการผ่าตัดเป็นระยะเวลา 1 เดือน และเมื่อถึงเวลา 3 เดือน ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ 100 เปอร์เซ็นต์

ความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ

ความเสี่ยงที่ผ่าตัดแล้ว จะเสียชีวิต หรือ ไม่ตื่น เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยและญาติส่วนใหญ่มักจะกังวลอย่างมาก ก่อนที่จะมารับการผ่าตัดหัวใจ แต่ในความเป็นจริง การผ่าตัดหัวใจเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างปลอดภัยมาก ศัลยแพทย์จะประเมินความเสี่ยงผู้ป่วยแต่ละราย โดยอาศัยการพิจารณาจากประวัติ โรคประจำตัว การตรวจร่างกาย และผลตรวจทางห้องปฎิบัติการ

ซึ่งโดยปกติแล้ว ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่เข้ามารับการผ่าตัด จะถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยจะมีโอกาสเสียชีวิตจากการผ่าตัดเพียงแค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น อัมพาต ไตวาย ปอดติดเชื้อ หรือ แผลติดเชื้อรุนแรง รวมกันไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น จะมีเพียง 10-20 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยที่อาจจะมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดสูงกว่าปกติ ซึ่งมักจะพบในผู้ป่วยที่สูงอายุมาก ๆ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ยังควบคุมไม่ได้ หรือ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน

โดยศัลยแพทย์จะนำความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผ่าตัด มาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงของโรคที่อาจจะเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา แล้วนำมาปรึกษาร่วมกันพร้อมกับผู้ป่วยและญาติ เพื่อพิจารณาหาแนวทางการรักษาที่ดีสุดให้กับผู้ป่วยโรคหัวใจ

Adblock test (Why?)


ทุกเรื่องต้องรู้!! ก่อนรักษา 'โรคหัวใจ' ด้วยการผ่าตัด - Post Today
Read More

ตราดเร่งฉีดวัคซีน 3 กลุ่ม เตรียมความพร้อมโควิดโรคประจำถิ่น - บ้านเมือง

วันจันทร์ ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565, 16.47 น.

นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจ.ตราด เปิดเผยว่า เพื่อให้จ.ตราดก้าวเดินสู่การให้เชื้อไวรัสโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น จึงได้มอบแนวทางให้ทางสำนักงานสาธารณสุขจ.ตราดและโรงพยาบาลทุกแห่งดำเนินการฉีดวัคซีน เข็มแรก ถึงเข็มที่ 4 ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจ.ตราดได้หารือและดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 มาอย่าต่อเนื่อง ทำให้อัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น และประชาชชาวตราดได้ตระหนักถึงการดูแลและป้องกันตัวเองดีมาก รวมทั้งสถานการประกอบการก็เข้ามาตรฐาน SHA+เป็นจำนวนมากนับเป็นเรื่องที่ดีในการทำให้โรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่นต่อไป แต่การจะดำเนินการได้นั้น จะต้องมีการฉีดวัคซีนป้องกันให้ได้เกินร้อยละ 60 

“ผมมองจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID- 19) ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ยังสามารถที่จะแพร่ระบาดได้ตลอดเวลา อันส่งผลให้จังหวัดตราดจำเป็นต้องคงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคต่อไป ซึ่งวิธีการที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดโรคนี้ได้อย่างหนึ่ง คือการที่ประชาชนในจังหวัดตราดได้รับการฉีดวัคชีนโควิด 19 อย่างน้อย 3 เข็มโดยมีเป้าหมายการฉีดวัคซึนเข็ม 3 ให้ครอบคลุมมากกว่า ร้อยละ 60 ของประชาชนจังหวัดตราด เพื่อเตรียมความพร้อมให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป จังหวัดตราดจึงประกาศให้การฉีดวัคซีนโควิด 19 หยุดเชื้อ เพื่อประชาชนตราด เป็นวาระสำคัญของจังหวัดตราดและขอความร่วมมือทุกภาคส่วนดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในวนที่ 12 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา”ผู้ว่าราชการจ.ตราดกล่าว

สำหรับมาตรการนั้น กำหนดไว้ 3 ประการหลักคือ 1.ให้ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรงโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งโรคเบาหวาน โรคอ้วนและโรคความบกพร่องทางระบบประสาทและสมอง) และหญิงตั้งครรภ์ ลงทะเบียนและเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามเกณฑ์กำหนดในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้าน 2.ให้ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ บุคลากรในสังกัดของส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทเอกชน พนักงานโรงแรม และประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ลงทะเบียนและเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามเกณฑ์กำหนดในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้าน และ 3.แรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในจังหวัดตราด ควรได้รับวัคชีนโควิด 19 อย่างน้อย 3 เข็มจึงให้นายจ้าง/เจ้าของสถานประกอบการนำแรงงานต่างด้าว ลงทะเบียนและเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตามเกณฑ์กำหนดในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้าน

สำหรับจ.ตราด สำนักงานสาธารณสุขจ.ตราดได้รายงานสรุปการวัคซีนโควิด 19 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2565 พบว่า ประชาชนฉีดวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 187,815 คน คิดเป็นร้อยละ 93.20 ,ประชาชนฉีดวัคซีนเข็ม 2 จำนวน 173,933 คน คิดเป็นร้อยละ 86.31 ,ประชาชนฉีดวัคซีนเข็ม 3 จำนวน 76,056 คิดเป็นร้อยละ37.74  จากเป้าหมายประชากรตราดอยู่จริงและแรงงานต่างด้าวรวม  201,529 คน ซึ่งยังเหลือที่ยังต้องเร่งฉีดอีก ร้อยละ22.26 ซึ่งยอดฉีดวัคซีน ประจำวันที่  15 พฤษภาคม 2565 จำนวน 181 คน ซึ่งต่ำมากในแต่ละวัน 

Adblock test (Why?)


ตราดเร่งฉีดวัคซีน 3 กลุ่ม เตรียมความพร้อมโควิดโรคประจำถิ่น - บ้านเมือง
Read More

Sunday, May 15, 2022

เตือน! โอมิครอน BA.4-BA.5 ยกระดับความน่ากลัว ควรป้องกันอย่างไร อ่านเลย - ฐานเศรษฐกิจ

มีการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว่าสายพันธุ์แม่ BA.1 จนกลายเป็นสายพันธุ์หลักของประเทศแอฟริกาใต้แล้ว

และขณะนี้ในประเทศโปรตุเกส พบ BA.5 มากถึง 37% ด้วยอัตราการเพิ่ม 13% จึงคาดว่าภายในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ สายพันธุ์หลักของโปรตุเกสก็จะเป็น BA.5

นอกจากการแพร่ระบาดที่เร็วขึ้นกว่าสายพันธุ์เดิมแล้ว สายพันธุ์ย่อยทั้งสอง ยังมีความสามารถในการที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ 

ทั้งที่ยังมีระดับภูมิคุ้มกันไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อเองตามธรรมชาติ หรือจากการฉีดวัคซีนก็ตาม

เพียงแต่จะเป็นตอนระดับภูมิคุ้มกันที่ผ่านการติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนไปนานอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีคือ ระดับภูมิคุ้มกันต้องต่ำลงพอสมควร

ทาง ECDC จึงได้ออกประกาศเตือนว่า ขอให้ทุกประเทศในยุโรป ได้ระแวดระวังสายพันธุ์ย่อยทั้งสองอย่างเต็มที่

เตือน! โอมิครอน BA.4-BA.5 ยกระดับความน่ากลัว

เพราะมีโอกาสที่จะระบาดหนักทั่วทวีปยุโรปในฤดูร้อนปีนี้ (ซึ่งก็คือ กค-กย.65) จะส่งผลกดดันอย่างมากต่อโรงพยาบาลและไอซียู

ได้ให้คำแนะนำว่า น่าจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ให้กับประชาชนที่มีอายุมากกว่า 80 ปี

และให้เตรียมวางแผนที่จะฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ให้กับคนที่อายุ 60-79 ปี หรือคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปีแต่มีโรคประจำตัวด้วย

Adblock test (Why?)


เตือน! โอมิครอน BA.4-BA.5 ยกระดับความน่ากลัว ควรป้องกันอย่างไร อ่านเลย - ฐานเศรษฐกิจ
Read More

ดร.อนันต์ เปิดผลวิจัยฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในผู้สูงอายุช่วยกระตุ้นภูมิสู้โอมิครอนได้ดี - ไทยโพสต์

15 พ.ค. 2565 – ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุว่า ผลวิจัยที่ศูนย์วิจัยคลินิก ศิริราช ร่วมกับ ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี BIOTEC สวทช. พบว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นแบบฉีดเข้ากล้าม กับ ใต้ผิวหนัง ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีน AZ มา 2 เข็ม สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโอมิครอนได้ดีทั้งคู่ โดย กลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามจะได้ภูมิที่สูงกว่ากลุ่มใต้ผิวหนัง ประมาณ 3 เท่าในกรณีที่ฉีดกระตุ้นด้วย Moderna และ ประมาณ 1.5 เท่า ในกรณีที่ฉีดกระตุ้นด้วย Pfizer โดยตัวเลขดังกล่าวดูเหมือนจะสอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่ใช้ โดย Moderna ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 5 เท่า (100 vs 20 mcg) ขณะที่ Pfizer ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 3 เท่า (30 vs 10 mcg)

ผลข้างเคียงจากการฉีดใต้ผิวหนังดูเหมือนจะน้อยกว่าตามคาดครับ ซึ่งทีมวิจัยสรุปว่า การฉีดใต้ผิวหนังโดยเฉพาะด้วย Moderna อาจเป็นทางเลือกให้พิจารณาในกรณีที่มีวัคซีนจำกัด และ ต้องการลดผลข้างเคียงจากวัคซีน

เพิ่มเพื่อน

Adblock test (Why?)


ดร.อนันต์ เปิดผลวิจัยฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในผู้สูงอายุช่วยกระตุ้นภูมิสู้โอมิครอนได้ดี - ไทยโพสต์
Read More

ทำงานหนักจนลืมกินข้าว ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารจริงหรือไม่? - Hfocus

การกินอาหารไม่ตรงเวลา มีผลต่อโรคกระเพาะจริงไหม? ปรับพฤติกรรมอย่างไรจะช่วยลดอาการป่วย  ด้วยพฤติกรรม การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้บางคนไม่สามา...